หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

จากนครรัฐวาติกัน 21 พฤศจิกายน ค.ศ.2006
ข้อมูล : สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย

 

สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16
โอกาสรณรงค์ในเทศกาลมหาพรต ประจำปี ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550)
 

พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย     เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง (ยน 19:37) ข้อความนี้เป็นประเด็นจากพระคัมภีร์ซึ่งจะนำเรารำพึงในเทศกาลมหาพรตปีนี้  เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเรียนรู้ที่จะพำนักอยู่กับแม่พระ และนักบุญยอห์น ผู้ซึ่งเป็นศิษย์รักและ สนิทสัมพันธ์กับพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ถูกตรึงบนกางเขน ซึ่งบรรลุความบริบูรณ์ในการไถ่กู้มนุษยชาติอาศัย การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (เทียบ  ยน 19:25) ดังนั้นพร้อมกับการมี ส่วนร่วมที่ร้อนรนมากขึ้น เวลานี้ให้เราหันความสนใจของตัวเองมาสู่การ ใช้โทษบาปและการสวดภาวนา

โดยมีเป้าหมายที่พระเยซูคริสตเจ้าผู้ถูกตรึงกำลังสิ้นพระชนม์บนเนินกัลวารีโอและเผยแสดงถึงความรักของพระเจ้า
อย่างเต็มเปี่ยมแก่พวกเรา ในพระสมณ-สาส์นพระเจ้าคือความรัก (DEUS CARITAS EST) เราได้อธิบายถึง ความรักในประเด็นนี้ โดยยกรูปแบบหลัก 2 ประการ มาเป็นเรื่องสำคัญ นั่นคือ ความรักอย่างประเสริฐ (agape) และความรักตามประสามนุษย์ (eros) ความรักของพระเจ้า :   ความรักอย่างประเสริฐ และความรักตามประสามนุษย์     คำว่า ความรักอย่างประเสริฐ 
ที่ปรากฏหลายครั้งในหนังสือพระธรรมใหม่นั้นชี้ให้เห็นถึงความรักที่ อุทิศตัวเองของบุคคลหนึ่งต่อประโยชน์ของผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ในทาง ตรงกันข้ามคำว่า ความรักตามประสามนุษย์ นั้น เป็นเครื่องหมายความรักของบุคคลหนึ่งผู้ซึ่งมีความปรารถนา

ที่จะเป็นเจ้าของบางอย่างที่เขาขาด และผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับผู้เป็นที่รัก ความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเรานั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นความรักอย่างประเสริฐ แท้ที่จริงแล้วมีใครบ้างไหม ที่จะมอบถวายคุณความดีให้แก่พระเจ้าในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ? ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เรามนุษย์เป็นและมีนั้น ล้วนเป็นพระพรของพระเจ้าทั้งสิ้น

ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นสิ่งสร้างผู้ซึ่งต้องพึ่งพาพระเจ้าในทุกกรณี แต่อย่างไรก็ตาม   ความรักของพระเจ้าก็ถือว่าเป็นความรักตามประสามนุษย์ด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏในหนังสือพระธรรมเดิม นั่นคือ พระผู้สร้างจักรวาลได้เผยแสดงมายังประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรด้วยความพอพระทัยของพระองค์เอง ซึ่งอยู่เกินพ้นความนึกคิดของมนุษย์ทุกคน  ประกาศกโฮเชยาได้ชี้ให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าด้วยภาพแห่งคนรักเสมือนความรักของชายหนุ่มและหญิงเล่นชู้ (เทียบ ฮชย 3:1-3) ในส่วนของ ประกาศกเอเสเคียล

ท่านได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชาชนชาวอิสราเอล โดยไม่สะทกสะท้านที่จะใช้คำผรุสวาทและภาษาที่หมิ่นเหม่ต่อกามารมณ์ (เทียบ อสค  16:1-22) ในข้อเขียนจากพระคัมภีร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ความรักตามประสามนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระหฤทัยของพระเจ้า นั่นคือ พระผู้ทรงสรรพานุภาพรอคอยการตอบรับ ใช่ จาก สิ่งสร้างของพระองค์เสมือนหนึ่ง เจ้าบ่าวกำลังรอการตอบรับความรักจากเจ้าสาวของตน ดูเป็นเรื่องน่าเศร้า เหลือเกินตั้งแต่ปฐมกาลที่มนุษยชาติ ได้ถูกล่อลวงโดยคำโกหกของเจ้า

ปีศาจร้ายให้ปฏิเสธต่อความรักของพระเจ้าด้วยมายาภาพแห่งความพอตัวซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (เทียบ ปฐก 3:1-7) การเปลี่ยนจุดศูนย์กลางมาอยู่ที่ตัวเองของอาดัมนั้น เป็นการผละออกมาจากแหล่งชีวิตซึ่งก็คือพระเจ้าเอง และกลายมาเป็นคนแรกของ ผู้ที่ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้ (ฮบ 2:15) อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่ทรงล้มเลิกพระทัย ในทางตรงกันข้าม การตอบปฏิเสธจากมนุษย์นั้นเป็นเสมือนแรงกระตุ้นอย่างเด็ดเดี่ยวที่ทำให้พระองค์แสดงความรักของพระองค์ต่อทุกคนด้วยพลังแห่งการไถ่กู้ กางเขนเผยแสดงถึงความรักของพระเจ้าอย่างครบครัน นับเป็นรหัสธรรมแห่งกางเขนซึ่ง

มีชัยอย่างท่วมท้นจากพระเมตตาของพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่ได้เผยแสดงถึงความสมบูรณ์ครบครัน เพื่อที่จะนำชัยชนะแห่งความรักของสิ่งสร้างของพระองค์กลับคืนมา พระองค์ทรงยอม ที่จะจ่ายในราคาที่แสนแพง นั่นคือ พระโลหิตของพระบุตรแต่องค์เดียว ความตายซึ่งก่อให้เกิดเครื่องหมายของความเปล่าเปลี่ยว และไร้พลังอย่าง สิ้นเชิงโดยอาดัมคนแรกได้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นพันธกิจแห่งความรักและเสรีภาพอันสูงส่งโดยอาดัมคนใหม่เพื่อที่จะยืนยันถึงสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี ก็ต้องไปพิจารณาที่คำของนักบุญ  Maximus the Confessor ที่ว่า ถ้าหากใครกล่าวว่าพระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์อย่างพระเจ้า พระองค์ก็คงสิ้นพระชนม์อย่างเสรี (Ambigua, 91, 1956)

บนกางเขนพระเจ้าได้แสดงความรักตามประสามนุษย์ได้อย่างชัดเจน ความจริงแล้ว ความรักตามประสามนุษย์เป็นการกระทำ ซึ่งไม่ยอมให้คนรักมาพำนักอยู่กับตัวเอง แต่หลอมรวมตัวเองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับผู้เป็นที่รักนั้น (เสมือนการแสดงออกของพระเท็จเทียมของชาวโรม) (Pseudo-Dionysius) (De divinis nominibus, IV, 13 : PG, 712) ดูจะเป็น ความรักที่บ้าระห่ำ มากกว่า ที่นำพระบุตรของพระเจ้า มาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราแม้ว่าจะพบกับความทรมานที่พระองค์ได้รับเพราะ ผลจากความโสมมของเรามนุษย์กระนั้นหรือ? พระองค์ผู้ที่เขาแทง?

พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย ให้เราจ้องมองที่รอยถูกแทงของพระเยซู- คริสตเจ้าบนกางเขน พระองค์คือการเผยแสดงที่เป็นเลิศแห่งความรักของพระเจ้า ความรักซึ่งเป็นทั้งรักตามประสามนุษย์และรักอย่างประเสริฐ ที่ไร้ข้อขัดแย้ง เกื้อหนุนใจซึ่งกันและกัน บนกางเขน เป็นพระเจ้าพระองค์เองที่วอนขอความรักจากสิ่งสร้างของพระองค์ พระองค์กระหายหาความรักจากพวกเราทุกคน อัครสาวกโทมัสรู้จักพระเยซูคริสตเจ้าในฐานะ พระสวามีเจ้าและพระเจ้าเมื่อท่านแยงนิ้วของตนไปยังรอยแผลที่สีข้างของพระองค์ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

เหตุว่าบรรดานักบุญทั้งหลายได้พบอัตถ์ที่ลึกล้ำที่แสดงออกในรหัสธรรมแห่งความรักของพระหฤทัยของพระเยซูคริสตเจ้า อาจกล่าวเป็นความสัตย์ได้เลยว่าการ เผยแสดงความรักตามประสามนุษย์ของพระเจ้ามายังมนุษย์นั้นแท้ที่จริงแล้ว คือการแสดงออกถึงความสูงส่งของความรักอย่างประเสริฐของพระองค์นั่นเอง

ความจริงทั้งหมดที่อยากจะกล่าวคือมีเพียงความรักที่ผูกติดอยู่กับพระพรแห่งเสรีภาพของบุคคลพร้อมกับความปรารถนาดีที่ยังประโยชน์แก่กันและกันเท่านั้นที่นำไปสู่ความชื่นชมยินดี ซึ่งจะผ่อนคลายภาระที่หนักที่สุดได้  พระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่า
เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา (ยน 12:32)

การตอบรับพระเจ้าด้วยความปวารณาอย่างแรงกล้าของพวกเราเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือการที่เราต้อนรับความรักของพระองค์และมอบตัวเองให้พำนักอยู่ในพระองค์ อย่างไรก็ตาม การยอมรับความรักพระองค์เท่านั้นยังไม่เพียงพอ พวกเราจำเป็นที่จะต้องสนองตอบต่อความรักเช่นนี้พร้อมกับการปวารณาตัวเอง

ในการสื่อสารแห่งรักสู่ผู้อื่นด้วย ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า โปรดนำข้าพเจ้าไปหาพระองค์ด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และในที่สุดข้าพเจ้าจะได้เรียนรู้ที่จะรักเพื่อนพี่น้องอาศัยความรักของพระองค์เอง พระโลหิตและน้ำ   เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง เชิญชวนเราให้พิศเพ่งด้วยความเชื่อมั่นไปยังรอยแทงที่สีข้างของพระเยซู-

คริสตเจ้าที่ซึ่งพระโลหิตและน้ำไหลออกมา (ยน 19:34) บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรได้ไตร่ตรองถึงปัจจัยเหล่านี้ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของเครื่องหมายแห่งศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท อาศัยน้ำแห่งศีลล้างบาป ขอขอบพระคุณกิจการของพระจิตเจ้าที่ทำให้พวกเราสามารถเข้าสนิทสัมพันธ์กับความรักของพระตรีเอกภาพ

ในการจาริกแห่งเทศกาลมหาพรต อนุสรณ์แห่งศีลล้างบาปของพวกเรา พวกเรา ถูกเชื้อเชิญให้ออกจากตัวเองเพื่อจะ เปิดตัวเอง ละทิ้งความเย่อหยิ่งของ ตัวเองหันไปสู่อ้อมกอดแห่งพระเมตตาของพระบิดาเจ้า (เทียบ St. John Chrysostom, Catecheses, 3, 14ff)   พระโลหิตซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของนายชุมพาบาลที่ดีหลั่งไหลมาสู่พวกเรา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรหัส- ธรรมแห่งพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ  พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณนำพวกเราไปสู่การมอบถวายตนของพระเยซู- คริสตเจ้า... พวกเราเข้าไปยังพลังแห่งการมอบตัวเองของพระองค์ (พระ- สมณสาส์น พระเจ้าคือความรัก, 13)  ดังนั้นขอให้เราได้อยู่กับมหาพรต

ในฐานะที่เป็นช่วงเวลาแห่งการถวายบูชา ซึ่งต้อนรับความรักของพระเยซู- คริสตเจ้า ให้พวกเราเรียนรู้ที่จะแผ่ขยายความรักไปรอบๆ ตัวเรา อาศัยทุกคน ที่เราพูดและทุกกิจการที่เราทำ การรำพึงถึง พระองค์ผู้ที่เขาแทงนำเราไปยังหนทางนี้เพื่อที่จะเปิดใจของเราสู่ ผู้อื่น ระลึกถึงรอยแผลที่ทรมานเพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นบุคคลของมนุษยชาติ รอยแผลนี้เสริมพลังเราเป็นพิเศษให้ต่อสู้กับการดูถูกเหยียดหยามทุกรูปแบบของชีวิต การทำลายของมนุษยชาติและการบรรเทาโศก- นาฏกรรมแห่งความเปลี่ยวเหงา และการทอดทิ้งของผู้คนเป็นอันมาก

ขอให้เทศกาลมหาพรตนี้เป็นโอกาส สำหรับคริสตชนทุกคนที่จะรื้อฟื้นประสบการณ์แห่งความรักของพระเจ้า ที่มอบให้กับพวกเราในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ความรักซึ่งแต่ละวันพวกเรา ต้องให้คืนกลับ ต่อพี่น้องของเรา 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่อยู่ในความทุกข์ระทมและอยู่ในความจำเป็น อย่างที่สุด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เรา จะสามารถมีส่วนร่วมอย่างเต็มเปี่ยม ในความชื่นชมยินดีแห่งวันปัสกา วอนขอพระแม่มารีย์ พระมารดาแห่ง ความรักที่อ่อนหวาน โปรดนำพวกเราไปในหนทางแห่งมหาพรตด้วยเถิด หนทางแห่งการกลับใจอย่างแท้จริง ไปสู่ความรักของพระเยซูคริสตเจ้า  พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย เราปรารถนาให้พวกท่านได้บังเกิดผล

ในหนทางแห่งเทศกาลมหาพรต ทั้งนี้จึงขอบอกกล่าวด้วยความรักต่อทุกท่าน พร้อมด้วยการอำนวยพระพรพิเศษ จากเรา
 

จากนครรัฐวาติกัน 21 พฤศจิกายน ค.ศ.2006

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16