![]() | ||||||||||||||||
![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ||||||||||||||||
![]() | ||||||||||||||||
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย เทศกาลมหาพรตอันนำเราเข้าสู่วันสมโภชปัสกา เป็นเวลามีค่ามากที่สุดและมีความสำคัญในเชิงจารีตพิธีกรรมอย่างยิ่งสำหรับพระศาสนจักร ในโอกาสสำคัญนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะขอมอบคำขวัญสำคัญบางประการ เพื่อท่านจะได้นำเอาไปปฏิบัติด้วยความขยัน หมั่นเพียร ขณะที่พระศาสนจักรกำลังรอคอยที่จะได้เผชิญหน้ากับองค์พระผู้เป็นเจ้าในปัสกานิรันดร์กาล ชุมชนพระศาสนจักรผู้เร่าร้อนด้วยการสวดภาวนาและการทำบุญให้ทาน ต่างก็พยายามชำระล้างจิตใจของตนด้วยการสวดภาวนาอย่างเข้มข้น เพื่อจะได้มีชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้า ด้วยการรับอานิสงส์อย่างบริบูรณ์จากรหัสธรรมแห่งการไถ่กู้ของพระองค์ (เทียบ บทขอบพระคุณเทศกาลมหาพรต แบบที่ 1) 1.เราได้รับชีวิตใหม่นี้แล้วในวันที่เรารับศีลล้างบาป โดยที่เรา กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า และทันทีเราก็เริ่ม ผจญภัยที่น่ายินดีและสูงส่งแห่งการเป็นศิษย์ของพระองค์ (คำเทศน์วันสมโภชพระเยซูเจ้า ทรงรับพิธีล้าง 10 มกราคม 2010) ในจดหมายหลายฉบับของนักบุญเปาโล ท่านย้ำบ่อยๆ ถึงความสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระบุตรของพระเป็นเจ้าว่า ศีลล้างบาปนี้นำอะไรมาสู่เราบ้าง ความจริงแล้วศีลล้างบาปที่เรา ส่วนใหญ่ได้รับตั้งแต่ยังเป็นทารกนั้น ชี้ให้เราเห็นถึงของขวัญของพระเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดจะรับชีวิตนิรันดรโดยอาศัยความพยายามของตนเองได้ พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งทำลายบาป และในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เราได้มีประสบการณ์ถึง ความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมี (ฟป 2:5) นั้นเป็นพระหรรษทานแบบให้เปล่าที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ทุกคน ในจดหมายที่มีถึงชาวฟิลิปปีท่านอัครสาวกของชนต่างศาสนาแสดงออกซึ่งความหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาศัยการมีส่วนร่วมในการสิ้นพระชนม์ และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า โดยชี้ให้เห็นเป้าหมายว่าเพื่อที่ ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระองค์ รู้จักฤทธานุภาพของการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ต้องการมีส่วนร่วมในพระ-ทรมานของพระองค์ โดยมีสภาพเหมือนพระองค์ในความตาย จะได้บรรลุถึงการกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายด้วย (ฟป 3:10-11) ดังนั้น ศีลล้างบาปจึงมิใช่เป็นเพียงจารีตพิธีในอดีต แต่ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป เมื่อได้รับชีวิตของพระเป็นเจ้าและได้รับการเรียกร้องให้กลับใจอย่างแท้จริงแล้ว ต่างก็ได้รับพระพรและการสนับสนุนโดยพระหรรษทาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปเจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตามพระฉบับของพระคริสตเจ้า ศีลล้างบาปมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับเทศกาลมหาพรต เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะมีประสบการณ์ กับพระหรรษทานที่ช่วยให้รอด บรรดาปิตาจารย์แห่งสังคายนาวาติกันที่2 เตือนบรรดาพระสงฆ์ผู้อภิบาลวิญญาณให้ใช้ คุณลักษณะแห่งศีลล้างบาปที่มีเฉพาะสำหรับเทศกาลมหาพรต(ธรรมนูญว่าด้วยพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ Sacrosanctum concilium ข้อ 109) ความจริงแล้วพระศาสนจักรมักเชื่อมโยงคืนตื่นเฝ้าปัสกาด้วยการเฉลิมฉลองศีลล้างบาป เพราะศีลล้างบาปนี้ทำให้รหัสธรรม ยิ่งใหญ่กลายเป็นความจริง คือมนุษย์ที่ตายต่อบาปถูกทำให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในชีวิตใหม่แห่งพระคริสตเจ้า ผู้เสด็จกลับคืนพระชนมชีพและรับพระจิตของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงทำให้พระเยซูเจ้ากลับฟื้นจากความตาย (เทียบ รม 8:11) พระหรรษทานที่ประทานให้เปล่านี้จะต้องได้รับการจุดให้ลุกโชติช่วงชัชวาลในแต่ละคน อย่างสม่ำเสมอ และเทศกาลมหาพรตก็เปิดทางให้เราปฏิบัติเฉกเช่นคริสตชนสมัยแรกๆ ที่กำลังเรียนคำสอน ซึ่งก็คงเหมือนกับคริสตชนที่กำลังเรียนคำสอนในปัจจุบัน เป็นเสมือนโรงเรียนแห่งความเชื่อและชีวิต คริสตชนที่จะหาสิ่งใดมาทดแทนมิได้ พวกเขาดำเนินชีวิต ศีลล้างบาปของตน ดุจการปฏิบัติที่หล่อหลอมความเป็นอยู่ทั้งชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว 2.เพื่อให้การเดินทางของเราสู่วันปัสกาเป็นเรื่องจริงจัง และเป็นการเตรียมตัวเฉลิมฉลองการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองที่น่าชื่นชมยินดีและสง่างามที่สุดในปฏิทินการเฉลิมฉลอง รอบปี จะมีอะไรดีไปกว่าปล่อยให้พระวาจาของพระเจ้านำพาเราไป เพราะเหตุนี้ พระศาสนจักรโดยอาศัยบทพระวรสารวันอาทิตย์ในเทศกาลมหาพรต จึงค่อยๆนำเราให้ได้เผชิญหน้ากันอย่างเป็นพิเศษกับพระคริสตเจ้า ด้วยการเตือนใจเราให้รำลึกถึงขั้นตอนต่างๆ ก่อนที่จะรับศีลล้างบาป ซึ่งหากเป็นผู้ที่กำลังเรียนคำสอนอยู่ก็เพื่อเตรียมตัวที่จะรับศีลแห่งการเกิดใหม่ ส่วนสำหรับผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วนั้นก็ดำเนินไปตามขั้นตอนต่างๆ ในการเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระคริสตเจ้า และยอมมอบตนเองให้กับพระองค์ให้มากยิ่งขึ้น การเดินทางวันอาทิตย์สัปดาห์แรกในเทศกาลมหาพรต เผยให้เราเห็นถึงสภาพของมนุษย์ในโลกนี้ สงครามที่มีชัยต่อการผจญล่อลวงและการเริ่มต้นแห่งพันธกิจของพระเยซูเจ้า ล้วนแล้วแต่เป็นการเชิญชวน ให้เราได้ตระหนักถึงความอ่อนแอของเรา เพื่อที่เราจะได้รับพระหรรษทานอันจะทำให้เราเป็นไทจากบาป แล้วได้รับพละกำลังใหม่ในองค์พระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต (เทียบ ระเบียบการรับคริสตชนที่เป็นผู้ใหญ่ ข้อ 25) มันเป็นการเตือนสติที่รุนแรงมากว่า ความเชื่อของคริสตชนหมายถึงการเลียนแบบฉบับของพระเยซูและเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นั่นคือต้องทำสงคราม ต่อต้านอำนาจของผู้ปกครองที่เป็นเจ้านายแห่งความมืดในโลกนี้ (อฟ 6: 12)
ซึ่งปีศาจกำลังทำงานอยู่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้กระทั่งทุกวันนี้ มันพยายามล่อลวงทุกคนที่พยายามจะเข้าใกล้พระเยซู ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพอย่างผู้มีชัย เพื่อเปิดดวงใจเราให้มีความหวัง ตลอดจนนำพาเราให้ได้รับชัยชนะเหนือสิ่งชั่วช้าที่คอยหลอกลวงเรา มันเป็นคำเชื้อเชิญให้เราอยู่ห่างไกลจากเสียงรบกวนในชีวิตประจำวันเพื่อปลีกตัวเองให้ไปอยู่ท่ามกลางการประทับอยู่ของพระเป็นเจ้า ทุกวันพระองค์ทรงปรารถนาที่จะมอบพระวาจาซึ่งเจาะทะลุทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณเรา ณ ที่ซึ่งเราสามารถแยกแยะความดี จากความชั่วได้ (เทียบ ฮบ 4:12) อีกทั้งจะเพิ่มพูนความตั้งใจของเราในการติดตามพระองค์ไป คำถามที่พระเยซูตรัสกับหญิงชาวสะมาเรีย ขอน้ำเราดื่มหน่อยสิ (ยน 4:7) ถูกนำมาถามเราเองในพิธีกรรมของวันอาทิตย์สัปดาห์ที่สาม มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพิสมัยของพระเป็นเจ้าที่มีต่อมนุษย์ชายหญิงทุกคน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะจุดประกายในดวงใจของเรา ซึ่งความปรารถนาที่จะได้รับพระพรแห่ง น้ำพุภายใน ที่พุ่งขึ้นมาแสวงหาชีวิตนิรันดร์ (ยน 4:14) มีแต่น้ำประเภทนี้เท่านั้นที่จะสามารถดับความกระหายของเรา เพื่อแสวงหาความดี ความจริง และความสวยงาม มีแต่น้ำนี้ที่มอบให้จากพระบุตรเท่านั้นที่จะสามารถทำให้ทะเลทรายแห่งดวงวิญญาณที่อยู่ไม่เป็นสุขและไม่รู้จักอิ่มพอมีความอุดมสมบูรณ์ได้ จนกระทั่งดวงวิญญาณของเรา พบที่พักพิงในพระเป็นเจ้า ดังคำพูดอันลือเลื่องของนักบุญเอากุสตีโนที่กล่าวไว้พระวรสารวันอาทิตย์ที่เล่าถึง ชายผู้เกิดมาตาบอด แสดงให้เราทราบถึงพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นแสงสว่างของโลก พระวรสารดังกล่าวท้าทายเราแต่ละคนด้วยคำถามว่า ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือไม่? ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อ! (ยน 9:35. 38) ชายผู้เกิดมาตาบอดขานตอบด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยการเปล่งเสียงดังให้ผู้ที่มีความเชื่อทุกคนได้ยิน อัศจรรย์นี้เป็นเครื่องหมาย ที่แสดงว่า พระคริสตเจ้าไม่เพียงแต่ต้องการที่จะมอบสายตาให้เรามองเห็นได้เท่านั้น แต่ทรงเปิดวิสัยทัศน์ภายในของเราด้วย เพื่อความเชื่อของเราจะได้มีความล้ำลึกมากยิ่งขึ้นและเพื่อเราจะได้ยอมรับพระองค์ว่าทรงเป็นพระผู้ไถ่แต่พระองค์เดียวของเรา พระองค์ทรงนำความสว่างมาให้ทุกคนที่มีชีวิตบอดมืด และนำพวกเขาให้มีชีวิตดุจ บุตรธิดาแห่งความสว่าง ในวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ห้า เมื่อมีการประกาศการฟื้นชีวิตของลาซารัส เราก็ต้องเผชิญกับรหัสธรรมสูงสุดแห่งการมีชีวิตของเราเราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต...ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?(ยน 11:25-26) สำหรับชุมชนคริสตชน มันเป็นช่วงเวลาที่จะต้องตั้งความหวังของเราทั้งหมดไว้ในพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ เช่นเดียวกันกับมาร์ธา เชื่อพระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้ (ยน 11:27) ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสตเจ้าในชีวิตนี้ จะเตรียมตัวเราให้ได้ชัยชนะต่ออุปสรรคแห่งความตาย เพื่อเราจะได้มีชีวิตนิรันดรกับพระองค์ ความเชื่อในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายและความหวังในชีวิตนิรันดร เปิดตา ของเราให้เห็นความหมายสุดท้ายแห่งการมีชีวิต พระ-เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงเพื่อการกลับคืนชีพและมีชีวิตนิรันดร ความจริงนี้ให้ความหมายที่แน่นอนชัดเจนแก่ประวัติศาสตร์มนุษย์ แก่ชีวิตของมนุษย์ชายหญิง แต่ละคนและแก่สังคม แก่วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐศาสตร์ด้วย ปราศจากซึ่งแสงสว่างแห่งความเชื่อแล้วไซร้ จักรวาลทั้งปวงก็จะมลายสิ้นในหลุมศพที่ไม่มีอนาคตและความหวังใดเลย การเดินทางช่วงเทศกาลมหาพรตประสบกับความสมบูรณ์ครบถ้วนในตรีวาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนศักดิ์สิทธิ์แห่งการตื่นเฝ้า ด้วยการรื้อฟื้นคำสัญญาในวันรับศีลล้างบาป เรายืนยันว่าพระคริสตเจ้าคือพระเจ้าแห่งชีวิตของเรา เรายืนยันว่าชีวิตที่พระเป็นเจ้าประทานให้นั้น เมื่อเราเกิดใหม่จาก น้ำและพระจิตเจ้า เราก็แสดงความเชื่อมั่นอีกครั้งหนึ่งว่า เราจะตอบสนองต่อพระ-หรรษทานเพื่อจะเป็นศิษย์ของพระองค์ 3.อาศัยการมอบตนเองของเราสู่การสิ้นพระชนม์ และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า โดยอาศัยศีลล้างบาป เราก็ขับเคลื่อนดวงใจของเราให้เป็นอิสระทุกวันจากภาระหน้าที่ด้านวัตถุต่างๆ จากความสัมพันธ์ที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกับ โลก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนยากจน อีกทั้งทำให้เราไม่มีเวลาให้กับพระเจ้าและเพื่อนบ้าน แต่ในพระคริสตเจ้า พระเป็นเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์เองว่าเป็นองค์แห่งความรัก (เทียบ 1ยน 4:7-10) ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นพระวจนาตถ์แห่งไม้กางเขน แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพแห่งการไถ่กู้ของพระเจ้า (เทียบ 1คร 1:18) ที่ประทานให้เพื่ออุ้มชูมนุษย์ชายหญิงขึ้นมาใหม่และนำพวกเขาไปสู่ความรอด มันเป็นความรักในมิติสุดยอด (เทียบสมณสาส์น Dues Caritas Est ข้อ 12) อาศัยขนบธรรมเนียมปฏิบัติในการจำศีล การทำบุญให้ทาน และการสวดภาวนา ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจของเราที่จะกลับใจ เทศกาลมหาพรตสอนเราให้รู้จักดำเนินชีวิตแห่งความรักของพระคริสตเจ้าได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น การอดอาหารซึ่งอาจเกิดจากความตั้งใจหลายประการด้วยกันนั้น มีความหมายในมิติของศาสนาที่ล้ำลึกมากสำหรับบรรดาคริสตชน โดยรับประทานอาหารน้อยกว่าเดิม เราสามารถเรียนรู้ที่จะเอาชนะการเห็นแก่ตัวของเรา เพื่อดำเนินชีวิตในตรรกะแห่งการมอบตนเองเป็นของขวัญและมีหัวใจที่รู้จักรัก อาศัยการเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เหลือกินเหลือใช้ เราก็เรียนรู้ที่จะมองข้าม ตัวฉัน ไป เพื่อที่จะได้พบกับบางอย่างที่อยู่ใกล้ชิดตัวเรา ซึ่งจะทำให้เรารู้จักพระเป็นเจ้าบนใบหน้าของบรรดาพี่น้องชายหญิงมากมาย สำหรับคริสตชนแล้วการจำศีลไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ แต่เป็นการทำให้เราได้ใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้ามากขึ้น และทำให้เรามีโอกาสสนองตอบความต้องการของผู้อื่นเพิ่มขึ้น จึงเท่ากับเป็นการทำให้ความรักที่มีต่อพระเป็นเจ้านั้น กลายเป็นความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย (เทียบ มก 12:31)ในการเดินทางของเรานั้น บ่อยครั้งเราต้องเผชิญกับการโน้มน้าวที่จะสะสมและลุ่มหลงเงินทอง ซึ่งเป็นการผลักดันพระเป็นเจ้ามิให้เป็นหมายเลขหนึ่งในชีวิตของเรา ความละโมบในทรัพย์สินเงินทองนำไปสู่การใช้ความรุนแรง การเอารัดเอาเปรียบและความตาย ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลมหาพรต นี้ จึงเตือนเราให้ทำบุญทำทาน ซึ่งหมายถึงมีการแบ่งปันกันส่วนการบูชาวัตถุนั้น ไม่เพียงแต่จะผลักดันเราให้หลุดพ้นไปจากผู้อื่นเท่านั้น มันยังจะทำให้เขาผู้นั้นรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่า ไม่มีความสุข หลอกลวงตัวเอง ทำให้เขาผู้นั้นเกิดความสับสนโดยที่ไม่สามารถจะบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการได้ เพราะเขาผู้นั้นยึดถือเอาวัตถุแทนที่จะเอาพระเจ้าเป็นที่ตั้ง เพราะพระเจ้าแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่จะเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต เราจะเข้าใจความดีเยี่ยงบิดา ของพระเป็นเจ้าได้อย่างไร หากหัวใจของเราเต็มไปด้วยการเห็นแก่ตัว และการกระทำต่างๆ ของเราก็หลอกตัวเราเองว่า อนาคตของเรานั้นมีหลักประกันมั่นคง การล่อลวงนั้นก็คือการคิดเช่นเดียวกันกับชายร่ำรวยในนิทานเปรียบเทียบ วิญญาณเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี... เราต่างก็ตระหนักดีถึงคำพิพากษาของพระเป็นเจ้า คนโง่เอ๋ย คืนนี้เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป (ลก 12:19-20) การทำบุญให้ทานเป็นการเตือนใจให้ระลึกถึงความเป็นเลิศของพระเป็นเจ้า และเป็นการเบนความสนใจของเราไปหาผู้อื่น เพื่อเราจะได้พบว่า พระบิดาเจ้านั้นทรงคุณงามความดีสักเพียงใด แล้วเราจะได้รับพระเมตตาของพระองค์ ตลอดระยะเวลาเทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรนำเอาพระวาจาของพระเจ้าที่มีความหมายสมบูรณ์แบบอย่างเป็นพิเศษมามอบให้เรา อาศัยการรำพึงและนำพระวาจามาไตร่ตรอง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตไปตามนั้น ทุกวัน เราสามารถเรียนรู้การสวดภาวนาที่มีคุณค่าและหาที่ใดไม่ได้ โดยอาศัยการสดับฟังพระองค์อย่างตั้งอกตั้งใจ พระองค์จะตรัสกับดวงใจของเรา แล้วเราก็หล่อเลี้ยงการเดินทางแห่งความเชื่อซึ่งเราได้รับมาตั้งแต่วันที่เราได้รับศีลล้างบาป การสวดภาวนายังจะทำให้เราได้มีความรู้ใหม่เรื่องของเวลา ความจริงหากมิคำนึงถึงมิติแห่งนิรันดร์กาลและสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติแล้ว เวลาก็มีแต่นำเราไปสู่ทิศทางที่ปราศจากซึ่งอนาคต ตรงกันข้าม เวลาเราสวดภาวนา เรามีเวลาสำหรับพระ-เป็นเจ้าเพื่อที่จะเข้าใจว่า พระวาจาของพระองค์จะไม่มีวันผ่านพ้นไป (เทียบ มก 13:31) เพื่อจะเข้าไปอยู่ในสายสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้ (ยน 16:22) เท่ากับเป็นการเปิดประตูให้กับตัวเราเองสู่ความหวังที่จะไม่มีวันทำให้เราต้องผิดหวัง นั่นคือชีวิตนิรันดร สรุปคือ การเดินทางในเทศกาลมหาพรต ที่เราได้รับ การเชื้อเชิญให้พิศเพ่งไตร่ตรองรหัสธรรมแห่งไม้กางเขน นี้ มีจุดประสงค์ที่จะทำให้เกิดภายในตัวเราซึ่ง รูปแบบแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (ฟป 3:10) เพื่อทำให้เรากลับใจเปลี่ยนชีวิต เพื่อเราจะได้ถูกปรับเปลี่ยนด้วยการกระทำของพระจิตเจ้า เฉกเช่นนักบุญเปาโลผู้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อเราจะได้ปรับการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า เพื่อที่เราจะได้หลุดพ้นจากการเห็นแก่ตัว เอาชนะสัญชาตญาณที่มุ่งแต่เอาเปรียบผู้อื่น และเปิดใจเราให้มีความรักต่อพระคริสตเจ้า เทศกาลมหาพรตเป็นเวลาดีมากที่จะยอมรับความอ่อนแอของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเราอย่างจริงจัง เพื่อรับพระหรรษทานแห่งศีลอภัยบาป เพื่อเดินรอยตามพระยุคลบาทของพระคริสตเจ้าไปด้วยใจเด็ดเดี่ยว พี่น้องชายหญิงที่รัก อาศัยการเผชิญหน้าเป็นการส่วนตัวกับพระผู้ไถ่และอาศัยการจำศีล การทำบุญให้ทานและการสวดภาวนา การเดินทางแห่งการกลับใจสู่วันฉลองปัสกา จะนำเราให้ได้พบกับศีลล้างบาปของเราใหม่ ในมหาพรตปีนี้ ขอให้เราจงได้รับพระหรรษทาน ที่พระเป็นเจ้าประทานให้ในช่วงเวลานั้น เพื่อพระหรรษทาน จะได้นำความสว่างมาสู่เราและนำพาการกระทำทุกอย่าง ของเรา สิ่งที่ศีลศักดิ์สิทธิ์ให้ความหมายและต้องตระหนักถึงนั้น เราถูกเรียกร้องให้มีประสบการณ์ทุกวัน โดยการติดตามพระคริสตเจ้าด้วยใจกว้างและจริงใจ ในการเดินทางของเรานี้ ขอให้เรามอบตัวเราไว้กับพระแม่มารีย์พรหมจารี ผู้ทรงให้กำเนิดพระวจนาตถ์ทั้งในความเชื่อและในเลือดเนื้อ เพื่อพวกเราทุกคนจะได้มอบตนเองทั้งครบให้กับการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพ แห่งพระบุตรของพระนาง และได้รับชีวิตนิรันดร เช่นเดียวกันกับพระแม่ด้วยเทอญ | ||||||||||||||||
จากวาติกัน 4 พฤศจิกายน 2010 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 | ||||||||||||||||
ขอขอบคุณ อุดมสาร | ||||||||||||||||
![]() | ||||||||||||||||