หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 เหตุการณ์การเปิดหลุมศพของคุณพ่อนิโคลาส

                                                       โดย คุณพ่อสุทศ ประมวลพร้อม

ในวันพุธที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2000 ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ มีการเปิดหลุมศพและเก็บกระดูกของคุณพ่อนิโคลาส งานนี้ไม่มีการประกาศ ตั้งใจจะเป็นงานเล็กๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น บังเอิญพ่อมีโอกาสไปอยู่ในงานนี้ด้วย คือมีคนเรียกตัวให้ไปช่วยถ่ายภาพประเภทขาว-ดำ การเก็บกระดูกนี้จะเก็บไว้ในโลงไม้ที่มีโลงสแตนเลสเป็นโครงอยู่ด้านในอีกชั้นหนึ่ง และตั้งไว้ที่ด้านซ้ายภายในวัดอัสสัมชัญ กระดูกอีกส่วนหนึ่งก็ใส่กล่องสแตนเลสกลมและวางลงไว้ในผอบเบญจรงค์บบไทยๆ ที่ข้างๆ ผอบมีรูปคุณพ่อนิโคลาส มีทั้งหมด 3 ผอบ และ 1 กล่องสแตนเลส ทั้งนี้นอกจากจะเก็บไว้ที่ประเทศไทยแล้ว ยังต้องส่งบางส่วนไปที่โรมด้วย

พิธีการเริ่มเวลา 09.00 น. โดยมีพระคาร์ดินัล และพระสงฆ์ที่สนใจและมีหน้าที่เกี่ยวข้องเป็นสักขีพยาน รวมทั้งบรรดานักบวชและสัตบุรุษลงไปพร้อมกันที่ใต้ถุนใต้พระแท่นวัดอัสสัมชัญ อันเป็นที่ฝังศพของบรรดาพระสังฆราช และพระสงฆ์ทั้งไทยและเทศหลายองค์ และแน่นอนในจำนวนนั้นมีคุณพ่อนิโคลาสด้วย ศพของคุณพ่อนิโคลาสอยู่ด้านซ้ายของกำแพง เป็นช่องใส่โลงศพเข้าไปเป็นช่องเล็กๆ พอวางโลงศพเท่านั้น อยู่แถวบนศพที่ 2 มีป้ายหินอ่อนสี่เหลี่ยมสลักชื่อและวันเดือนปีเกิด บวช และตายของคุณพ่อกำกับไว้ พิธีเริ่มด้วยวจนพิธีกรรมสั้นๆ นำโดยพระคาร์ดินัล

ต่อหน้ารูปวาดใหญ่ของคุณพ่อนิโคลาส มีแท่นปูผ้าขาวเล็กๆ อยู่ข้างหน้าพร้อมกับเทียน กางเขน และน้ำเสก พอวจนพิธีกรรมเสร็จ ช่างก็เริ่มใช้เครื่องขัดไฟฟ้าเล็กๆ สกัดผิวปูนออก เอาแผ่นหินอ่อนออกจากกำแพง เปิดช่องก็พบอิฐก่อปูนเป็นกำแพง ในขณะที่เริ่มสกัดปูนที่ผนังกำแพงนี้ ฝุ่นผงสีขาวจากกำแพงก็ฟุ้งตลบอบอวลอยู่ภายในใต้ถุนเพดานเตี้ยๆ นี้ จนว่าแทบมองอะไรไม่เห็น มีพัดลมกี่ตัวก็เปิดไล่ฝุ่นกันพัลวัน แต่ฝุ่นก็ไม่ไปไหน คงอบอวลอยู่เต็มพื้น เต็มผมของคน หลายคนหลบออกไปข้างนอกเพราะทนไม่ไหว แต่ก็ยังมีหลายคนทนปิดจมูกจากฝุ่นผงปูนอยู่อย่างนั้น พ่อเก็บภาพขาว-ดำ ด้วยกล้องออโตเมติกยี่ห้อโรลไล ท่ามกลางฝุ่นผงจนพอใจ จึงหนีออกไปหายใจข้างนอก

สักพัก แล้วจึงกลับเข้ามาใหม่ ด้านนอกห้องใต้ดินบริเวณหน้าพระแท่น มีสมุดให้ทุกคนที่มาได้เซ็นชื่อ และทุกคนที่มาได้รับเชิญให้เซ็นชื่อไว้เป็นพยานว่า ได้มารับรู้รับเห็นการเปิดศพของคุณพ่อนิโคลาส แต่ผู้ที่ต้องเซ็นในเอกสารสำคัญได้แก่ นายแพทย์ 3 ท่าน ที่เชิญมาจากโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ซึ่งก็รวมทั้งนายแพทย์บุญสม มาร์ติน ด้วย นอกนั้นยังต้องมีพยานฝ่ายพระศาสนจักรคือ คุณพ่อของเราบางคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนพระคาร์ดินัลและอาจารย์นักโบราณคดีอีก 1 ทีม มีการบันทึกวิดีทัศน์ และภาพถ่ายทุกขั้นตอนเป็นหลักฐาน ทางกรุงโรมมีกฎว่าจะต้องเปิดหลุมศพและเก็บกระดูกและอื่นๆ ในโลงศพให้เสร็จอย่างต่อเนื่อง ห้ามเว้นวรรคเป็นวันๆ ทุกอย่างจะได้เป็นจริง ไม่มีการเสริมเติมแต่งวัตถุใดๆ หรือเรื่องใดๆ เป็นอันขาด พ่อได้เซ็นชื่อพร้อมกับคนอื่นๆ ที่มาคือเซ็นชื่อและเขียนชื่อด้วยตัวบรรจง (รวม 2 ช่อง) ส่วนช่องที่ 3 เป็นช่องที่ต้องเขียนว่า "ในนามของ..." พ่อก็ใส่ลงไปโดยไม่ต้องคิดเลยว่า "ในนามของสัตบุรุษวัดนักบุญเทเรซา หน้าโคก และพระชนนีฯรังสิต" ทั้งนี้ก็เพราะพ่อไม่เห็นใครมาจากหน้าโคกและรังสิตเลย ก็เลยถือว่าตัวเองเป็นตัวแทนทั้ง2 วัด พี่น้องจากทั้ง 2 วัดที่พ่อเพิ่งผ่านชีวิตมาหมาดๆ ทั้ง 2 วัด ถือว่ามีส่วนในวันนี้ คือวันที่เขาเก็บกระดูกของคุณพ่อนิโคลาส 12 มกราคม ค.ศ. 2000 ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ

พอสกัดปูนออกหมด และสกัดอิฐแดงก่อปูนออกมาหมด ก็เผยให้เห็นโลงศพของคุณพ่อ

นิโคลาสในทันที กล้องทุกชนิดก็ระดมถ่ายขณะนี้ไว้มากมาย ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ โลงไม้เก่าผุพังจนเกือบหมด ไม่เป็นรูปของโลงศพเลย ผนังโลงก็เหลือเตี้ยๆ ฝาโลงก็พังยุบลงมาปิดร่างผู้ตายจนมองศพไม่เห็น เหมือนไม่มีศพอยู่ในนั้น หมอและทีมนักโบราณคดีชะโงกเข้าไปดู แล้วบอกตรงกันว่าศีรษะอยู่ด้านนอกนี้เอง ส่วนเท้าอยู่ด้านในโน้น ที่ปลายโลง (ด้านเท้า) มีจอมปลวกสีน้ำตาลไหม้ขนาดเล็กๆ ก่อตัวอยู่ 1 กอง แต่ไม่เห็นตัวปลวก ทีมโบราณคดีซึ่งเป็นหญิง 2 คน ชาย2 คน เริ่มตักส่วนศีรษะออกมาวางไว้ในรางสแตนเลสยาวรองด้วยผ้าขาวบาง ปรากฏว่าศีรษะมีส่วนของกะโหลกอยู่ 2 แผ่นใหญ่เท่านั้น นอกนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบเศษกระจกแตกละเอียด

ขากรรไกรด้านล่างหลุดจากกะโหลก มีฟันติดอยู่ 5-6 ซี่ ฟันที่เหลือตกอยู่ที่พื้นโลง ขากรรไกรด้านบนหักเป็น 2 ชิ้น (หักกลาง) แต่ฟันติดอยู่ครบ แผ่นกะโหลกใหญ่ 2 แผ่น มีหนังศีรษะบางๆ ติดอยู่มีเส้นผมน้อยมาก ด้านในของชิ้นกะโหลก 1 ใน 2 มีลายของมันสมองเห็นได้ชัดเจน มีสิ่งแปลกอยู่สิ่งหนึ่งพบบริเวณกะโหลก นั่นคือมีหมากอยู่ 1 ผล เปลือกของมันยังดีอยู่ครึ่งเดียว พร้อมกับห่อหุ้มไส้ในของหมากที่ยังคงสภาพเป็นเม็ดกลมไว้อย่างดี ไม่ทราบว่าเข้ามาอยู่บริเวณศีรษะได้อย่างไร บ้างก็เดาว่าคงมีคนในยุคนั้นใส่ไว้ให้ตามธรรมเนียม หรือไม่ก็อมไว้ในปาก จึงอยู่ในสภาพดี สิ่งที่แปลกอีกอย่างเกี่ยวกับกระดูกกะโหลกก็คือ ทุกส่วนของกะโหลกมีคราบสีเงินส่องประกายแวววาวทุกชิ้น เหมือนกับคราบของสารละลายที่เป็นเกลือเกาะเป็นคราบยังไงยังงั้น ไม่มีใครอธิบายได้ต่อจากนั้นก็พบประตูสวรรค์อันเป็นส่วนแยกของสายประคำนั่นเอง เป็นอันเล็กๆ เป็นโลหะที่เกิดอ๊อกซิเดชั่นจนเป็นสนิมเขียว สายโลหะของประคำไม่มี (คงเป็นสายเชือก) และเม็ดลูกประคำก็ไม่มีเลย (คงผุพังไปหมดแล้ว) เขาเริ่มเก็บกระดูกไหปลาร้าออกมา 2 อัน, สะบักไหล่ 2 อัน, แขนส่วนบน 2 อัน และแขนส่วนล่าง 4 อัน, กระดูกต้นคอ 7 ชิ้น พอถึงตรงนี้ ทีมโบราณคดีหันมาบอกว่า แปลกจังทำไมกระดูกสะบ้าและขาจึงมาอยู่รวมกันที่กลางตัว อยู่ปนกับกระดูกซี่โครงและกระดูกสันหลัง แล้วเขาค่อยๆ เก็บกระดูกซี่โครงออกมาก่อน มาถึงตอนนี้ต้องหยุดเพื่อหาวิธีเลื่อนโลงศพออกมาจากช่อง เพราะยื่นลำตัวเข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะลึกเกินไปและแคบ จึงเอาไม้อัดตัดเป็นแผ่นยาวๆ ให้กว้างกว่าขนาดของโลงศพเล็กน้อย สอดลงไปใต้พื้นโลงจนสุด แล้วค่อยๆ ยกเลื่อนออกมา วินาทีนี้เองที่เขาเลื่อนไม้อัดออกมา พื้นโลงที่อยู่ลึกๆ ก็เลื่อนออกมาสู่สายตาของทุกคน ปรากฏว่ายังมีกองกระดูกอยู่กับมูลดินดำๆ กองใหญ่ เมื่อวางทุกอย่างลงบนโต๊ะยาว ก็ค่อยๆ เก็บกระดูกสันหลังออกมาเรียง กระดูกเชิงกราน กระดูกต้นขา 2 อัน ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก แสดงว่าเป็นคนรูปร่างประมาณ 170 ซ.ม. และคงเดินเก่งมาก กระดูกสะบ้า กระดูกหน้าแข้ง 4 อัน กระดูกนิ้วมือ

นิ้วเท้า ส้นเท้า เป็นอันครบถ้วน ในกองมูลดินคุ้ยเขี่ยต่อไปจึงเจอกางเขนโลหะ อันเป็นกางเขนของสายประคำที่เอประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้ อยู่ในสภาพขึ้นสนิมเขียว เป็นกางเขนอันเล็ก ซึ่งดูแล้วก็เป็นสายประคำที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย (สายประคำคนจน) เราเจอแต่เส้นใยเป็นเส้นๆ ของผ้า แต่ไม่อยู่ในสภาพชิ้นผ้าแต่อย่างใด และจอมปลวกที่ปลายเท้าของโลงก็ไม่มีปลวกแม้สักตัวเดียว (ภายหลังเมื่อเก็บไม้ผุๆ ของโลงในภาคบ่าย มีลูกปลวกเล็กๆ เหลืออยู่ 2 ตัวเท่านั้น ไม่ทราบมันไปไหนกันหมดในวันนี้ คงอยู่เป็นเพื่อนตัวเล็กๆ ให้คุณพ่อมานานในนี้ วันนี้คุณพ่อจะลุกขึ้นแล้ว มันจึงไม่มายุ่ง!?!) เขาขุดทุกอย่างออกจากช่องปูนจนสะอาด มีทางเดินของปลวกลงมาจากข้างบนพื้นวัด แต่ไม่เห็นปลวก ฝาโลงกับผนังโลงล้วนผุพังเปื่อยยุ่ย เราเก็บไว้ในถุงพลาสติก มีส่วนที่ยังเป็นไม้อยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนพื้นโลงเป็นไม้ที่ไสไม่เรียบ เข้าใจว่าเป็นไม้ยางทั้งโลง พื้นโลงเป็นไม้แผ่นเดียวที่ยังเหลือหนาๆ อยู่ แต่ก็ชื้นและอ่อนตัวเหมือนชานอ้อยสีน้ำตาลไหม้ (ต่อไปคงเก็บไว้ในตู้แก้วทั้งแผ่น)

สรุป คุณพ่อนิโคลาสตายอย่างสิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนพระเยซู ทั้งตัวเหลือแค่สายประคำเก่าๆ มีกางเขนกับประตูสวรรค์เท่านั้นเป็นโลหะ ส่วนตัวสายคงเป็นเชือกและเม็ดประคำคงเป็นไม้ ก็เลยเสื่อมสลายไปหมด เรายังพบวัสดุที่คล้ายๆ เชือกด้ายเป็นส่วนเล็กๆ ไปหมด ส่วนเสื้อผ้าก็เห็นแต่ชิ้นเล็กๆ จนดูไม่เห็นเป็นผ้า สีออกดำๆ ทั้งนั้น เส้นผมที่รวบรวมได้ก็น้อยจนน่าใจหาย คุณพ่อไม่เหลืออะไรในวาระสุดท้าย มีแต่ตัวกับหัวใจและวิญญาณอันยิ่งใหญ่ และถูกหลงลืมไปเงียบๆ 56 ปี ในท่าขดตัวงออยู่ พ่อเดาว่าคงตายในท่านี้ แล้วผู้คุมก็เอาอะไรห่อ (แบบนักโทษสมัยก่อนทุกคน) รอให้ญาติมาเอาศพไป แต่ครั้นเห็นยังไม่มา ศพจะเน่า ก็เลยเอาไปไว้วัดพุทธใกล้ๆ ชั่วคราว (วัดบางแพรก) คุณพ่อตายเดือนมกราคม กว่าจะมีคนไปเอาศพและนำโลงไปใส่ ก็ปาเข้าไปเดือนมีนาคม โลงจึงเล็กนิดเดียว เพราะเอาไปใส่ซากที่หดตัวลงแล้วนั่นเอง และซากนี้ก็นอนขดอยู่เช่นนี้ 56 ปี

วันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2000 เราจึงมีโอกาสเชิญคุณพ่อออกมานอนเหยียดยาว แต่ก็เหลือเพียงกระดูกเท่านั้นที่เหยียดยาวในวันนี้

คุณพ่อนิโคลาสครับ คุณพ่อรับใช้พระชั่วชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยที่สุด เสียสละที่สุด หมดหวังกับการได้รับอิสรภาพที่สุด ทำงานต่อในคุกอย่างกล้าหาญ ไม่เหลืออะไรเป็นทรัพย์ที่นับได้และถูกระบุว่าเป็นวัณโรคตาย จะจริงหรือไม่จริงกับวัณโรคก็ตาม รู้แต่ว่าคุณพ่อนอนขดตัวตายอย่างเปล่าเปลี่ยวเหมือนไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย หลังจากอุทิศทั้งหมดมาตลอด คุณพ่อกำลังสอนพวกเราวันนี้ว่า แม้ได้ให้พระทั้งหมด ก็ใช่ว่าพระจะเป็นหนี้บุญคุณ เราไม่สมควรเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น มีแต่ยอมรับน้ำพระทัยทุกประการจนสิ้นลม สิ้นลมไปแล้ว คุณพ่อคงคิดว่าตัวเองยังเป็นหนี้พระอยู่ ยังใช้ไม่หมด แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ไม่เคยเอาเปรียบใคร ไม่เคยหันหลังให้กับคำภาวนาและยากที่จะเข้าใจได้นี้ กลับคืนเกียรติแก่คุณพ่อ ณ เวลาที่เห็นว่าเหมาะสมคือในปี ค.ศ. 2000 นี้...

56 ปี อันยาวนานสำหรับมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งบนโลกนี้ ครั้นพระองค์คืนทุกหยาดหยดชีวิตให้ พระองค์คืนอย่างยิ่งใหญ่และอมตะชั่วนิรันดร์

ภายใต้สุสานวัดอัสสัมชัญใต้พระแท่นนี้ พ่อสังเกตว่ามีพระสังฆราชไทยฝังอยู่องค์เดียวคือ ท่านยวง นิตโย นอกนั้นเป็นพระสังฆราชฝรั่ง ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น เพราะกรุงเทพฯ

เพิ่งมีพระสังฆราชไทยแค่ 2 องค์ แต่มีพระสงฆ์ฝรั่งฝังอยู่หลายองค์ในนี้ มีศพพระสงฆ์ไทยอยู่แค่

3 องค์ (ถ้าจำไม่ผิด) และ 1 ใน 3 คือคุณพ่อนิโคลาสนี่เอง ศพคุณพ่อไทยอื่นๆ มากมาย เขาฝังที่อื่นหมด แต่ศพนักโทษคนนี้ได้ฝังที่อาสนวิหาร มันคงไม่เป็นเรื่องบังเอิญกระมัง

หลังอาหารเที่ยงแล้ว ทีมโบราณคดีก็ล้างกระดูกด้วยแอลกอฮอล์ แล้วเช็ดด้วยน้ำยาอะคริลิก เพื่อป้องกันการเปื่อยและจะได้คงสภาพ แล้วเรียงเป็นร่างของคุณพ่อบนโต๊ะ ปูด้วยผ้าสีขาวอีกครั้ง ปรากฏว่ากระดูกสันหลังที่ต้องมี 12 ชิ้น กลับเหลือ 11 ชิ้น ใครเป็นคนหยิบไป? ตั้งแต่เปิดโลงตอนเช้า ปรากฏว่ามีคนมาหยิบส่วนของไม้โลงศพใส่ถุงจะเอากลับบ้าน และหยิบอิฐแดงก้อนเล็กๆ ไป 2 ก้อน โฆษกต้องประกาศให้เอามาคืน แต่กระดูกสันหลังหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ตามหลักแล้ว ถ้าจะหายต้องหายก่อนตาย แต่ถ้าเป็นศพแล้ว 56 ปี อยู่ในโลง มันจะหายไปได้อย่างไร? ต้องหายตอนเปิดโลงนี่แหละ!?! นี่แหละครับความศรัทธาของคน

เขาคงคิดว่าถ้าคุณพ่อนิโคลาสเป็นบุญราศีแล้ว ก็เป็นนักบุญต่อไป สิ่งต่างๆ ที่ร่วงหล่นอยู่ในบริเวณนี้ล้วนเรียกว่าพระธาตุทั้งสิ้น ว่าแล้วก็เลยเอากระดูกสันหลังไป 1 ชิ้น... เฮ้อ

จนพ่อกลับขึ้นรถขับออกมา กระดูกชิ้นนี้ก็ยังหาไม่เจอ ไม่ทราบว่าจะหาเจอทีหลังหรือไม่

ตอนเย็น 4 โมง เขาจะเก็บกระดูกใส่ลงในโลงไม้สักสีโอ๊คสวยงาม ข้างในโลงมีสแตนเลสอีกหนึ่งชั้น แล้วจะนำโลงไว้ในกล่องแก้วใสที่จัดไว้ ณ กราบซ้ายของวัดอัสสัมชัญเพื่อดำเนินการในขั้นต่อไป

พ่อขับรถกลับวัดมาทำมิสซาเย็น คิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตามทางคนเดียว เปิดเทปเพลงฟังเพลงคริสตังร้องเพลง คิดถึงพระเยซู คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงทุกคนที่วัด ที่บ้านพ่อแม่ คิดถึงตัวเองนอนหลับสงบอยู่ในโลง แล้วเขาฝังเราลงดินหายไปจากโลก จากสังคมอันยุ่งเหยิง "LORD, TAKE ME TOMORROW" วันนี้ได้รับใช้สังฆมณฑลของเราด้วยฝีมือถ่ายภาพขาว-ดำ พร้อมๆ กับคนอื่นๆ ที่ถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์และเนกาตีฟ รับใช้คุณพ่อนิโคลาสที่เราไม่เคยได้รู้จักขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้รู้จักเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางชีวิตและศพของคุณพ่อนิโคลาสอย่างชัดเจน แม้ขณะมีชีวิต จะมีรายงานว่าคุณพ่อนิโคลาสเป็นคนช่างใจน้อย แต่เขาก็เป็นคนดีจนได้รับเกียรติ มันทำให้เราคิดอะไรออกได้มากมายกว่านั่งเรียนในห้องเรียนหลายเท่ามิใช่หรือ ก่อนเราจะตาย จะมีคนพูดถึงเรามากมายหลายแบบ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่พระจะพูดกับเราและชาวโลกวันสุดท้าย พี่น้องว่าจริงไหม... "ใครมีหูก็ฟังเอาเถิด"

 Paul Simon เขียนเนื้อร้องของเพลง "American Tune" ไว้ตอนหนึ่งว่า

"And I dreamt I was dying

I dreamt that my soul rose unexpectedly,

Looking back down at me, smiling reassuringly...

High up above my eyes could clearly see "Statue of Liberty"

Sailing away to sea

and I dreamt I was dying"

ซึ่งพอจะแปลเป็นไทยได้ว่า

"แล้วข้าก็ฝันว่าข้าตายไป,

ฝันว่าวิญญาณข้าล่องลอยขึ้นไปโดยไม่ทันรู้ตัว,

แล้วก็หันลงมามองดูข้า แล้วยิ้มย้ำให้ข้ามั่นใจ

จากที่สูงข้างบนนั่น ตาข้าเห็นถนัดถนี่, เห็น "เทพีแห่งเสรีภาพ"

ลอยล่องตามน้ำออกไปสู่มหานครสาครใหญ่

เอ้อ... ข้าฝันว่าข้าตายไป.

พี่น้องครับ แม้เทพีแห่งเสรีภาพที่ปากอ่าวแมนฮัตตั้น จะลอยหายไปกับสายน้ำ แต่ความรักและความซื่อสัตย์ของพระเป็นเจ้าที่มีต่อเราไม่เคยล่องลอยไปไหนแม้จะ 56 ปีก็ตาม ดูเหมือนเสรีภาพจะลอยหายไปจากปากประตูคุกบางขวางแล้ว คุณพ่อนิโคลาสคงฝันว่าตัวเองตายไปหลายครั้งในขณะอยู่ในคุกก็ตาม แต่ความเชื่อของคุณพ่อก็อยู่ในใจและย้ำยิ้มให้ตัวเองอยู่เสมอจนวาระสุดท้ายว่า "ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์"

พ่อคิดอยู่เสมอว่า แม้วันที่พ่อเดินออกจากบ้านหน้าโคกไปแล้ว พ่อยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรที่หวังไว้ได้หมด พระผู้เป็นเจ้าที่แสนดีคงกำลังบอกกับพ่อว่า งานที่ตั้งใจจะให้ได้ตามคิดนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการเพียงได้อยู่ ณ ที่นั้นอย่างดีในฐานะเป็นพยานเรื่องพระองค์ตลอดเวลา

"คุณพ่อนิโคลาสครับ แม้คุณพ่อจะตายไปโดยงานของคุณพ่อยังไม่จบดังหวังไว้ก็ตาม

แต่ชีวิตของคุณพ่อจบเรื่องความรักและการเป็นพยานแล้วนะครับ... อาแมน"