หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

  การสถาปนาคุณพ่อนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง เป็นบุญราศี

                                                                   โดย คุณพ่อวรยุทธ กิจบำรุง

วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2000 เป็นวันที่สมเด็จพระสันตะปาปาได้ประกาศกฤษฎีกา (Decree) รับรองคุณพ่อนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง เป็นบุญราศี ซึ่งหลังจากนั้น พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมงานฉลองวันสถาปนาที่กรุงโรม ระยะเวลาตั้งแต่รับทราบจนถึงวันสถาปนาจริงๆ มีเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น เพื่อเตรียมพิธีการต่างๆ อย่างเร่งด่วน ได้แก่ การจัดทัวร์เชิญชวนคริสตชนไปร่วมในพิธีนี้ เท่าที่จะไปกันได้โดยความร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกคนยินดีและเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือในงานสำคัญครั้งนี้

วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2000 เวลา 10.00 น. ณ จตุรัสมหาวิหารนักบุญเปโตร ตรงกับเวลาในเมืองไทย 16.00 น. เป็นเวลาที่กำหนดไว้ ก่อนเริ่มพิธี 2-3 ชั่วโมง ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางเข้าสู่บริเวณลานเพื่อประจำที่นั่งกันแล้ว เนื่องจากทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยก่อนเวลาเนิ่นๆ และผู้คนที่จะเข้าไปร่วมพิธีมีจำนวนมาก รวมทั้งที่นั่งบางกลุ่มต้องนั่งปะปนกับประเทศอื่น จึงต้องพยายามเกาะกลุ่มกันเฉพาะคนไทยเรา

กลุ่มคนไทยเรา จากการกระจายพักกันอยู่ตามโรงแรม ก็พยายามมาแต่เช้าๆ เท่าที่จะทำได้ แต่ว่าวันนั้นเป็นวันที่รัฐบาลห้ามรถบัสเข้ามาในเมือง ต้องจอดในเขตที่เขากำหนดไว้ และขึ้นรถเมล์ที่เขาจัดไว้สำหรับคนที่จะเข้าไปในวาติกันฟรี เพราะต้องการลดมลพิษและประหยัดน้ำมัน แต่ก็ไม่ลำบากอะไรนักสำหรับเราตอนขาไป แต่ลำบากตอนขากลับ เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส แดดจัดท้องฟ้าโปร่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องฝน เรื่องถ่ายภาพ วันสองวันก่อนหน้านี้ ฝนตกทั้งวัน

รูปโดมสูงเด่น เห็นกางเขนอยู่บนยอดสุดของมหาวิหารนักบุญเปโตร และที่บริเวณหน้ามหาวิหารมีผ้าห้อยลงมา 5 ผืน และมีผ้าคลุมอีกทีหนึ่ง ด้านหลังผ้าคลุมนี้ เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และที่ลานยื่นออกมาจากหน้าประตู ก่อนจะเป็นขั้นบันได ก็มีปะรำพิธี พร้อมทั้งเก้าอี้ซ้ายขวาสำหรับบรรดาพระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ และฆราวาสจากกลุ่มต่างๆ รวมทั้งคณะนักขับร้อง สองข้างมีเสาหินอ่อนขนาดมหึมา เรียงเป็นแนวโอบล้อม รองรับตัวมหาวิหาร เสาแต่ละต้นใหญ่โต และเหนือเสาเป็นรูปของบรรดาอัครสาวก นักบุญ และพระสันตะปาปา ขนาดใหญ่ประดับอยู่ มีเสาหิน (Obelisk) ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง และมีน้ำพุและโคมไฟ

ผู้คนที่มาร่วมพิธี ต่างทยอยกันเข้ามาในบริเวณพิธีซึ่งกั้นเป็นเขตๆ เพื่อความสะดวกในการเดิน คนไทยเราจะมีเข็มกลัดติดเสื้อรูปคุณพ่อนิโคลาสเป็นรูปวงรีกลัดติดเสื้อกันทุกคน และวันนี้ต่างสวมชุดสวยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงไทยเกือบทุกคน สวมชุดไทยสีสดใสสะดุดตาเป็นพิเศษและเกือบทุกคน ตามคำเชื้อเชิญตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง สวยจริงๆ ครับ แต่ต้องทนหนาวกันหน่อยเท่านั้น

ผมเดินออกมายืนอยู่ตรงเสาหิน หันหน้าไปทางมหาวิหาร แล้วจึงหันไปทางด้านขวามือจะเป็นอาคารสูง 2 หลัง และหลังที่ 2 ชั้นบนสุดจะเห็นหน้าต่าง 3 บานเปิดอยู่ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา บานริมสุดเป็นห้องบรรทม ห้องที่ 2 เป็นห้องทรงงาน และเวลาเสด็จออกมาสวดและประทานพระพรก็จะทรงใช้หน้าต่างบานนี้ และบานที่ 3 เป็นห้องรับประทานอาหารส่วนวัดน้อยของพระองค์จะอยู่อีกด้านหนึ่ง หากผมพูดว่าด้านซ้าย-ขวา ก็หมายความว่าเวลาหันหน้าเข้าหามหาวิหารก็แล้วกันนะครับ เกิดเผลอลืมบอกไป จะได้เป็นที่เข้าใจกัน

คนที่มาครั้งแรกคงจะแปลกหูแปลกตา ตะลึงทึ่งกับสถาปัตยกรรมการก่อสร้างและศิลปะอันยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ชั่วโมง ฝ่ายพิธีกรรมได้ซักซ้อมผู้ที่จะขึ้นไปอ่านข้อรำพึงของบุญราศีของแต่ละประเทศ อ่านพระคัมภีร์ และบทภาวนาเพื่อมวลชน เป็นภาษาต่างๆ รวมทั้งภาษาไทยด้วย ผู้คนทยอยกันมาไม่ขาดสายและยิ่งทีก็ยิ่งดูหนาตาขึ้น พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู เดินมาทักทายกลุ่มคนไทยของเราเล็กน้อยก่อนเริ่มพิธี บรรยากาศหน้าลานวันนี้มีชีวิตชีวา ใบหน้าของผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ใบหน้า สีผิว เครื่องแต่งกาย สีสันแตกต่างกัน แต่ละประเทศมีธงชาติของตนเองโบกไปมา เป็นผ้าผืนเล็กบ้างใหญ่บ้าง กลุ่มคนไทยเราก็เตรียมธงชาติไทยเล็กๆ พร้อมธงผ้าสีขาวมีรูปบุญราศีคุณพ่อนิโคลาส สำหรับทุกคนถือโบกและเดินติดตัวไปตลอด ส่วนธงปีติมหาการุญ พร้อมทั้งป้ายผ้าผืนใหญ่ ไว้ช่วงสำคัญๆ กางออกมาใช้สักครั้งหนึ่ง แต่ละคนมีหนังสือสำหรับติดตามพิธีกรรม รูปเล่มกระทัดรัด ขนาดเกือบ 200 หน้า พร้อมทั้งประวัติของบุญราศีทั้งครบ

ผู้ที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศให้เป็นบุญราศีในวันนั้นมีทั้งสิ้น 44 องค์ จาก 5 ประเทศคือ บุญราศีชาวบราซิลมี 30 องค์คือ คุณพ่ออันเดร เด โซเวราล (Andre de Soveral) และอัมโบรซีโอ ฟรังซิสโก แฟร์โร (Ambrosio Francisco Ferro) และเพื่อนอีก 28 องค์(ค.ศ. 1645) ประเทศไทย 1 องค์คือ คุณพ่อนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง (ค.ศ. 1944) ชาวโปแลนด์ 11 องค์คือ ซิสเตอร์มาเรีย สแตลลา อาเดลา (Maria Stella Adela Mardosewicz) และเพื่อนซิสเตอร์อีก 10 องค์ (ค.ศ. 1943) ชาวฟิลิปปินส์ 1 องค์คือ ครูคำสอนเปโดร กาลุงสด (Pedro Calungsod ค.ศ. 1672) และชาวเวียดนามอีก 1 องค์คือ ครูคำสอนอันเดร (Andrea di Phu Yen ค.ศ. 1644) เป็นชาวเอเชีย 3 องค์คือ คุณพ่อนิโคลาส ซึ่งเป็นพระสงฆ์ และฆราวาสซึ่งเป็นครูคำสอนอีก 2 องค์

บรรยากาศวันนั้น มองดูใบหน้าของแต่ละคนแล้ว ล้วนตื่นเต้นยินดี ประทับใจ สำหรับคนไทยที่เดินทางกันไปประมาณ 300 คนเศษๆ คนไทยที่อยู่ที่อิตาลีอีกประมาณ 50 คน เป็นพระสงฆ์ ซิสเตอร์ ครูคำสอน และฆราวาสที่มาทำงาน รวมคนไทยเบ็ดเสร็จน่าจะประมาณ 350 คน ก่อนที่ขบวนจะแห่ออกมา มีการอ่านข้อคิดรำพึงของบุญราศีของแต่ละประเทศ และตอบรับกันเป็นภาษาของตนเอง อาจารย์ชัยณรงค์ มณเฑียรวิเชียรฉาย เป็นผู้อ่านข้อความที่เป็นความรู้สึกและความคิดของคุณพ่อนิโคลาส ซึ่งคัดบางตอนมาจากจดหมายของคุณพ่อนิโคลาสเองที่เขียนจากคุกบางขวาง ถึงพระคุณเจ้าเรอเน แปร์รอส (จดหมายลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942) เป็นภาษาอังกฤษและสลับกับเพลงบทสร้อย 4 ตอน เป็นภาษาไทยโดยมีซิสเตอร์สมจิตร ทรัพย์อัประไมย ร้องนำร่วมกับกลุ่มคนไทยเราว่า "จงขอบพระคุณพระเป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์"

1"...ฝ่ายจิตต์เศร้าใจ นอนตื่นเมื่อไหร่ก็คิดว่าถูกโทษ 15 ปี โดยไม่มีความผิดแม้แต่น้อย เป็นต้นไม่มีโอกาสสวดมนต์ตามหนังสือสวดมนต์ ข้อนี้ทำให้ลูกเป็นทุกข์โศรกมาก แต่ยังมีความบรรเทาอยู่อย่างหนึ่งคือสวดลูกประคำ..."

2"...คุณบิดาก็ทราบดีว่า ลูกรักประเทศชาติจนยอมสละความสนุกสบายฝ่ายข้างโลก

ได้อุตส่าห์อบรมพี่น้องชาวทัยให้อยู่ในศีลธรรมอันดีเป็นระยะ 15 ปี..."

3"...ถึงกระนั้นก็ดี ลูกรู้สึกว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้เป็นไปเช่นนี้ ลูกจึงขอน้อมรับโทษทัณฑ์อันนี้ตามน้ำพระทัยของพระ เพื่อชดเชยความผิด ความบาปของลูก และสันติภาพของ (สากล) โลก ทั้งความเจริญของประเทศชาติที่รักของลูกด้วย..."

4"...ลูกสวดเสมอ ขอพระเอ็นดู ยกความผิดของพยานเท็จที่ปรักปรำลูก ตามแบบฉบับแห่งพระเยซู อาจารย์แห่งสากลโลก..."

จบด้วยกลุ่มสุดท้ายจากประเทศเวียดนาม ก็ใช้ภาษาเวียดนาม

พอใกล้จะเริ่มพิธี เจ้าหน้าที่ก็ให้บรรดาช่างภาพขึ้นไปอยู่บนหลังคาอาคารด้านซ้ายมือเป็นที่ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ในส่วนของประเทศไทยก็มี คุณพ่อพงศ์เทพ ประมวลพร้อม,คุณพ่อสุทศ ประมวลพร้อม, คุณประไพพรรณ ชัยวิสุทธิ์, ซิสเตอร์อรวรรรณ จันทร์ชลอ และทีมงานสื่อมวลกรุงเทพฯ อีก 3 คน ร่วมกับสื่อมวลชนจากประเทศอื่นๆ ซึ่งมีทั้งกล้องวีดีโอ และช่างภาพประมาณสัก 20 คน อยู่ข้างบนนั้น ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าเขาเอาเราไปขังหรือว่าให้เราไปถ่ายรูป

บริเวณลาน ทุกอย่างพร้อมแล้ว จอภาพ 2 จอ ซ้ายและขวา ตั้งอยู่ด้านหน้า ใกล้กับรูปนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลขนาดใหญ่ ช่วยให้คนอยู่ไกลเห็นได้ชัดเจนและติดตามพิธีได้ตลอด พิธีเริ่มเวลา 10.00 น. นำขบวนโดยกางเขนและเทียน พระสงฆ์ พระสังฆราช พระคาร์ดินัล และทิ้งช่วงห่างกันสักระยะหนึ่ง สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็เสด็จออกมา

คนไทยที่ได้ร่วมถวายบูชามิสซาด้วย คือ พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู, พระสังฆราชยอด พิมพิสาร, พระสังฆราชพเยาว์ มณีทรัพย์, พระสังฆราชบรรจง อารีพรรค, พระสังฆราชเทียนชัย สมานจิต, พระอัครสังฆราชคายน์ แสนพลอ่อน และคุณพ่อสุขุม กิจสงวน ซึ่งเป็นญาติของคุณพ่อนิโคลาส (มารดาของคุณพ่อสุขุมเป็นหลานของคุณพ่อ) อาภรณ์พระสงฆ์ในพิธีเป็นชุดสีเขียวทั้งหมด

เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เสด็จออกมาตรงประตูกลาง เสียงปรบมือต้อนรับและแสดงความยินดี พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้พระองค์ ซึ่งค่อยๆ ก้าวทีละก้าวอย่างช้าๆ ตามออกมา เนื่องจากพระชนมายุ 79 พรรษาแล้ว จนเข้าประทับที่หน้าพระแท่นเรียบร้อย ก็เริ่มถวายบูชามิสซาจนถึงบทพระเจ้าทรงเมตตาเทอญ (กีรีเอ เลอีซอล) ผู้แทนของแต่ละประเทศเป็นผู้อ่านประวัติสั้นๆ ของบุญราศีของตนประมาณ 1 หน้า เริ่มต้นด้วยบราซิล มีพระอัครสังฆราชไฮเตอร์ อารายโฮ ซาเลส แห่งอัครสังฆมณฑลนาตาล ติดตามด้วยประเทศไทยเป็นอันดับ 2 โปแลนด์, ฟิลิปินส์และเวียดนามตามลำดับ พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู เป็นผู้อ่านประวัติคุณพ่อนิโคลาสเป็นภาษาไทยประมาณ 3 นาที และต่อไปจนครบตามลำดับ หลังจากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาทรงอ่านประกาศสถาปนาบุคคลเหล่านี้เป็นบุญราศี (The Blessed) แล้วผ้าคลุมรูปบุญราศีซึ่งแขวนอยู่ก็ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกันจนเห็นชัดเจนครบทั้ง 5 ผืน เสียงปรบมือดังกระหึ่มบริเวณลานอยู่พักใหญ่

ลำดับที่ 1 อยู่ตรงกลาง ลำดับที่ 2 อยู่ซ้าย ลำดับที่ 3 อยู่ขวามือ ลำดับที่ 4 อยู่ซ้ายและลำดับที่ 5 อยู่ด้านขวา ตามลำดับ เวลามองไปที่รูป แต่ถ้ามองจากซ้ายมือ ก็จะเห็นฟิลิปินส์ ไทย บราซิล โปแลนด์ และเวียดนาม สำหรับรูปคุณพ่อนิโคลาสนั้น ยังไม่ทันที่จะถึงเวลาเปิด ลมก็พัดผ้าที่คลุมเปิดออก ทำให้ทุกคนเห็นรูปคุณพ่อนิโคลาสชัดเจนเพียงรูปเดียวก่อน ทำเอาหลายคนบอกว่า "คุณพ่อยิ้มกับพวกเรา" หลายคนมาเล่าให้ฟังว่าอย่างนี้

เมื่อเสร็จภาคการประกาศสถาปนาบุญราศีแล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเริ่มพิธีถวายบูชามิสซาต่อไป สมเด็จพระสันตะปาปาทรงกล่าวในบทเทศน์ความตอนหนึ่งจากพระคัมภีร์ว่า "อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่สามารถฆ่าวิญญาณได้" (มธ. 10,28) และกล่าวถึงคุณพ่อนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง ว่า "ชีวิตสงฆ์ของคุณพ่อเป็นเสมือนบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่สวดภาวนา (A man of prayer) เป็นผู้ที่เด่นด้านการเผยแพร่ความเชื่อ แสวงหาน้ำพระทัยของพระ และความรักต่อผู้ยากไร้ พยายามที่จะหาวิธีที่จะทำให้คนที่ไม่รู้จักพระนามของพระ ได้รู้จักพระคริสตเจ้า คุณพ่อได้รับหน้าที่ตามภูเขาและเข้าไปในประเทศพม่า ทุกคนได้เห็นพลังความเชื่อชัดเจนเมื่อได้อภัยผู้ที่กล่าวร้ายคุณพ่อ ขาดอิสรภาพ ทำให้ท่านได้รับความทรมานอย่างมาก ในคุก ท่านได้เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนนักโทษ และได้สอนคำสอนและโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์... อาศัยคำเสนอวิงวอนของบุญราศีนิโคลาส โปรดให้พระศาสนจักรในประเทศไทยได้รับพระพรและพลกำลังในงานประกาศพระวรสาร และรับใช้ผู้ยากไร้ตลอดไป" และทรงขอร้องให้สวดภาวนาเพื่อพี่น้องทั้งหลายในโมแซมบิคที่ประสพอุทกภัยน้ำท่วมและลูกเรือที่จมหายไปที่ซาฟีร์ (Zafir)

ผมอยู่บนหลังคาด้านซ้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาจัดให้บรรดาสื่อมวลชนและช่างภาพทั้งหลายไปตั้งหลักกันอยู่ที่นั่น รู้สึกตื่นเต้นพลางหันไปดูบรรยากาศทั่วๆ ไปในบริเวณงาน ผู้คนเกือบ 100,000 คน เสร็จแล้วผมก็หาทางลงมาเดินข้างล่างเพื่อหามุมอื่นถ่ายภาพบ้าง

มิสซาดำเนินไปตามปกติ จนถึงบทภาวนาเพื่อมวลชน อาจารย์ชัยณรงค์ มณเฑียรวิเชียรฉาย สวมชุดผ้าไหมไทยสีน้ำตาลเข้ม ที่หน้าอกด้านซ้ายมีเข็มกลัดรูปคุณพ่อนิโคลาสติดอยู่ เป็นผู้แทนอ่านบทภาวนาเพื่อมวลชนเป็นภาษาไทย 1 ข้อ

"เพื่อพระศาสนจักร... ขอให้พลังความรักปลดปล่อยพระศาสนจักรให้หลุดพ้นความกลัวทุกอย่าง และจุดความกระตือรือร้นในงานธรรมทูตให้ลุกโชติช่วงในบรรดาผู้มีความเชื่อทุกคน ทั้งผู้อภิบาลและสัตบุรุษ ดังที่เคยจุดในหัวใจของบุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง ให้ประกาศพระวาจาที่ปกป้องและบันดาลความรอด ทั้งในช่วงเวลาที่อำนวยให้และไม่อำนวยให้..."

ภาคถวายก็มี คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์ อัญเชิญพระธาตุบุญราศี บรรจุอย่างดีในผอบศิลปะแบบไทย, ซิสเตอร์ซูซานนา สุพิศ กิจสงวน และคุณวัลลีย์ วงศ์ภักดี ร่วมกับขบวนอัญเชิญของถวาย พร้อมกับประเทศอื่นๆ

เมื่อถึงภาครับศีลมหาสนิท มีผู้แทนจากประเทศไทยที่เข้าไปรับศีลมหาสนิทจากพระหัตถ์สมเด็จพระสันตะปาปา ได้แก่ คุณประสิทธิ์ ธีรานุวัฒน์, คุณเง็กฮวน อารีจิตรานุสรณ์ (กฤษบำรุง) ซึ่งเป็นหลานของคุณพ่อนิโคลาส และคุณเรณู กิจประชุม สัตบุรุษวัดนักบุญเปโตร (วัดนครชัยศรี) คุณพ่อประทีป กีรติพงศ์ เจ้าอาวาสวัดนักบุญเปโตรกล่าวว่า ลูกวัดทั้งหมดที่เดินทางไปครั้งนี้ประมาณ 30 คน กระจายตามกลุ่มทัวร์ต่างๆ

ทหารสวิสและหน่วยรักษาความปลอดภัยและความเรียบร้อยยืนตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้คนที่เป็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปรบกวนผู้ร่วมพิธี ทั้งๆ ที่มีบัตรนักหนังสือพิมพ์ก็ไม่ยอมให้เดินผ่านหรือเดินไปเดินมา ต้องเดินอ้อมไปสุดที่กั้นบริเวณพิธีไปอีกด้านหนึ่ง ผมเห็นรถพยาบาลเล็กๆ จอดอยู่ระหว่างเสาที่เรียงกันตรงมุมที่เป็นรูปโค้ง มีเตียงผู้ป่วยเตรียมพร้อมในกรณีฉุกเฉินทุกเมื่อ

มองไปมีแต่คนนั่งแน่นไปหมด กลุ่มที่มาจากประเทศโปแลนด์น่าจะมากที่สุดในงานนี้รองลงมาก็จากประเทศฟิลิปปินส์ และบราซิล มีสีสันและชีวิตชีวาตลอด เวลาบูชามิสซาก็ออกมาคำนับรับพรจากสมเด็จพระสันตะปาปาทีละคน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หลังจากนั้น คนขับรถเปิดประทุนขึ้นไปถึงหน้าพระแท่น สมเด็จพระสันตะปาปาประทับบนรถพระที่นั่งเปิดประทุนด้วยพระองค์เอง รถแล่นช้าๆ ผ่านเข้าไปท่ามกลางฝูงชนเพื่อให้ประชาสัตบุรุษได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงประทานพระพร เสร็จแล้วจึงเสด็จกลับ ประมาณเวลา 13.30 น. เสร็จพิธีสถาปนาในวันนั้น

กลุ่มคนไทยเราได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดมาก เมื่อรถที่ประทับแล่นผ่านกลุ่มคนไทย ก่อนที่จะเสด็จเข้าที่ประทับด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่บริเวณภายในวาติกัน สีหน้าและรอยยิ้มของแต่ละคน รู้สึกอิ่มเอม ยิ้มแย้ม ผู้อาวุโสทั้งหลายที่ร่วมไปด้วย ดูสีหน้าแล้วเหมือนลืมอายุกันไม่มีอาการเหนื่อยและหิวให้เห็นเลย ตลอดพิธี 3 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเริ่มนับตั้งแต่เข้ามาเตรียมที่ก็ประมาณ 5-6 ชั่วโมงเต็มๆ

ทั้งๆ ที่นัดหมายกันไว้อย่างดี ย้ำแล้ว ย้ำอีก พูดเป็นภาษาไทยแท้ๆ แต่ปรากฏว่าบ่ายนั้นมี "มหกรรมคนหลง" ทั้งหลงกลุ่ม หลงทาง และหลงลืม เหมือนเล่นซ่อนหากัน กลุ่มคุณพ่อชวลิต กิจเจริญ กลุ่มคุณพ่อวิทยา แก้วแหวน กว่าจะได้ทานข้าวเที่ยงกันเกือบบ่าย 3 โมง พรรคพวกอดเป็นห่วงกันไม่ได้ว่าจะตกเป็น "เหยื่อพวกยิบซี" ซะแล้ว