การเบียดเบียนศาสนา ตามคำให้การของพยานร่วมสมัยกับคุณพ่อนิโคลาส
คุณพ่อเรอเน เมอนิเอร์ ผู้เคยร่วมงานแพร่ธรรมทางภาคเหนือกับคุณพ่อนิโคลาส ได้ให้การเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาไว้ว่าดังนี้ เกี่ยวกับเรื่องการเบียดเบียนศาสนาในสมัยนั้นที่เชียงใหม่ไม่มีการเบียดเบียนรุนแรงเหมือน ในภาคกลาง แต่คริสตังที่พิษณุโลกกลัวจนต้องเอาสายประคำไปฝังดินไว้
ส่วนภาคกลางมีพระสงฆ์หลายองค์ถูกจับในข้อหาเดียวกัน เกี่ยวกับการจับกุมคุณพ่อนิโคลาสนั้น เนื่องจากคุณพ่อนิโคลาสได้เทศน์ว่า "อย่าไปเกลียดชาวฝรั่งเศส เพราะพวกเขาเป็นชาวฝรั่งเศสที่มาเพื่อประกาศศาสนาในประเทศไทย" แต่มีคนใส่ความพูดว่า คุณพ่อให้คริสตังภาวนาให้ฝรั่งเศสชนะสงคราม ซิสเตอร์บาซีลีอา สุณีย์ สุพภาศรี
ผู้เคยไปเยี่ยมคุณพ่อนิโคลาสในคุกและเคยฟังการเทศน์ของคุณพ่อจากการเข้าเงียบประจำปีของคณะฯ ได้กล่าวถึงการเบียดเบียนศาสนาในเวลานั้นไว้ว่า ในช่วงสงครามอินโดจีนมีการเบียดเบียนศาสนา พวกข้าราชการคริสตังถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาพุทธ ถ้าไม่เปลี่ยนก็ถูกกลั่นแกล้งไม่ให้ทำงาน นายจันทร์ดี วาปีโส
สัตบุรุษวัดนักบุญเทเรซา โนนแก้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่คุณพ่อนิโคลาสปกครองอยู่ในเวลาที่ถูกจับกุม ได้ให้การเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาในเวลานั้นว่าดังนี้ ในช่วงที่มีการเบียดเบียนศาสนา
มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและกำนันมาไล่ให้ออกจากศาสนาคริสต์ เขาบอกว่าถือศาสนานี้มีความผิด แต่พวกเรายืนยันไม่ออก มีคนออกจากศาสนา 4-5 คน วัดถูกปิด พวกคริสตังเข้าไปสวดภาวนาไม่ได้ ไม่มีมิสซา ไม่มีพระสงฆ์มาประจำที่วัดนานหลาย เดือน พวกเราต้องไปสวดภาวนากันตามบ้าน
นายอั้น สุวรรณใจ สัตบุรุษวัดนักบุญเทเรซา เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ผู้เคยเรียนคำสอนกับคุณพ่อนิโคลาส ได้ให้การเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาว่าดังนี้ ในช่วงที่มีการเบียดเบียนศาสนา มีเจ้าหน้าที่มาปิดวัด ส่วนโรงเรียนได้ถูกปิดก่อนหน้านั้น 1 เดือนแล้ว เอาพระ (พุทธ) มาเทศน์ มีครูคนหนึ่งของรัฐบาลเอาหนังสติ๊กยิงรูปนักบุญ เทเรซามีการบังคับให้ทิ้งความเชื่อ
จากตัวอย่างของคำให้การเหล่านี้ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า การเบียดเบียนศาสนาคริสต์ในเวลานั้นมีอยู่ทั่วประเทศไทย และคริสตชนต้องตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชังศาสนาของคนไทยโดยทั่วไป |