14. พระสังคายนาสากลศักดิ์สิทธิ์
หันมาพิจารณาดูสัตบุรุษคาทอลิกเป็นอันดับแรก ท่านถือเอาพระคัมภีร์และพระกิตติ (31) เป็นหลัก จึงสอนว่าพระศาสนจักรที่กำลังเร่ร่อนอยู่ในโลกขณะนี้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเอาตัวรอด, เหตุด้วยว่ามีพระคริสตเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเป็นคนกลาง และเป็นหนทางแห่งความรอด พระองค์ทรงเป็นอยู่ขณะนี้สำหรับเราในพระวรกายของพระองค์ ซึ่งก็คือพระศาสนจักรนั่นเอง พระองค์ได้ทรงพร่ำสอนด้วยพระวาจาอันชัดเจน (เทียบ มก. 16,16; ยน. 3,5) พร้อมกับทรงยืนยันว่าพระศาสนจักรเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งมนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในนั้น โดยทางศักดิ์สิทธิการล้างบาป ซึ่งเป็นดังประตูทางเข้า จึงเป็นอันว่าไม่สามารถเอาตัวรอดได้ บุคคลที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระเป็นจ้าได้ทรงตั้งพระศาสนจักรคาทอลิกขึ้นโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า ในฐานะที่เป็นพระศาสนจักรอันจำเป็น, กระนั้นก็ดี เขาไม่ยอมเข้าสังกัดหรือไม่ยอมสังกัดอยู่ต่อไป.
นับว่าเป็นสมาชิกแห่งสังคมพระศาสนจักรโดยแท้
บุคคลที่มีพระจิตของพระคริสตเจ้า เขารับเอาหลักเกณฑ์ของพระศาสนจักรทุกประการ และวิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาตัวรอดอันกำหนดอยู่ในพระศาสนจักร, และเขาร่วมกับพระคริสตเจ้าในโครงสร้าง (32) อันแลเห็นได้, กล่าวคือเขามีความสัมพันธ์ในการประกาศแสดงออกซึ่งความเชื่อ, ในศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ ในการปกครองและสมาพันธ์. ถึงกระนั้นเอาตัวไม่รอด บุคคลที่แม้สังกัดเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร หากเขาไม่คงดำรงอยู่ในความรัก, ถูกหละคนเช่นนี้อยู่ในแวดวง ร่างกาย ของพระศาสนจักร, แต่หาได้อยู่ใน จิตใจ ของท่านไม่. ทุก ๆ
คนจงจำใส่ใจไว้ว่าฐานะอันประเสริฐที่เราได้เป็นบุตรของพระศาสนจักรนั้น
ไม่ใช่เราได้มาเพราะคุณงามความดีอะไรของเรา แต่ได้มาเพราะพระหรรษทานพิเศษของพระคริสตเจ้า ซึ่งหากเราไม่สนองตอบด้วยความคิด, ด้วยวาจา, และด้วยกิจการแล้วไซร้, อย่าว่าแต่เราจะเอาตัวรอดเลย เรากลับจะถูกพิพากษาอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น
ส่วนคริสตชนสำรอง
ผู้ที่พระจิตเจ้าทรงดลใจ และเขาแสดงออกอย่างแน่วแน่ปรารถนามาสังกัดในพระศาสนจักร การตั้งสัตย์อธิษฐานอันนี้ก็ทำให้เขาสังกัดอยู่ในพระศาสนจักรแล้ว และพระศาสนจักรผู้เป็นมารดาก็ทรงรับเขาไว้ในความรัก และความเอาใจใส่ดูแล.
|