หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ธรรมนูญด้านพระธรรม กล่าวถึง พระศาสนจักร
 “ Lumen Gentium “ เล่มที่ 1

บทที่  2   ประชากรของพระเป็นเจ้า

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันธสัญญาใหม่และประชากรใหม่

9. เป็นความจริงในทุกยุคทุกสมัยและในทุกชาติทุกภาษา ใคร ๆ ที่รับรู้จักพระเป็นเจ้าและประพฤติตามความยุติธรรม เขาผู้นั้นก็เป็นที่รักโปรดปรานของพระองค์ทั้งนั้น (เทียบ กจ. 10,35), กระนั้นก็ดี  พระเป็นเจ้าได้ทรงพอพระทัย ประสาทความศักดิ์สิทธิ์และความรอด  ไม่ใช่แก่มนุษย์คนละคนต่างหากโดยไม่สนพระทัยใยดีต่อความเกี่ยวข้องผูกพันธ์ใด ๆ ของพวกเขาก็หามิได้, แต่ได้ทรงพอพระทัยจัดตั้งพวกเขาขึ้นเป็นประชากรให้มารับรู้จักพระองค์ด้วยความจริงใจ และมาปรนนิบัติรับใช้พระองค์อย่างดีศักดิ์สิทธ์ ดังนี้เองพระองค์จึงได้ทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นประชากรของพระองค์, ได้ทรงสั่งสอนเขาทีละขั้นทีละตอนให้มารู้ถึงองค์ของพระองค์ท่าน และโครงการน้ำพระทัยของพระองค์ทรงแสดงออกให้เห็นประจักษ์ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา  และทรงบันดาลให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระองค์ท่าน, ทุกสิ่งทุกอย่างนี้อันเป็นขึ้นมาเพื่อเตรียมพวกเขไว้ล่วงหน้า และเพื่อเป็นรูปแบบแห่งพันธสัญญาใหม่อันสมบูรณ์,  ที่จะกระทำขึ้นในองค์พระคริสตเจ้า, ทั้งเป็นการไขแสดงเปิดเผยยิ่งขึ้น,  เป็นการไขแสดงครบถ้วนโดยทางพระวจนาตถ์ของพระเป็นเจ้าผู้มารับเป็นมนุษย์ “นี่แน่ะ  จะถึงวันเวลา, พระสวามีเจ้าทรงพระดำรัสไว้,  เราจะกระทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลเอง และกับประชายูดา… เราจะนำบัญญัติของเราใส่เข้าไปในไส้พุงของพวกเขา, เราจะเป็นพระเป็นเจ้าของพวกเขา  และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา… เหตุด้วยว่าพวกเขาทุกคนจะรู้จักเราทั่วถ้วนหน้า แต่เล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุด, พระสวามีเจ้าตรัสไว้ดังนี้” (ยรม. 31,31-34).  พันธสัญญาใหม่นั้น พระคริสตเจ้าได้ทรงกระทำขึ้น, เป็นพันธสัญญาใหม่ที่ตกลงกันด้วยพระโลหิตของพระองค์ท่านเอง (เทียบ 1 คร. 11,25), พระองค์ได้ทรงเรียกประชากรนี้มาจากชาวยิวและจากชาวต่างชาติ,  เป็นประชากรที่รวบรวมมาอยู่ในเอกภาพไม่ใช่ทางด้านเนื้อหนัง  แต่โดยทางพระจิตเจ้า,  และตั้งขึ้นเป็นประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า เหตุด้วยว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระคริสตเจ้า, เขาเกิดใหม่ไม่ใช่จากเชื้อที่เสื่อมเสียได้  แต่จากเชื้อที่ไม่รู้เสื่อมเสีย โดยทางพระวจนะของพระเป็นเจ้าผู้ทรงชีวิต (1 ปต. 1,23) ไม่ใช่มาจากเนื้อหนังแต่มาจากน้ำและพระจิตเจ้า (เทียบ ยน. 3,5-6), ทีสุดพวกเขานี้ถูกตั้งขึ้นเป็น  “เชื้อสายที่ทรงคัดเลือกไว้, เป็นคณะสงฆ์แห่งพระราชา,  เป็นชาติศักดิ์สิทธิ์  เป็นประชากรที่ทรงจัดหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง… ผู้ที่ครั้งหนึ่งไม่ใช่ประชากรของพระเป็นเจ้า”  แต่บัดนี้เป็นประชากรของพระเป็นเจ้า  (1 ปต. 2,9-10),

ประชากรแห่งพระแมสไซอะห์นี้ มีพระคริสตเจ้าเป็นศีรษะ  (ประมุข). “พระองค์คือผู้ได้ถูกขายเพราะบาปความผิดของชาวเราและทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ เพื่อบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์” (รม. 4,25), และบัดนี้พระองค์ทรงกอปรด้วยพระนามอันอยู่เหนือนามทั้งหลาย,  ทรงเสวยราชย์ในสวรรค์เพียบพร้อมด้วยพระเกียรติมงคล, ประชากรใหม่ตามศักดิ์ฐานะของเขา เขาก็มีเกียรติศักดิ์และอิสระเสรี ฉันบุตรของพระเป็นเจ้า… ในใจของเขาก็มีพระจิตเจ้าประทับอยู่ดังพระองค์สถิตอยู่ในโบสถ์.  เขายึดถือพระบัญญัติใหม่เป็นกฎหมาย,  พระบัญญัตินี้สั่งให้รักกันและกัน  ดุจดังพระคริสตเจ้าทรงรักชาวเรา  (เทียบ ยน. 13,34) ที่สุดปลายทางของเขาคือพระราชัยของพระเป็นเจ้า  ซึ่งเริ่มจากพระองค์บนแผ่นดินนี้,  จะขยับขยายต่อ ๆ ไป  จนกระทั่งสิ้นกาลเวลา, จะบรรลุผลสมบูรณ์จากพระเป็นเจ้า ในคราวเมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จประจักษ์มา,  พระองค์คือชีวิตของชาวเรา  (เทียบ คส. 3,4) และ  “ตัวสัตว์โลกเองจะรอดพ้นความเป็นทาสของความเสื่อมสลาย  กลับเข้าสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ประสาลูก ๆ ของพระเป็นเจ้า”  (รม. 8,21),  เพราะฉะนั้นประชากรแห่งพระแมสไซอะห์นี้ แม้ในปัจจุบันไม่ครอบคลุมประชากรทั่วทั้งโลก,  บ่อยครั้งยังปรากฏว่าเป็นฝูงแกะน้อย ๆ,  ถึงกระนั้นมนุษยชาติทั้งหมด  ประชากรนี้ก็เป็นพืชพันธุ์อันมั่นคงที่สุดด้านเอกภาพ, ด้านความหวังและความรอด,  ประชากรนี้  พระคริสตเจ้าได้ทรงสถาปนาขึ้น  ให้มาร่วมกับพระองค์ท่านในด้านชีวิต, ความรักและความจริง,  และประชากรนี้ พระองค์ท่านเองยังได้ทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อไถ่มนุษย์ทุก ๆ คน,  และทรงใช้เขาไปสู่โลกจักรวาล,  ดังเป็นแสงสว่างส่องโลก, ดังเป็นเกลือดองแผ่นดิน (เทียบ มธ. 5,13-16).

ชาวอิสราเอล  ในฐานะเป็นคนมีเนื้อหนัง คราวระเหเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย  เขายังได้ชื่อว่า  เป็นพระศาสนจักรแล้ว,  ฉันใด (2 นหม. 13,1; เทียบ กดว. 20,4; ฉธบ. 23,1…) ก็ฉันนั้น  อิสราเอลใหม่ที่กำลังจาริกอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ก็ตามแสวงหานครในภายหน้าและนครอันสถาพร  (เทียบ ฮบ. 13,14) ยังได้รับนามว่าเป็นพระองค์ท่านเองได้ทรงจัดหามาด้วยอาศัยพระโลหิตของพระองค์ (เทียบ กจ. 20,28)  ได้ทรงประสาทพระจิตของพระองค์แก่เขาอย่างเต็มที่, ทรงตกแต่งเขาให้บริบูรณ์ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อันเหมาะสมให้บรรลุถึงเอกภาพอันแลเห็นได้  และเป็นเอกภาพทางสังคม.  กลุ่มของฝูงชนที่มีความเชื่อยกตาขึ้นหาพระเยซู, เจ้าแห่งความรอด  และหลักแห่งเอกภาพและสันติภาพ, ก็กลุ่มนี้แหละ พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกมาและทรงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นพระศาสนจักรหวังให้เป็นศักดิ์สิทธิการอันแลเห็นได้แห่งเอกภาพที่ทำความรอดและเป็นเอกภาพทางสังคม, นี้สำหรับมนุษย์ทุกคนและคนละคน. เอกภาพนี้จะต้องแผ่ขยายไปยังทุก ๆ ประเทศ และแทรกเข้าอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทั้งหลาย  แม้ขณะนี้เอกภาพดังกล่าวก็ผ่านเลยขอบเขตประชากรต่าง ๆ  ในด้านเวลาและสถานที่. พระศาสนจักรเดินหน้าไปท่ามกลางการประจญล่อลวงและความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ อาศัยอิทธิฤทธิ์แห่งพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า  ที่พระสวามีเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่ท่าน  ท่านจึงเกิดมีพละกำลัง จนว่าแม้ท่านจะอ่อนแอตามประสามีเนื้อหนัง  ท่านก็ไม่เพลี่ยงพล้ำถึงกับเสียความสมบูรณ์แห่งความสัตย์ซื่อของท่าน,  ท่านยังคงบำเพ็ญตนเป็นภริยาที่เหมาะสมของพระคริสตเจ้า และโดยพระจิตเจ้าทรงทำงาน,  ท่านก็รื้อฟื้นชุบตัวของท่านอยู่เสมอมิได้ขาด  ทั้งนี้จนกว่าท่านจะผ่านกางเขน ไปสู่ความสว่างอันมิรู้ดับ.