18. พระสวามีคริสตเจ้า
มีพระประสงค์จะเลี้ยงดูและทวีประชากรของพระเป็นเจ้า ให้มีจำนวนมากขึ้น ๆ อยู่เสมอ จึงได้ทรงจัดตั้งให้พระศาสนจักรของพระองค์ มีศาสนบริกร (36) ต่าง ๆ ซึ่งล้วนสร้างคุณประโยชน์แก่พรวรกายทั่วทั้งพระวรกาย บรรดาศาสนบริกรทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์, ทำงานรับใช้มวลพี่น้องด้วยกัน หวังให้ทุก ๆ คนที่เป็นสมาชิกประชากรของพระเป็นเจ้า, และเพราะเป็นประชากรของพระเป็นเจ้าจึงประกอบด้วยเกียรติศักดิ์เป็นคริสตชนอย่างแท้จรงิ และเพื่อมุ่งหน้าอย่างเป็นอิสระเสรี และเป็นระเบียบเรียบร้อยสู่จุดหมายอันเดียวกัน, พวกเขาจะได้บรรลุถึงความรอด.
สภาพระสังคายนาสากลครั้งนี้
สะกดรอยตามพระสังคายนาวาติกันครั้งที่หนึ่ง และพร้อมกับพระสังคายนาดังกล่าว ท่านสั่งสอนและประกาศว่า : พระเยซูคริสตเจ้า, องค์พระชุมพาบาลนิรันดร ได้ทรงสถาปนาพระศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น โดยได้ทรงส่งท่านอัครสาวกไปดุจดังพระบิดาได้ทรงส่งพระองค์ท่านมา (เทียบ ยน. 20,21) ; บรรดาผู้สืบตำแหน่งของอัครสาวก นั่นคือบรรดาพระสังฆราช, พระองค์ได้ทรงพอพระทัยแต่งตั้งขึ้นเป็นชุมพาบาลในพระศาสนจักรของพระองค์เรื่อยไปจวบจนสิ้นพิภพ. แต่เพื่อจะให้ตัวตำแหน่งพระสังฆราชคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและแบ่งแยกไม่ได้, พระองค์ได้ทรงตั้งท่านเปโตรให้เป็นประมุขของอัครสาวกอื่นทั้งหลาย และในตัวท่านเปโตรนั้น พระองค์ได้ทรงวางแหล่งที่มาและรากฐานอันคงอยู่เสมอ และแลเห็นได้แห่งเอกภาพทางความเชื่อ และทางด้านสหพันธ์. อันคำสอนเรื่องการสถาปนา, เรื่องความคงทนอยู่เสมอ, เรื่องอำนาจและเหตุผลของการเป็นประมุขแห่งพระสังฆราชแห่งกรุงโรม, ตลอดจนเรื่องอาจาริยานุภาพอันไม่รู้ผิดพลั้งของพระองค์ท่าน, สภาพระสังคายนานี้กลับนำมาเสนออีกครั้งหนึ่ง ให้สัตบุรุษทั้งสิ้นต้องเชื่ออย่างมั่นคง แล้วจากที่เริ่มต้นนี้ ท่านเสริมต่อไป เรื่องคำสอนเกี่ยวกับบรรดาพระสังฆราชผู้สืบตำแหน่งของบรรดาอัครสาวก, ท่านเหล่านี้ พร้อมกับผู้สืบตำแหน่งของท่านเปโตร, องค์ผู้แทนของพระคริสตเจ้าเป็นศีรษะที่แลเห็นได้ของพระศาสนจักรทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายดังกล่าวนี้เป็นผู้ปกครองเคหะของพระเปนเจ้าผู้ทรงชีวิต สภานี้กำหนดให้แสดงและประกาศดังนี้ต่อหน้าทุก ๆ คน.
|