เยาวชนที่รักทั้งหลาย
เย็นวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้ยินคำสัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระคริสตเจ้าว่า ท่านจะรับอานุภาพเมื่อ พระจิตเจ้าเสด็จมาเหนือท่าน และได้ยินพระบัญชาของพระองค์โดยให้ เป็นพยานถึงเราจนถึงสุดปลายแผ่น ดิน (กจ 1:8)
นี่คือพระวาจาสุดท้ายเจ้าก่อนพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์เราได้แต่จินตนาการว่าบรรดาอัครสาวกรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินพระวาจานี้และรู้ว่าความรักอันลึกล้ำของพวกเขาต่อพระเยซูเจ้าและความวางใจในพระวาจาของพระองค์เป็นเหตุให้พวกเขามารวมตัวกันและเฝ้ารอมิใช่รอคอยอย่างไร้จุดหมายแต่มารวมตัวกันสวดภาวนาพร้อมกับบรรดาสตรีและพระนางมารีย์ในห้องชั้นบน (เทียบ กจ 1:14) คืนนี้เราก็ทำเช่นเดียวกันเรามารวมตัวกันภาวนาเบื้องหน้ากางเขนซึ่งผ่านการเดินทางมาอย่างโชกโชนและพระรูปของพระนางมารีย์และภายใต้กลุ่มดาว SOUTHERN
CROSS อันงามสง่า คืนนี้ข้าพเจ้าภาวนาเพื่อท่านและเพื่อเยาวชนทั่วโลกขอให้ตัวอย่างของนักบุญองค์อุปถัมภ์ของท่านจง เป็นแรงบันดาลใจแก่ท่านจงน้อมรับพระพรเจ็ดประการของพระจิตเจ้าไว้ในหัวใจและในความคิดของท่านจงรับรู้และเชื่อในอานุภาพของพระจิตเจ้าในชีวิตของท่านในฐานะที่เราเป็นบุตรแห่งแสงสว่างของพระคริสตเจ้าตาม สัญลักษณ์ ของเทียนที่ส่องสว่างที่ท่านถืออยู่นี้เราจึงเป็นพยานในโลกของเราเพื่อยืนยันถึงความสว่างเจิดจ้า ซึ่งไม่มีความมืดใดเอาชนะได้ (เทียบ ยน
1:5) คืนนี้เราให้ความสนใจเป็นพิเศษว่าเราจะเป็นพยานด้วยวิธีใดเราจำเป็นต้องเข้าใจพระบุคคลของพระจิตเจ้าและการประทับอยู่ของพระองค์ซึ่งทำให้ชีวิตของเรามีพลังพระองค์ คือผู้กำหนดทิศทางและความชัดเจนให้แก่การเป็นพยานถึง พระเยซูคริสตเจ้าในฐานะพยานคริสตชนเราตอบสนองอย่างไรต่อโลกที่แตกแยกนี้ ทางกางเขน แห่ง ความขัดแย้งความทุกข์ทรมานและความตึงเครียดซึ่งท่านได้เลือกที่จะเดินผ่านพร้อมกับกางเขนแห่งวันเยาว
ชนโลกนี้ได้อย่างไร เอกภาพและการคืนดีนั้นไม่สามารถบรรลุถึงได้เพียงด้วยความพยายามของเราเท่านั้น พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อกันและกัน (เทียบ ปฐก2:24) และเราสามารถพบกับเอกภาพที่เราแสวงหาได้ในพระเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์เท่านั้นแต่กระนั้นเมื่อเผชิญกับความบกพร่องและความผิดหวังบางครั้ง เราอยากจะสร้างชุมชนเทียมที่สมบูรณ์พร้อมขึ้นมาความอยากเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ในประวัติศาสตร์ของ พระศาสนจักรมีตัวอย่างมากมายของความพยายามจะเลี่ยงหรือข้ามความอ่อนแอประสามนุษย์หรือความล้ม
เหลว เพื่อสร้างเอกภาพอันสมบูรณ์หรือสังคมฝ่ายจิตในอุดมคติแต่ความพยายามสร้างเอกภาพเช่นนี้กลับบั่น ทอนตนเองเอกภาพคือแก่นแท้ของพระศาสนจักร (เทียบCATECHISH OF THE CATHOLIC CHURCH, 813) เป็นพระพรที่เราต้องยอมรับและรักษาไว้ พระจิตเจ้าทรงเป็นพระบุคคลแห่งพระตรีเอกภาพที่ดูเหมือนจะถูกมองข้ามการเข้าใจพระจิตอย่างถ่อง แท้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม แต่กระนั้นเมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กๆ
บิดามารดาของข้าพเจ้าได้สอนให้ข้าพเจ้าทำเครื่องหมายกางเขนเช่นเดียวกับบิดามารดาท่านดังนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าใจได้ในไม่ช้าว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคลและพระตรีเอกภาพทรงเป็นศูนย์กลางของความเชื่อและชีวิตคริสตชนของเรา ดังนั้นด้วย ความช่วยเหลือของนักบุญออกัสตินท่านนักบุญสังเกตคำว่าHOLYSPIRITสองคำนี้คือศักดิ์สิทธิ์(HOLY)และจิต (SPIRIT) ต่างหมายถึงคุณสมบัติของพระเจ้าคือสิ่งที่แบ่งปันกันระหว่างพระบิดาและพระบุตรนักบุญออกัสติน จึงสรุปว่า คุณสมบัติพิเศษของพระจิตคือเอกภาพ
นี่คือเอกภาพแห่งความสนิทสัมพันธ์ในการดำรงชีวิตเป็นเอกภาพของบุคคลในความสัมพันธ์ที่มีการให้ตลอดเวลาเพียงด้วยการดำรงชีวิตในความสนิทสัมพันธ์เท่านั้นกล่าวคือ เราต้องยอมรับว่าทุกคนต้องการพระเจ้าเพื่อผนึกเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันและเรามอบตนเองให้แก่กัน และ กันด้วยการรับใช้ ความเข้าใจข้อที่สองของนักบุญออกัสติน ที่ว่าพระจิตเจ้าทรงเป็นความรักอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผู้ใดดำรงอยู่ในความรักย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า ท่านนักบุญสรุปว่า
พระจิตเจ้าทรงทำให้เราคงอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ในตัวเรา ดังนั้นพระจิตจึงเป็นพระเจ้าในฐานะความรัก (DE TRINITATE, 15.17.31) คือคำอธิบายที่ไพเราะมากพระเจ้าทรงแบ่งปันพระองค์เองในฐานะความรักในพระจิตเจ้า ความเข้าใจข้อนี้ช่วยให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้นอีกหรือไม่? ความเข้าใจข้อที่สามคือ พระจิตเจ้าทรงเป็นของประทาน พระจิตคือ ของประทาน (พระพร) ของพระเจ้า (ยน4:10) เป็นธารน้ำภายใน (เทียบ ยน4:14)
ผู้ดับความกระหายที่ลึกที่สุดของเราและนำเราไปหาพระบิดาพระจิตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ประทานพระองค์เองตลอดนิรันดรพระองค์ทรงหลั่งพระองค์เอง ลงมาเสมือนธารน้ำที่ไม่มีวันแห้งเมื่อคิดถึงของประทานอันไม่จบสิ้นนี้เราเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่จึงไม่ทำให้เรารู้สึกอิ่มและรู้สึกว่ายังขาดอะไรอยู่เสมอ เราไม่ได้กำลังมองหาของประทานนิรันดร หรือธารน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งนั้นดอกหรือ? ขอให้เราประกาศพร้อมกับสตรีชาวสะมาเรียนั้นเถิดว่า
โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้างเพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายอีก (เทียบ ยน 4:15) พรุ่งนี้ พระจิตผู้เป็นของประทานนี้จะถูกมอบให้อย่างสง่าแก่ผู้ที่รับศีลกำลังข้าพเจ้าจะภาวนาว่า โปรดประทานพระจิตแห่งพระดำริและสติปัญญา พระจิตแห่งความคิดอ่านและกำลังพระจิตแห่งความรู้ และ ความ ศรัทธาและโปรดให้เขาเต็มเปี่ยมด้วยพระจิตแห่งความพิศวงและความยำเกรงพระเจ้า พระพรของพระจิตที่ทำงานภายในตัวเราทำให้การเป็นพยานของเรามีทิศทางและความหมายที่ชัดเจนพระพรของพระจิตซึ่งมุ่งไปสู่เอกภาพ
ผูกพันเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับพระกายทั้งมวลของพระคริสตเจ้า (เทียบ LUMEN GENTIUM,11) ช่วยให้เราพร้อมมากขึ้นที่จะเสริมสร้างพระศาสนจักรเพื่อรับใช้โลก (เทียบอฟ4:13) และท่านจะพบความหมายที่แท้จริงของการฟื้นฟู คืนนี้เรามารวมตัวกันภายใต้ความงามของท้องฟ้ายามค่ำหัวใจและความคิดของเราเต็มเปี่ยมด้วยความสำนึกในพระคุณของพระเจ้าสำหรับพระพรยิ่งใหญ่แห่งความเชื่อในพระตรีเอกภาพของเราเราระลึกถึงบิดา
มารดาและปู่ย่าตายายของเราผู้เดินเคียงข้างเราขณะที่เรายังเป็นเด็กและเริ่มต้นก้าวแรกในการเดินทางแสวง บุญแห่งความเชื่อของเราบัดนี้หลายปีต่อมาท่านซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวมารวมตัวกันพร้อมกับผู้สืบทอดตำแหน่ง ของนักบุญเปโตร ข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยความยินดีอันลึกซึ้งที่ได้อยู่กับท่านขอให้เราวิงวอนพระจิตเจ้าพระองค์ทรงเป็นช่างศิลป์ในงานของพระเจ้า(เทียบ CATECHIS OF CATHOLIC CHURCH,741) ขอให้พระพรของพระองค์ปรับแต่งท่าน พระศาสนจักรเดินทางร่วมกับมนุษยชาติทั้งมวลเช่นไรท่านก็มีหน้าที่ใช้พระพรของ พระจิต
ท่ามกลางความสุขและความทุกข์ของชีวิต ประจำวันของท่านเช่นนั้นจงให้ความเชื่อของท่านเจริญเติบโตเต็มที่ ขอให้ความเชื่อของท่านได้รับการค้ำจุนจากการภาวนาและการบำรุงเลี้ยงจากศีลศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะเป็นต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจและความช่วยเหลือสำหรับผู้ที่อยู่รอบตัวท่าน ท้ายที่สุด ชีวิตไม่ได้หมายถึงการสะสมกอบโกยชีวิตหมายความมากกว่าความสำเร็จการมีชีวิตอย่างแท้จริงคือการเปลี่ยนสภาพจากภายใน เปิดใจรับพลังจากความรักของพระเจ้าด้วยการยอมรับอานุภาพของ
พระจิตเจ้าท่านเองก็สามารถเปลี่ยนสภาพครอบครัวของท่านชุมชนและประเทศชาติของท่านจงปลดปล่อยพระพรเหล่านี้ออกมาให้พระดำริกำลังความยำเกรงพระเจ้าและความศรัทธาเป็นเครื่องหมายของความยิ่งใหญ่เถิด และบัดนี้ขณะที่เราเข้าสู่การนมัสการศีลศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางความนิ่งและความคาดหวังข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านด้วยถ้อยคำที่บุญราศีมารีย์แม็คคิลลอป เคยกล่าวเมื่อเธออายุเพียง26 ปีว่า จงเชื่อในเสียงกระซิบของพระเจ้า ต่อหัวใจของท่าน จงเชื่อในพระองค์จงเชื่อในอานุภาพของพระจิตแห่งความรัก |