สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16

“จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด” (ฟป. 4: 4)

เยาวชนที่รัก

เรายินดีที่จะคุยกับพวกเธออีกครั้งหนึ่งในโอกาสวันเยาวชนโลกครั้งที่ 27 ความทรงจำแห่งการพบกันของเราที่มาดริดเมื่อเดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเวลาแห่งพระหรรษทานพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานพระพรมายังเยาวชนที่พากันมาจากทั่วโลก เราโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับผลดีงามทุกชนิดที่เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาให้ เป็นผลดีที่แน่นอนว่าจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นสำหรับเยาวชนและชุมชนของพวกเขาในอนาคต

บัดนี้เรากำลังรอเวลาที่เราจะได้พบกันใหม่ที่รีโอเดจาเนโร (Reo de Janeiro) ในปี 2013 ซึ่งปีนี้หัวข้อการประชุมได้แก่ “จงไปสั่งสอนนานาชาติให้เป็นศิษย์ของเรา” (เทียบ มธ. 28: 19) หัวข้อไตร่ตรองวันเยาวชนโลกปีนี้มาจากคำเตือนของนักบุญเปาโลในจดหมายของท่านถึงชาวฟีลิปปี “จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด” (ฟป. 4:4) ความยินดีที่อยู่ในหัวใจแห่งประสบการณ์ของคริสตชน ในวันเยาวชนโลกทุกปีเราต่างมีประสบการณ์ของความชื่นชมยินดี ความยินดีที่เรามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ความยินดีที่เราต่างเป็นคริสตชน และความยินดีแห่งความเชื่อ

นี่เป็นเครื่องหมายประการหนึ่งของการที่เรามาร่วมชุมนุมกัน เป็นพลังดึงดูดที่ยิ่งใหญ่จากประสบการณ์แห่งความชื่นชมยินดี ในโลกแห่งความโศกเศร้าและความกังวลใจ ความชื่นชมยินดีเป็นประจักษ์พยานสำคัญถึงความงามและความน่าเชื่อถือแห่งความเชื่อของคริสตชน กระแสเรียกของพระศาสนจักรคือการนำความชื่นชมยินดีมาสู่โลก เป็นความชื่นชมยินดีที่แท้จริงและคงอยู่ถาวร เป็นความชื่นชมยินดีที่เทวทูตนำมาประกาศให้คนเลี้ยงแกะทราบในคืนที่พระเยซูบังเกิด (เทียบ ลก.2:10) พระเจ้ามิได้เพียงแต่ทรงตรัส มิได้เพียงแต่ทำให้เครื่องหมายยิ่งใหญ่สำเร็จลุล่วงไปตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ทรงเข้ามาใกล้ตัวเราจนพระองค์กลายเป็นมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางเราและเจริญชีวิตทุกอย่างเหมือนกับเรา

ในทุกวันนี้ที่มีความทุกข์ยากลำบาก เยาวชนจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเธอต้องการที่จะได้ทราบว่าสาส์นของพระคริสตเจ้านั้น เป็นสาส์นแห่งความชื่นชมยินดี และเป็นสาส์นแห่งความหวัง! เราใคร่ที่จะไตร่ตรองพร้อมกันกับพวกเธอเกี่ยวกับความชื่นชมยินดีนี้ และเราจะพบกับความชื่นชมยินดีนี้ได้อย่างไร เพื่อที่พวกเธอจะได้สามารถมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีนี้อย่างล้ำลึกและนำไปมอบให้กับทุกคนที่เธอพบด้วย

1. ดวงใจของเราถูกสร้างเพื่อความชื่นชมยินดี การแสวงหาความชื่นชมยินดีเกิดขึ้นในดวงใจของมนุษย์ชายหญิงทุกคน ยิ่งไปกว่าการแสวงหาความรู้สึกพอใจเพียงชั่วครู่ ดวงใจของเราแสวงหาความชื่นชมยินดีที่ครบครัน สมบูรณ์และคงอยู่ถาวรซึ่งให้ “รสชาด” กับความเป็นอยู่ของเรา นี่เป็นความจริงพิเศษสำหรับตัวเธอ เพราะเยาวชนเป็นวัยแห่งการค้นพบชีวิต ค้นพบโลก ค้นพบผู้อื่น และค้นพบตัวเราเองเสมอ เป็นเวลาแห่งการเปิดใจกว้างสู่อนาคตและสู่ความปรารถนาที่จะมีความสุข มีมิตรสหาย ที่จะแบ่งปันกัน ที่จะพบกับความจริง เป็นเวลาที่เรามุ่งไปด้วยอุดมการณ์สูงส่งและสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่
 

แต่ละวันล้วนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีเล็กๆ ซึ่งเป็นพระพรของพระเจ้า : ความชื่นชมยินดีแห่งการมีชีวิต ชื่นชมที่ได้เห็นความงดงามของธรรมชาติ ชื่นชมที่ทำงานสำเร็จไปด้วยดี ชื่นชมที่ได้ช่วยผู้อื่น ชื่นชมที่เรามีความรักบริสุทธิ์และจริงใจ หากเรามองดี ๆ เราจะพบกับเหตุผลมากมายที่เราควรที่จะชื่นชมยินดี  มีหลายครั้งที่เรามีความสุขในครอบครัว  มีมิตรที่คอยแบ่งปันกัน การค้นพบความสามารถพิเศษของเรา ความสำเร็จของเรา คำชมที่เราได้รับจากผู้อื่น ความสามารถในการแสดงออกและรู้ว่าเราเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ความรู้สึกที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่น

นอกนั้นยังมีเวลาที่เรารู้สึกตื่นเต้นกับการที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เห็นขอบฟ้าใหม่ที่กว้างกว่าเดิมจากการเดินทางและประสบการณ์ของเรา และตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่เราจะสร้างอนาคตของเรา นอกจากนี้แล้วเราอาจพูดเช่นเดียวกันได้ เกี่ยวกับประสบการณ์จากการอ่านหนังสือวรรณกรรม จากการชื่นชมงานศิลปะฝีมือเอก จากการฟังหรือเล่นดนตรี หรือจากการชมภาพยนตร์  สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถนำความชื่นชมยินดีที่แท้จริงมาให้เราได้

กระนั้น ในแต่ละวันเราพบกับความยากลำบากด้วยเช่นกัน  ในส่วนลึกของจิตใจ เรายังเป็นกังวลถึงอนาคต เราเริ่มสงสัยว่าความชื่นชมยินดีบริบูรณ์ถาวรที่เราอยากได้นั้น อาจเป็นแค่ภาพลวงตาและอาจหายไปจากความเป็นจริงได้ เยาวชนหลายคนถามตัวเองว่า :  ความชื่นชมยินดีบริบูรณ์นั้นเป็นไปได้จริงๆ หรือ? เราสามารถแสวงหาความชื่นชมยินดีได้ในหลาย ๆ ทาง และบางเส้นทางนั้นอาจจะนำไปสู่การผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นอันตราย เราจะสามารถแยะแยะถึงสิ่งที่จะให้ความชื่นชมยินดีถาวรแท้จริงจากความสุขชั่วแล่นและหลอกลวงได้อย่างไร? เราจะพบกับความชื่นชมยินดีที่แท้จริงในชีวิต ความชื่นชมยินดีที่คงอยู่ถาวรและไม่จากเราไปในยามที่เราประสบกับวินาทีแห่งความยุ่งยากได้อย่างไร?

2. พระเจ้าคือบ่อเกิด (ต้นกำเนิด) แห่งความชื่นชมยินดีที่แท้จริงความชื่นชมยินดีแท้จริงที่มาสู่เรา ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดีเล็กๆประจำวัน หรือความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่ในชีวิตล้วนมีต้นกำเนิดในพระเจ้า แม้บางทีจะดูเหมือนไม่มีความชัดเจนในทันที  ทั้งนี้เพราะว่าพระเจ้าคือสายสัมพันธ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันแห่งความรักนิรันดร พระองค์ทรงเป็นความชื่นชมยินดีอันหาขอบเขตมิได้ซึ่งไม่ปิดกั้นอยู่จำเพาะแต่ในพระองค์แต่ผู้เดียว แต่ทรงแผ่ออกครอบคลุมทุกคนที่พระองค์ทรงรักและผู้ที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาตามพระฉายาลักษณ์ของพระองค์เนื่องมาจากความรัก

เพื่อทรงหลั่งความรักของพระองค์มายังเรา และทำให้เราเปี่ยมไปด้วยการประทับอยู่และพระหรรษทานของพระองค์ พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีส่วนร่วมในความชื่นชมยินดีนิรันดรของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยให้เราเห็นว่า ความหมายและคุณค่าสูงสุดแห่งชีวิตของเราอยู่ที่พระองค์ทรงยอมรับ ต้อนรับ และรักเรา  บางครั้งเราพบว่าเป็นการยากที่จะยอมรับผู้อื่น พระเจ้าจะทรงประทานการยอมรับที่ปราศจากเงื่อนไขให้กับเราซึ่งจะทำให้เราสามารถกล่าวได้ว่า “ข้าพเจ้าได้รับความรัก ข้าพเจ้ามีจุดยืนในโลกและในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าได้รับความรักจากพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากพระเจ้ายอมรับและรักข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจได้ในประเด็นนี้ ข้าพเจ้าก็ทราบอย่างชัดเจนและมีความมั่นใจว่านั่นเป็นสิ่งดีที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

ความรักอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้าต่อเราแต่ละคนเห็นได้อย่างเต็มตา ในองค์พระเยซู คริสตเจ้า ความชื่นชมยินดีที่เรากำลังแสวงหาอยู่นั้นจะพบได้ในพระองค์  เราเห็นในพระวรสารแล้วว่าเหตุการณ์ในชีวิตเริ่มแรกของพระเยซูนั้นมีแต่ความชื่นชมยินดี  เมื่ออัครเทวดาคาเบรียลบอกพระแม่มารีพรหมจารีว่าพระนางจะเป็นมารดาของพระผู้ไถ่ คำพูดคำแรกของอัครเทวดาคือ “จงยินดีเถิด!” (ลก. 1: 28) เมื่อพระเยซูทรงบังเกิดเทวทูตของพระเจ้าตรัสกับคนเลี้ยงแกะว่า “เรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย เป็นข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง วันนี้ในเมืองของกษัตริย์ดาวิดพระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลก. 2: 10-11)

เมื่อพญาสามองค์เดินทางแสวงหาพระกุมาร “เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนัก” (มธ. 2: 10)  ต้นเหตุแห่งความชื่นชมยินดีเหล่านี้คือความใกล้ชิดของพระเจ้าผู้ทรงกลายเป็นผู้หนึ่งท่ามกลางเรา นี่คือสิ่งที่นักบุญเปาโลหมายถึงเมื่อท่านเขียนจดหมายถึงชาวฟีลิปปี “จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงชื่นชมเถิด จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลายปรากฏแก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว” (ฟป. 4: 4-5) เหตุผลประการแรกสำหรับความชื่นชมยินดีของเราคือความใกล้ชิดของพระเจ้าผู้ทรงต้อนรับและรักเรา
 

การพบปะกับพระคริสตเจ้าจะก่อให้เกิดความยินดียิ่งใหญ่ภายในเสมอ เราพบกับความจริงนี้ได้จากเรื่องราวมากมายในพระวรสาร  เราคงจำได้ว่าตอนที่พระเยซูเสด็จไปเยี่ยมศักเคียส คนเก็บภาษีอธรรมและเป็นคนบาปที่ใครๆก็ทราบ พระองค์ทรงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” จากนั้นนักบุญลูกาบอกว่า ศักเคียส “ต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี” (ลก. 19:5-6) นี่เป็นความชื่นชมยินดีที่ได้พบกับพระคริสตเจ้า เป็นความยินดีที่ได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้า ความรักที่สามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเรา และนำความรอดมาให้เรา ศักเคียสตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตแล้วแบ่งทรัพย์สมบัติของเขาครึ่งหนึ่งให้คนจน

ในช่วงมหาทรมานของพระเยซูเราจะเห็นอานุภาพแห่งความรักนี้ ณ เวลาสุดท้ายแห่งชีวิตในโลกนี้ ในขณะที่นั่งรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายกับอัครสาวก พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด... เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์” (ยน. 15: 9, 11) พระเยซูทรงต้องการนำศิษย์ของพระองค์และเราแต่ละคนไปสู่ความยินดีสมบูรณ์ ซึ่งพระองค์มีส่วนร่วมกับพระบิดา เพื่อที่ความรักของพระบิดาต่อพระองค์จะได้สถิตในตัวเรา (เทียบ ยน.17: 26) ความยินดีของคริสตชนอยู่ที่การเปิดใจกว้างสู่ความรักของพระเจ้าและมอบตัวเราให้ขึ้นอยู่กับพระองค์

พระวรสารเล่าว่ามารีมักดาเลนและสตรีอื่นๆไปเยี่ยมคูหาศพที่บรรจุพระศพของพระเยซูหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว  เทวทูตองค์หนึ่งมาบอกกล่าวข่าวประหลาดว่าพระเยซูเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพแล้ว จากนั้นผู้นิพนธ์พระวรสารเล่าว่า พวกเขาวิ่งหนีไปจากคูหาศพ “กลัวแต่ก็มีความชื่นชมยินดี” เพื่อไปแบ่งปันข่าวดีกับบรรดาอัครสาวก  พระเยซูพบพวกเขากลางทางตรัสว่า “จงยินดีเถิด” (มธ. 28: 8-9) ความชื่นชมยินดีแห่งความรอดถูกนำมาเสนอให้กับพวกเขา พระคริสตเจ้าเป็นพระองค์เดียวผู้ทรงชีวิตและผู้เอาชนะความชั่ว บาป และความตาย

พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเราในฐานะที่ทรงเป็นผู้เสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพและพระองค์จะทรงประทับอยู่กับเราจนสิ้นพิภพ (เทียบ มธ. 28: 20) ความชั่วไม่ใช่เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตของเรา ตรงกันข้าม ความเชื่อในพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่บอกเราว่าความรักของพระเจ้าคือชัยชนะ ความยินดีอันล้ำลึกนี้เป็นผลของพระจิตผู้ทรงทำให้เราเป็นบุตรชายหญิงของพระเจ้า สามารถมีประสบการณ์และรับคุณงามความดีของพระองค์ สามารถเรียกพระองค์ว่า “อับบา พ่อจ๋า (เทียบ รม.8:15) ความยินดีเป็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่และการกระทำของพระเจ้าภายในตัวเรา

3. การรักษาความยินดีแห่งคริสตชนไว้ในดวงใจของเรา พอมาถึงตรงนี้เราสงสัยว่า “เราจะรับและรักษาพระพรแห่งความยินดีอันล้ำลึกฝ่ายจิตนี้ได้อย่างไร?” เพลงสดุดีบทหนึ่งบอกเราว่า “จงยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระองค์จะประทานให้ตามใจปรารถนาของท่าน” (สดด. 37: 4) พระเยซูทรงบอกเราว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีนำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น” (มธ. 13: 44) การพบและรักษาความยินดีฝ่ายจิตเป็นผลของการที่ได้พบกับพระเจ้า

พระเยซูทรงขอร้องให้เราติดตามพระองค์และให้มอบชีวิตทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์ เยาวชนที่รัก จงกล้าที่จะเสี่ยงชีวิต และให้พื้นที่กับพระเยซูและพระวรสาร นี่คือวิธีที่จะได้พบกับสันติภายในและความสุขที่แท้จริง มันคือหนทางที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาลักษณ์และใกล้เคียงกับพระองค์

จงแสวงหาความชื่นชมยินดีในองค์พระเจ้าเพราะความยินดีเป็นผลแห่งความเชื่อ  เป็นการตระหนักดีถึงการประทับอยู่และสายสัมพันธ์ของพระองค์ทุกวัน “องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว!” (ฟป.4:5) นั่นคือการวางใจในพระเจ้าและการเข้าใจและรักพระองค์ให้มากยิ่งขึ้น อีกไม่นานเราจะเริ่ม “ปีแห่งความเชื่อ” และนี่จะช่วยและเป็นกำลังใจให้พวกเรา เยาวชนที่รัก จงเรียนรู้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำการในตัวพวกเธออย่างไรและจงค้นให้พบว่าพระองค์ทรงแฝงอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ แห่งชีวิตประจำวันอย่างไร

จงเชื่อเถิดว่าพระองค์จะทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำกับเธอในวันที่เธอรับศีลล้างบาป จงรู้เถิดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไป การพิจารณาไตร่ตรองถึงความรักอันยิ่งใหญ่นี้จะนำมาซึ่งความหวังและความยินดีแก่ดวงใจของเราซึ่งไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายมันได้  คริสตชนจะต้องไม่รู้จักเศร้า เพราะว่าพวกเขาได้พบกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงมอบชีวิตของพระองค์เองให้แก่พวกเขา

การแสวงหาและการที่จะได้พบพระองค์ในชีวิตของเรา ยังหมายถึงการยอมรับพระวาจาของพระองค์ด้วย ซึ่งเป็นความยินดีสำหรับดวงใจของเรา ประกาศกเยเรมีห์เขียนไว้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าพบพระวาจา ข้าพเจ้าก็ได้กินพระวาจานั้น พระวาจาของพระองค์เป็นความชื่นบาน และเป็นความยินดีของจิตใจข้าพเจ้า” (ยรม. 15: 16)

จงเรียนรู้ที่จะอ่านและรำพึงพระคัมภีร์  เธอจะพบคำตอบสำหรับคำถามที่ลึกๆของเธอเกี่ยวกับความจริง พระวาจาของพระเจ้าจะเผยให้เธอเห็นถึงสิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ มันจะทำให้หัวใจของเราเปี่ยมด้วยความยินดี และมันจะนำเราไปสู่การถวายการสรรเสริญและการนมัสการ “มาเถิด เราจงสรรเสริญพระยาห์เวห์ด้วยความยินดี เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา” (สดด. 95: 1, 6)

พิธีกรรมคือสถานที่พิเศษที่พระศาสนจักรแสดงความยินดีที่ตนได้รับจากพระเจ้าและถ่ายทอดไปยังโลก  ในพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์บรรดาคริสตชนต่างพากันเฉลิมฉลองรหัสธรรมแห่งการไถ่กู้ซึ่งได้แก่การสิ้นพระชนม์และการกลับฟื้นพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับศิษย์ของพระองค์ เพราะว่าการบูชาแห่งความรักของพระองค์ถูกทำให้เป็นปัจจุบัน  วันอาทิตย์เป็นวันที่เราพบกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพ ฟังพระวาจาของพระองค์ และได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระกายและพระโลหิตของพระองค์ดังที่เราได้ยินได้ฟังจากบทเพลงสดุดีบทหนึ่งว่า “นี่คือวันที่องค์พระผู้เป้นเจ้าทรงสร้าง เราจงยินดีและมีความสุขเถิด” (สดด.118: 24)

ในวันตื่นเฝ้าก่อนปัสกาพระศาสนจักรขับร้องบทแสดงความชื่นชมยินดี (Exultet) อันเป็นบทเพลงแสดงความยินดีในชัยชนะของพระเยซูคริสตเจ้าเหนือบาปและความตาย “คณะนักขับร้องเทวทูตเอ๋ย จงขับร้องเถิด... โลกมนุษย์เอ๋ย จงชื่นชมยินดีในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด... ขอให้สถานที่นี้จงก้องกังวานด้วยความชื่นชมยินดี ให้มันเป็นเสียงสะท้อนบทเพลงแห่งประชากรของพระเจ้าทุกคน” ความยินดีของคริสตชนเกิดจากการตระหนักดีว่าตนได้รับความรักจากพระเจ้าผู้ทรงเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ มอบชีวิตของพระองค์สำหรับเรา เอาชนะบาปและความตาย มันหมายถึงการเจริญชีวิตในความรักเพื่อพระองค์ ดังที่นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูภคิณีคณะคาร์เมไลต์บันทึกไว้ว่า “ข้าแต่พระเยซู ความชื่นชมยินดีของดิฉันคือการที่ได้รักพระองค์” (หน้า 45 วันที่ 21 มกราคม 1897)

4. ความชื่นชมยินดีแห่งความรัก เยาวชนที่รัก  ความยินดีนั้นเชื่อมสัมพันธ์กันกับความรักอย่างใกล้ชิด ทั้งสองเป็นพระพรของพระจิตที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ (เทียบ กท. 5: 23) ความรักก่อให้เกิดความยินดี และความยินดีก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความรัก บุญราศีเทเรซาแห่งกัลกัตตากล่าวโดยอาศัยคำพูดของพระเยซู “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ” (กจ. 20: 35)  เมื่อเธอกล่าวว่า “ความชื่นชมยินดีเป็นตาข่ายแห่งรักที่ท่านสามารถใช้ดักวิญญาณได้  พระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยความชื่นชมยินดี ผู้ใดที่ให้ด้วยความยินดีเป็นผู้ที่ให้มากกว่า” ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ข้ารับใช้พระเจ้าลิขิตไว้ว่า “ในพระเจ้านั้นทุกสิ่งเป็นความชื่นชมยินดี เพราะทุกอย่างเป็นการให้” (สมณลิขิตเตือน Gaudete in Domino 9 พฤษภาคม 1975)

ในทุกมิติแห่งชีวิตของเธอ เธอควรจะรู้ไว้ว่าการรักหมายถึงการยืนหยัดมั่นคง ไว้ใจได้ และสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ นี่หมายถึงมิตรภาพเป็นพิเศษ  มิตรสหายของเราคาดหวังว่าเราเป็นคนที่จริงใจ ไม่หักหลัง และมีความซื่อสัตย์ เพราะความรักจะยืนหยัดมั่นคงแม้ในเวลาที่มีความยากลำบาก เช่นเดียวกันกับการทำงาน การเล่าเรียน และการรับใช้ของเธอ  ความซื่อสัตย์และความยืนหยัดมั่นคงในการกระทำความดีนำมาซึ่งความยินดี ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดผลให้เห็นทันทีทันใดก็ตาม

หากเราอยากมีประสบการณ์กับความยินดีแห่งความรัก เราต้องเป็นคนใจกว้างด้วย เราไม่ควรพอใจกับการให้ในสิ่งเล็กน้อยที่สุด เราต้องรับผิดชอบเต็มที่ในชีวิตและให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อผู้ที่มีความต้องการ  โลกต้องการมนุษย์ชายหญิงที่เก่งและมีใจกว้าง พร้อมที่จะรับใช้ความดีส่วนรวม จงพยายามจนสุดความสามารถที่จะเล่าเรียนด้วยคามตั้งอกตั้งใจ ที่จะพัฒนาศักยภาพและใช้ศักยภาพเหล่านั้นรับใช้ผู้อื่นแม้กระทั่งบัดนี้ จงหาทางที่จะช่วยสังคมให้มีความชอบธรรมและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ขอให้ทั้งชีวิตของเธอจงได้รับการชี้นำจากจิตตารมย์แห่งการรับใช้ ไม่ใช่มัวแต่แสวงหาอำนาจ ความสำเร็จด้านวัตถุและเงินทอง

เมื่อพูดถึงความใจกว้าง พ่ออยากจะเอ่ยถึงความยินดีพิเศษอย่างหนึ่ง  มันเป็นความชื่นชมยินดีที่เรารู้สึกเมื่อเราตอบรับกระแสเรียกในการมอบชีวิตทั้งครบของเราแด่พระเจ้า  เยาวชนที่รัก  อย่ากลัวหากพระคริสตเจ้าทรงเรียกเธอให้เป็นนักบวช เป็นนักพรต เป็นธรรมทูต หรือเป็นพระสงฆ์   ขอให้เธอมั่นใจได้เลยว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกคนเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีผู้ที่ตอบสนองต่อการเชื้อเชิญของพระองค์ให้สละทุกสิ่งเพื่อที่จะอยู่กับพระองค์ เพื่ออุทิศตนด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแบ่งให้ใครในการรับใช้ผู้อื่น  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าจะทรงประทานความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์ชายหญิงที่มอบตนเองทั้งครบแก่กันและกันในการสมรสเพื่อสร้างครอบครัวและเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระคริสตเจ้าต่อพระศาสนจักร

พ่อขอเตือนเธอถึงปัจจัยที่สามที่จะนำเธอไปสู่ความชื่นชมยินดีแห่งความรัก  มันคือการที่ยอมปล่อยให้ความรักฉันพี่น้องเจริญพัฒนาขึ้นในชีวิตของเธอ และในชีวิตของเพื่อนๆ ที่อยู่ในชุมชนเดียวกันกับเธอ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับความชื่นชมยินดี มันไม่ใช่เป็นการบังเอิญที่นักบุญเปาโลเตือนว่า “จงชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงชื่นชมเถิด ” (ฟป. 4: 4)

ที่ถูกเขียนขึ้นหลายครั้ง และส่งไปถึงชุมชนในฐานะที่เป็นชุมชน ไม่ใช่ส่งไปถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  ตราบใดที่เรารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแห่งมิตรภาพเมื่อนั้นเราจะมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีนี้ ในหนังสือกิจการของอัครสาวกมีการกล่าวถึงคริสตชนรุ่นแรกว่าดังนี้ “เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำพิธีบิขนมปัง ร่วมกินอาหารด้วยความยินดี” (กจ. 2: 46) พ่อขอร้องพวกเธอให้ใช้ความพยายามทุกอย่างในการช่วยชุมชนคริสตชนให้เป็นสถานที่พิเศษแห่งการแบ่งปัน สนใจ และห่วงใยซึ่งกันและกัน

5. ความชื่นชมยินดีจากการสนทนา เยาวชนที่รัก  การมีประสบการณ์กับความยินดีที่แท้จริงยังหมายถึงการรับรู้ถึงการประจญที่จะพาเราให้ออกห่างไปด้วย วัฒนธรรมในยุคปัจจุบันของเราบ่อยครั้งบีบบังคับเราให้แสวงหาเป้าหมายที่อยู่ใกล้ตัว ความสำเร็จ และความสุขสบาย  ซึ่งมักจะส่งเสริมสิ่งที่ไม่คงทนถาวรมากกว่าจะส่งเสริมความสุขถาวร การทำงานหนัก และความซื่อสัตย์ต่อพันธกิจหน้าที่  กระแสที่ถูกส่งมาให้นั้นส่งเสริมจิตตารมย์แห่งบริโภคนิยมและความสุขจอมปลอม ประสบการณ์สอนเราว่านั่นมิได้เป็นหลักประกันของความสุขที่แท้จริง มีคนกี่มากน้อยที่แวดล้อมไปด้วยทรัพย์สินวัตถุเงินทอง แต่ชีวิตของพวกเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า และความว่างเปล่า  เพื่อที่จะมีความชื่นชมยินดีถาวรเราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตในความรักและในความจริง  เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตในพระเจ้า

พระเจ้าต้องการให้เรามีความสุข  นี่เป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงประทานคำแนะนำพิเศษสำหรับการเดินทางแห่งชีวิต นั่นก็คือพระบัญญัติ ถ้าเราถือพระบัญญัติเราก็จะพบหนทางสู่ชีวิตและความสุข  หากมองเผินๆแล้วอาจดูเหมือนเป็นบัญชีรายการต้องห้ามซึ่งเป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพของเรา  แต่หากเราศึกษาดูอย่างใกล้ชิด เราจะเห็นภายใต้แสงสว่างแห่งสาส์นของพระคริสตเจ้าว่า พระบัญญัติเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญทรงค่าชุดหนึ่งอันจะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขตามแผนการของพระเจ้า ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่เราเห็นว่าการเลือกสร้างชีวิตของเราโดยห่างเหินจากพระองค์และน้ำพระทัยของพระองค์นั้นนำมาซึ่งความผิดหวัง ความโศกเศร้า และความล้มเหลว  ประสบการณ์ของบาปเป็นการปฏิเสธที่จะติดตามพระเจ้าและเป็นการไม่ยอมรับมิตรภาพของพระองค์นั้นนำมาซึ่งความสิ้นหวังให้กับดวงใจของเรา

บางครั้งหนทางแห่งชีวิตคริสตชนไม่ใช่เรื่องง่าย การสัตย์ซื่อต่อความรักของพระเจ้าเป็นอุปสรรค บางครั้งเราก็ผิดพลาดไป  แต่ในพระเมตตาของพระเจ้าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา  พระองค์ประทานความเป็นไปได้เสมอที่จะให้เราหันกลับไปหาพระองค์ใหม่ คืนดีกันกับพระองค์ และมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีในความรักของพระองค์ซึ่งให้อภัยและต้อนรับให้กลับเข้ามาคืนดีกับพระองค์

เยาวชนที่รัก จงไปแก้บาปบ่อยๆ ศีลอภัยบาปเป็นศีลแห่งการค้นพบความชื่นชมยินดีใหม่ วอนขอแสงสว่างจากพระจิตเพื่อยอมรับความบาปของเธอและทูนขอการอภัยจากพระเจ้า จงไปรับศีลนี้อย่างสม่ำเสมอด้วยความสงบและความไว้ใจ  พระเจ้าจะอ้าแขนรับเธอเสมอ พระองค์จะชำระล้างเธอและนำเธอไปสู่ความชื่นชมยินดีของพระองค์ เพราะสวรรค์จะมีความยินดีที่คนบาปคนหนึ่งกลับใจ (เทียบ ลก. 15: 7)

6. ความชื่นชมยินดีในยามทุกข์สุดท้าย เราก็ยังอาจสงสัยในดวงใจว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะเจริญชีวิตด้วยความยินดีท่ามกลางความทุกข์ยากของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทุกข์ที่หนักหนาสาหัส เราสงสัยว่าการติดตามพระเจ้าและการวางใจในพระองค์จะนำมาซึ่งความสุขเสมอไปหรือไม่ เราสามารถพบคำตอบได้ในประสบการณ์ของคนหนุ่มสาวบางคน เช่นตัวเธอเองที่พบความสว่างในพระคริสตเจ้าที่ประทานพละกำลังและความหวังแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก  บุญราศี Pier Giorgio Frassati (1901-1925) ประสบกับความทุกข์ยากหลายอย่างในชิวิตสั้นๆของเขารวมถึงประสบการณ์แห่งความรักที่ทำให้เขาอกหักซึ่งทำให้เขาเสียใจยิ่ง

ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้เขาเขียนจดหมายถึงพี่สาวว่า “พี่ถามน้องว่าน้องมีความสุขดีไหม น้องจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ตราบใดที่ความเชื่อให้พลังแก่น้อง น้องก็มีความสุข คาทอลิกไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้นอกจากเป็นผู้ที่มีความสุข....เป้าหมายที่เราถูกสร้างขึ้นมาหมายถึงหนทางที่มีขวากหนาม แต่ไม่ใช่หนทางแห่งความเศร้า เป็นหนทางแห่งความชื่นชมยินดีแม้จะต้องมีความเจ็บปวดมาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม” (จดหมายถึงพี่สาว Luciana ตุริน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1925) เมื่อบุญราศีพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 มอบบุญราศี Pier Giorgio ให้เป็นแบบฉบับของเยาวชน พระองค์ทรงพูดถึงเขาว่า “เป็นเด็กหนุ่มผู้มีความยินดีที่ไม่มีอะไรเสียมาเจือปน เป็นความชื่นชมยินดีที่เอาชนะความยากลำบากต่างๆในชีวิตของเขา” (คำปราศรัยต่อเยาวชน ตุริน วันที่ 13 เมษายน 1980)

ที่ใกล้ตัวเราหน่อยคือ Chiara Badano (1971-1990) ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศีเมื่อไม่นานมานี้ เธอมีประสบการณ์ว่าความเจ็บปวดสามารถเปลี่ยนได้ด้วยความรัก จนกลายเป็นความชื่นชมยินดีอย่างล้ำลึกได้อย่างไร เมื่อตอนที่เธออายุ 18 ในขณะที่ทรมานอย่างสาหัสจากโรคมะเร็ง เกียร่าสวดขอพระจิตและวิงวอนให้เยาวชนที่อยู่ในกระบวนการเดียวกันกับเธอ  เธอสวดขอให้ตนหายจากโรคมะเร็งและขอพระเจ้าประทานความสว่างและปรีชาญาณให้กับเยาวชนทุกคนเดชะพระจิต  “เป็นช่วงเวลาแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง กายของดิฉันกำลังรับทุกข์ทรมาน แต่ดวงวิญญาณของดิฉันกำลังขับร้องเพลงสรรเสริญ”  (จดหมายถึง Chiara Lubich, Sasello, วันที่ 20 ธันวาคม 1989) 

เคล็ดลับที่ทำให้เธอมีสันติและความชื่นชมยินดีคือความไว้ใจอย่างสิ้นเชิงในพระเจ้าและการยอมรับความเจ็บป่วยดุจการแสดงออกอย่างเร้นลับถึงน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับตัวเธอและสำหรับทุกคน บ่อยครั้งเธอมักจะสวดว่า “ข้าแต่พระเยซู ถ้าพระองค์ทรงปรารถนา ดิฉันก็ปรารถนาด้วยเช่นกัน” นี่เป็นแค่สองประจักษ์พยานที่เอามาจากประสบการณ์อื่นๆมากมายที่แสดงว่า คริสตชนที่แท้จริงนั้นไม่มีวันที่จะสิ้นหวังหรือโศกเศร้า ไม่กระทั่งเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมากมาย พวกเขาแสดงให้เห็นว่าความชื่นชมยินดีของคริสตชนไม่ใช่เป็นการหนีไปจากความจริง

แต่เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่ช่วยเราให้จัดการกับการท้าทายแห่งชีวิตประจำวัน เราทราบว่าพระคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนและเสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพประทับอยู่กับเราและพระองค์ทรงเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์เสมอ  เมื่อเรามีส่วนร่วมในมหาทรมานของพระองค์ ความทุกข์จะถูกเปลี่ยนเป็นความรัก และที่นั่นแหละที่เราจะพบกับความชื่นชมยินดี (เทียบ คส. 1: 24)

7. การเป็นประจักษ์พยานแห่งความชื่นชมยินดี เยาวชนที่รัก  สุดท้ายนี้ พ่ออยากจะให้กำลังใจพวกเธอในการเป็นธรรมทูตแห่งความชื่นชมยินดี เราไม่อาจที่จะมีความสุขได้หากคนอื่นไม่มีความสุข ความชื่นชมยินดีต้องมีการแบ่งปันกัน จงออกไปประกาศให้เยาวชนอื่นๆทราบถึงความชื่นชมยินดีของเธอที่ได้พบขุมทรัพย์ประเสริฐซึ่งได้แก่พระเยซูคริสตเจ้าเอง  เราไม่อาจที่จะเก็บความชื่นชมยินดีแห่งความเชื่อไว้ตามลำพังได้ หากเรามีความเชื่อ

เราต้องให้ความเชื่อดังกล่าวแก่ผู้อื่นด้วย นักบุญยอห์นกล่าวว่า “สิ่งที่เราได้เห็นและได้ฟังนี้ เราประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้สนิทสัมพันธ์กับเรา ความสนิทสัมพันธ์นี้คือความสนิทสัมพันธ์กับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสตเจ้า เราเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อความปิติยินดีของเราจะได้สมบูรณ์” (1 ยน. 1: 3-4)

บางครั้งคริสตศาสนาถูกมองว่าเป็นหนทางแห่งชีวิตที่จำกัดเสรีภาพของเรา และขัดกับความปรารถนาของเราที่อยากมีความสุขและความชื่นชมยินดี  ความคิดเช่นนี้อยู่ไกลจากความเป็นจริงมาก คริสตชนคือชายหญิงที่มีความสุขอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาทราบดีว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง พวกเขาทราบดีว่าพระเจ้าทรงปกป้องพวกเขาเสมอ  เยาวชนผู้ติดตามพระคริสตเจ้าทั้งหลาย  ขึ้นอยู่กับพวกเธอที่จะต้องแสดงให้โลกเห็นว่าความเชื่อนำความสุขมาให้ได้รวมถึงความชื่นชมยินดีที่เป็นของแท้ สมบูรณ์ ถาวร หากในบางครั้งการดำเนินชีวิตคริสตชนดูเหมือนจะน่าเบื่อไม่มีอะไรตื่นเต้น เธอควรเป็นคนแรกที่จะแสดงให้เห็นด้านที่เป็นความสุขและเป็นความยินดีของความเชื่อ พระวรสารเป็น “ข่าวดี” ที่พระเจ้าทรงรักเราและเราแต่ละคนก็มีความสำคัญสำหรับพระองค์ จงแสดงให้โลกเห็นว่านี่เป็นความจริง!

จงเป็นประจักษ์พยานที่มีความกระตือรือร้นแห่งการประกาศพระวรสารใหม่ จงไปหาผู้ที่ทนทุกข์ทรมานและผู้ที่กำลังแสวงหา จงมอบความชื่นชมยินดีที่พระคริสตเจ้าต้องการประทานให้แก่พวกเขา จงนำความชื่นชมยินดีมาสู่ครอบครัวของเธอ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน และผองเพื่อนของเธอไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เธอจะเห็นว่ามันจะบังเกิดผลเร็วแค่ไหน เธอจะได้รับตอบแทนเป็นร้อยเท่าพันทวี ทั้งที่เป็นความชื่นชมยินดีในความรอดของเธอเอง และความชื่นชมยินดีที่เห็นพระเมตตาของพระเจ้ากำลังทำงานในดวงใจของผู้อื่น  และเมื่อเธอต้องไปพบพระเจ้าในวันสุดท้าย เธอจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า “ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์... จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” (มธ. 25: 21)

ขอพระแม่มารี พรหมจารี ร่วมเดินทางไปกับเธอ  พระแม่ทรงต้อนรับพระคริสตเจ้าในตัวพระนางและทรงประกาศความชื่นชมยินดีนี้ด้วยบทเพลงแก่งคำสรรเสริญ “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า” (ลก.1: 46-47) พระแม่ทรงตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยการอุทิศชีวิตของพระนางแก่พระองค์ในการรับใช้ที่สุภาพและครบครัน พระแม่ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น “บ่อเกิดแห่งความชื่นชมยินดีของเรา” เพราะพระแม่ทรงประทานพระบุตรมาให้เรา ขอให้พระแม่นำพวกเธอไปสู่ความชื่นชมยินดีนั้นซึ่งเป็นความยินดีที่ไม่มีผู้ใดสามารถพรากไปจากพวกเธอได้

จากนครวาติกัน  วันที่ 15 มีนาคม 2012

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16

แปลโดย ว. ประทีป
เรียบเรียงโดย แผนกเยาวชน
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตชนฆราวาส