หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

  จังหวัดโคราช (นครราชสีมา)

เขตทั้งหมดของโคราชเป็นส่วนหนึ่งของภาคอีสานทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  อย่าง เป็นทางการ      กล่าวได้ว่าการเบียดเบียนศาสนาที่นี่รุนแรงมากและต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1944 ทั้งๆ ที่มีคำปราศรัยและคำสั่ง

 เมื่อพิจารณาในด้านการปกครองทางศาสนาอย่างเป็นทางการ  โคราชเป็นส่วนหนึ่งของมิสซังหนอง แสง แต่ในทางปฏิบัติ   ตามข้อตกลงระหว่างบรรดาผู้แทนพระสันตะปาปาที่ได้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ได้มอบ ให้เขตปกครองของโคราชเป็นของมิสซังกรุงเทพฯ     ใช้เวลา 3 สัปดาห์ ในการเดินทางจากอุบลถึงโคราช ใช้เวลาวันเดียวในการเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟที่เพิ่งสร้างใหม่สายกรุงเทพฯ-โคราช

ในปี ค.ศ. 1940 มีศูนย์กลางทางศาสนา 3 แห่ง

โคราช  คริสตังเกือบทั้งหมดเป็นชาวจีน

 บ้านหัน   คริสตังทั้งหมดเป็นคนไทย-ลาว

 โนนแก้ว   คริสตังทั้งหมดเป็นคนไทย-ลาว

1. ที่เมืองโคราช

 ปลายปี ค.ศ. 1940 ไม่มีทั้งพระสงฆ์และพวกคริสตังอยู่เลย เมื่อได้ฟัง "การสนทนา"ของนายมั่นและนายคง ทางวิทยุกระจายเสียง คุณพ่อเลโอนารด์ได้หนีไปหลบภัยอยู่ที่วัดหัวไผ่ พวกคริสตังที่เป็นคนจีนได้ถูกบังคับโดยค ำสั่งของรัฐบาลลงวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 ให้ย้ายออกจากโคราชภายใน 48 ชั่วโมง พวกเขาสูญเสียทรัพย์สินเกือบทั้งหมด และแตกกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง

ทั้งเมืองไม่มีพวกคนจีนวัดกลายเป็นวัดร้างคงเหลือแต่หญิงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นครูสอนคำสอนชื่อครูใจ เฝ้าวัด

ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศ ในแต่ละครั้งที่เดินทางมา   สามารถพักที่นี่ได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ดังนั้น จึงเป็ นโอกาสให้พวกหัวขโมยเข้ามาขโมยข้าวของ พวกตำรวจทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้พวกขโมยรื้อลูกกรงหน้าต่าง เป็นต้นนายร้อยประจำสถานีตำรวจบอกข้าพเจ้าว่า"อย่าร้องเรียนเรื่องนี้เป็นอันขาด เพราะเงินเดือนของพวกเขาน้อย!”

2. ที่บ้านหัน

ก. เจ้าอาวาสหลบหนีไปโดยลำพัง

 วัดบ้านหันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีครอบครัวคริสตัง 20-25 ครอบครัว อยู่ในเขตปกครองของอำเภอสีคิ้ว คุณพ่ออัมบรอซิโอเจ้าอาวาสวัด ฟังการสนทนาของนายมั่นและนายคงทางวิทยุกระจายเสียงทุกเย็น คุณพ่อรู้ว่าอันตรายเข้ามาใกล้ตัว จึงหลบหนีไปเพียงลำพังโดยไม่บอกให้พวกซิสเตอร์หรือพวกคริสตังทราบ ในเวลานั้นพวกเลือดไทยเริ่มปรากฏตัว

ข. พวกคริสตังละทิ้งศาสนา

 พวกคริสตังแตกตื่นไปหาพวกซิสเตอร์ซึ่งตื่นตกใจกลัวเช่นกัน ทุกคนตกใจกลัว “ทำไงดี?  พวกเลือด ไทยพร้อมทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าพวกเราไม่ไปที่วัดพุทธ กราบไหว้พระพุทธรูป!”

 เขาตกลงกัน ไปที่วัดพุทธ เขาคิดว่าวิญญาณตายไม่เป็นไร ใจยังเป็นคริสตัง    เขาตัดสินใจเรียบร้อย  แต่ก็ไม่หายสับสนวุ่นวาย
 ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนางประไพ เป็นลูกสาวของนางย้อย และมีลูก 2 คน เธอไม่ยอมทำตามสามีของเธอ เธอได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ว่า “ดิฉันตกใจ! คิดว่าต้องตายเพราะลูกปืนหรือถูกฟันด้วยมีดโต้ เรื่องนี้ดิฉันไม่กลัว แต่ถ้าพวกเลือดไทยจะทรมานดิฉันเพื่อให้กราบไหว้พระพุทธรูป!   เรื่องนี้ทำให้ดิฉันกลัว”

ค. เหยื่อของความร้อนรน, คุณพ่อนิโคลาสจากโนนแก้วถูกจับที่บ้านหัน

พร้อมกับพวกหัวหน้าครอบครัวคริสตัง 13 คนถูกตัดสินลงโทษจำคุก 15 ปี

วันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1941 คุณพ่อนิโคลาส พระสงฆ์ไทยใจร้อนรน เจ้าอาวาสวัดโนนแก้ว เดินทาง ไปกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเงียบประจำปีกับพวกพระสงฆ์ไทย    ท่านเดินทางผ่านโคราชเพื่อรับคุณพ่อเลโอนารด์  แต่ไม่พบเพราะคุณพ่อเลโอนารด์หลบหนีไปแล้ว          ท่านจึงตัดสินใจเดินทางมาวัดบ้านหันเพื่อรับคุณพ่ออัมบรอซิโอในวันที่ 11 มกราคม แต่ไม่พบคุณพ่ออัมบรอซิโอ
 วันที่ 11 มกราคม เป็นวันฉลองพระคริสตเจ้าแสดงองค์ ในเวลาใกล้ค่ำ    คุณพ่อนิโคลาสตีระฆังเพื่อสวดภาวนาตอนเย็น พวกคริสตังได้พากันมาวัด ในระหว่างที่พวกเขากำลังสวดอยู่วิทยุกระจายเสียงประกาศคำสั่งให้ชาวฝรั่งเศสทุกคนมารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ ภายในเวลา 72 ชั่วโมง และประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเรือรบไทย 2 ลำ ยิงเรือลาโมต-ปิเกต์ ของฝรั่งเศสจมหลังจากการสนทนาของนายมั่น-นายคงพวกเลือด ไทยได้ยุยงส่งเสริม พวกเขาไปที่วัด

คนหนึ่งในจำนวนคนเหล่านี้ได้ขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเกาะหน้าต่าง เขาเห็นคุณพ่อนิโคลาส ซึ่งนำพวกคริสตังสวดภาวนา เมื่อมาถึงตอนสวดบทเร้าวิงวอนของแม่พระ คุณพ่อนิโคลาสนำสวด   พวกคริสตังตอบว่า “โปรดภาวนาเพื่อเราเทอญ” การสวดโต้ตอบกันนี้ทำให้เลือดไทยที่ยืนบนต้นไม้ดักฟังได้ความคิด ต่อจากนั้น เขากับเพื่อนๆ รีบไปที่สีคิ้ว และเล่าเรื่องให้นายอำเภอฟังว่ามีการชุมนุมที่วัดบ้านหัน  คุณพ่อนิโคลาสนำสวด พวกคริสตังตอบว่า “ขอพระเจ้าโปรดให้พวกฝรั่งเศสได้รบชัยชนะเหนือพวกคนไทย”

สุดท้ายเช้าวันรุ่งขึ้นคุณพ่อนิโคลาสถูกจับขังคุกพร้อมกับหัวหน้าครอบครัวคริสตัง 13 คนของวัดบ้านหัน ที่ซึ่งบรรยากาศแห่งความตายกำลังครอบงำ
 ในจดหมายลงวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ถึงเพื่อนพระสงฆ์      พระสังฆราชแปร์รอส เขียนว่า "คุณพ่อนิโคลาสถูกฟ้องเหมือนกับพระสงฆ์อีกสององค์ (คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีน) ในข้อหาเป็นแนวที่ 5 คุณพ่อนิโค ลาสถูกขังคุกที่โคราช 2 เดือน แล้วย้ายมาที่กรุงเทพฯ  ฝากขังที่สถานีตำรวจศาลาแดง รอตัดสิน คำตัดสินจะเป็นอย่างไร? พระเจ้าเท่านั้นทรงทราบ ระหว่างรอคำตัดสิน คุณพ่อชื่นชมยินดีที่ได้ทนทรมานเพื่อพระศาสนาพร้อมกับพระสงฆ์อื่นอีก 2 องค์    เซอร์ที่เซนต์โยเซฟคอนแวนต์นำอาหารมาให้คุณพ่อทุกวัน แต่ห้ามพูดคุยกับท่าน

ท่านถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 15 ปี พร้อมกับคริสตังวัดบ้านหัน 13 คน   ถูกคุมขังที่เรือนจำบางขวาง

ท่านมรณภาพในแผนกคนไข้ของเรือนจำซึ่งอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลา 8 เดือน และได้โปรดศีลล้างบาปให้นักโทษ 68 คน หลังจากที่ได้สอนคำสอนพวกเขาแล้ว คุณพ่อติดคุกเป็นเวลา 3 ปี"

ง. วัดบ้านหันถูกขาย

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ข้าพเจ้าออกจากวัดโนนแก้วพร้อมกับชายหนุ่ม 7 คนเพื่อเดินทางไปวัดบ้าน หัน วัดถูกใช้เป็นโรงเรียน    บ้านพักพระสงฆ์ถูกยึดครองโดยครูใหญ่และครอบครัวของเขา ไม่ต้องลังเลใจ,ข้าพเจ้ารีบขึ้นไปบนบ้านพักพระสงฆ์ต่อหน้าครูใหญ่ที่กำลังงุนงงและพวกเราก็ค้างคืนกับครูใหญ่และครอบครัว

เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าส่งชายหนุ่ม 2 คนที่ไว้ใจ     นำรายงานฉบับหนึ่งไปส่งให้พระสังฆราชแปร์รอส พระคุณเจ้าร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ       และกระทรวงมหาดไทยโดยผ่านทางเอกอัครราชทูต ฝรั่งเศส 2 วันต่อมา ก่อนที่ชายหนุ่ม 2 คนจะกลับมา มีโทรเลขมาถึง สั่งให้ครูใหญ่ย้ายออกจากบ้านพักพระสงฆ์ทันที เขาย้ายออกเวลากลางคืน

วัดถูกขโมยเอาพวกผ้าปูพระแท่น, พวกเครื่องประดับ และตู้ศีล ข้าพเจ้าเดินทางไปวัดโนนแก้วอีก เพื่อหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับทำมิสซา แล้วกลับมาที่วัดบ้านหัน พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา3 เดือนข้าพเจ้าอยู่อย่าง แร้นแค้น ไม่มีอะไร จะกิน นอกจากนั้น    พวกเลือดไทยขึ้นไปยังบ้านพักพระสงฆ์ในเวลากลางคืนหลายครั้ง กวาดเอาทุกสิ่งที่พวกเขาพบไป ส่วนข้าพเจ้าหลบอยู่ในห้องเล็กๆ ของข้าพเจ้า รอดูเหตุร้าย

หลังจากนั้นไม่นาน    นายอำเภอสีคิ้วเรียกพวกชายหนุ่มทุกคนของวัดบ้านหันโดยเฉพาะเพื่อไปทำความสะอาดทางรถไฟสายโคราช-สระบุรี ในหมู่บ้านคริสตังเหลือแต่พวกผู้หญิงและเด็กๆ และเป็นต้นฤดูฝน เป็นฤดูทำนา ข้า พเจ้าทำรายงานใหม่ฉบับหนึ่งด้วยความกรุณาจากรัฐมนตรีมหาดไทย มีคำสั่งให้นายอำเภอส่งพวกชายหนุ่มกลับบ้านเพื่อทำนา รายงานของข้าพเจ้าทำให้นายอำเภอไม่สบายใจ

ในขณะนั้น ที่วัด   ในวันอาทิตย์และวันธรรมดา ข้าพเจ้าไม่มีใครมาฟังมิสซาเลยนอกจากนางประไพ เพียงคนเดียว พวกคริสตังคนอื่นๆ กลัวจนลนลานไม่มีใครกล้ามาฟังมิสซาพระสังฆราชแปร์รอสสั่งให้ข้าพเจ้าขายที่ดินพร้ อมวัด, บ้านพักพระสงฆ์ และคอนแวนต์ ข้าพเจ้าขอผัดไปก่อน และข้าพเจ้าได้เตือนพวกแม่บ้านทุกคนว่า ถ้าพวกเขากลับมาเข้าวัดวันอาทิตย์พร้อมกับลูกๆ ของพวกเขา วัดก็จะไม่ถูกขาย  ข้าพเจ้าได้รับคำตอบแสนเศร้าพร้อมทั้งน้ำตาว่า “ถ้าพระสังฆราชอยากขายวัด พวกเราก็ไม่ขัดขวาง” แต่ปัญหาเรื่องมาวัด ไม่มีเคลื่อนไหวสักคนเพราะพวกเขากลัวเกินไป และจริงๆ แล้ว ถ้าพวกเขามาวัด การเบียดเบียนจะเริ่มขึ้น ใหม่อย่างแน่นอนเหมือนที่วัดหนองแสงและท่าแร่สมัยพระสงฆ์ซาเลเซียนดูแล

และโดยคำสั่งในปี ค.ศ. 1943 ให้ขายวัดพร้อมทั้งวัสดุทุกชิ้นที่เหลืออยู่  ยกเว้นโต๊ะศักดิ์สิทธิ์ที่ขนมาจากโนนแก้วด้วยความลำบากมากเพื่อใช้ในวัดนี้ เป็นโต๊ะที่ปราณีตมาก       แต่แล้วก็ถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944

เป็นนายอำเภอสีคิ้วที่ซื้อวัดบ้านหัน เขาดัดแปลงเป็นโรงเรียน ส่วนบ้านพักพระสงฆ์ได้กลายเป็นบ้านพักของครูใหญ่

ข้อสังเกต

ถึงแม้พระสังฆราชแปร์รอสมีคำสั่งให้ขาย ข้าพเจ้าก็มีวัดนี้อยู่ในความทรงจำ ประมาณปีค.ศ. 1957-1958 ภายหลังการเจรจาอันยาวนาน ข้าพเจ้าก็ซื้อทั้งวัดและโรงเรียนกลับคืนสำเร็จ

3. ที่โนนแก้ว

 ที่โนนแก้ว การเบียดเบียนได้รุนแรงมากและดำเนินไปถึงปี ค.ศ. 1944 จนถึงการปฏิวัติและเสรีภาพทางศาสนากลับคืนมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าได้เขียนประวัติวัดโนนแก้วในภาค 2 แล้ว นี่คือ

 เอกสารหมายเลข 34

ในเอกสารดังกล่าว ท่านจะพบผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อพวกคริสตัง,  กระทู้ถามต่างๆ,การข่มขู่ต่างๆ, การเผาบ้านพักพระสงฆ์, การฆาตกรรมต่างๆ, และสุดท้ายการเผาวัด การต่อสู้ของพวกคริสตังโนนแก้วจนมีชัยชนะและได้รับพระพรของพระเป้ฯเจ้า ให้คริสตชนกลุ่มนี้เจริญรุ่งเรืองและสืบเชื้อสายให้เกิดเป็นคริสตังจำนวนมาก

เรื่องนี้จะเป็นประวัติวัดโนนแก้วภาคที่ 3

อา ! ถ้าพวกคริสตังทุกคนมีความเชื่อและกล้าหาญเหมือนคริสตังวัดโนนแก้ว