หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 จังหวัดปราจีนบุรี

 เนื้อหาโดยสรุปของการเบียดเบียนในแถบปราจีนได้ถูกรวมอยู่ในจดหมาย      และรายงานของพระสังฆราชแปร์รอสที่มีไปถึงเพื่อนพระสงฆ์ที่ลี้ภัยอยู่ที่ไซ่ง่อน และถึงผู้แทนพระสันตะปาปาที่เมืองเว้ (ประเทศ เวียดนาม)

พระสังฆราชแปร์รอสเขียนจดหมายถึงคุณพ่อริชารด์     หัวหน้าพระสงฆ์ที่ลี้ภัย ลงวันที่ 24มีนาคม ค.ศ. 1941 จดหมายฉบับที่ 2 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1941    แจ้งข่าวการเบียดเบียนเช่นเดียวกัน และเพิ่มเติมรายงานเกี่ยวกับเรื่อง "ความเดือดร้อนที่เกิดกับมิสซังคาทอลิก"จดหมายทั้ง 2 ฉบับและรายงานพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด

1. ที่ปราจีน

คุณพ่อแปร์รัวย์ที่ปราจีนได้ถูกบังคับโดยตำรวจ ให้ออกจากวัดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนค.ศ. 1940 วันที่ 20 ธันวาคม ข้าพเจ้าได้ส่งพระสงฆ์พื้นเมืองชื่อ คุณพ่อฟรังซิส สงวน       (ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชสงวน) ท่านเกิดในเมืองไทย ถือสัญชาติไทย ไปปราจีนเพื่อดูแลพวกคริสตัง

ก. การจับกุมคุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีน เป็นการชั่วคราว

 เมื่อมาถึงปราจีนโดยรถไฟ คุณพ่อสงวนถูกตำรวจจับและถูกนำไปที่สถานีตำรวจ      เขาได้สอบสวน หลังจากนั้นได้ปล่อยตัวไป คุณพ่อได้พักอยู่ที่วัด

วันรุ่งขึ้น ตำรวจมาหาคุณพ่อ นำตัวไปที่สถานีตำรวจแห่งใหม่   เขาได้ถามคุณพ่อถึงจุดประสงค์ที่มาปราจีน ต่อจากนั้นก็กักตัวคุณพ่อไว้ในห้องพักผู้ต้องหาที่สถานีตำรวจ เพราะว่าหนังสือทำวัตร (Le Brviaire) ของคุณพ่อเป็นหนังสือที่น่าสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเป็นหนังสืออะไร คุณพ่อถูกกักตัว 3 วัน

 คริสตังคนหนึ่งมาจากปราจีนเพื่อส่งข่าวแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร่างจดหมายถึงหลวงอดุล  อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจที่กรุงเทพฯ และข้าพเจ้าได้เอาหนังสือทำวัตรของคุณพ่อสงวนให้     และข้าพเจ้าได้ร้องขออิสรภาพให้แก่คุณพ่อ คำร้องขอของข้าพเจ้าได้รับการสนองตอบ ที่สุดคุณพ่อสามารถกลับไปที่วัดได้ในที่ 24 ธันวาคม (ที่ชั้นล่างของวัดมีทหาร 60 คน เฝ้าอยู่ คุณพ่อถูกกักขังอยู่ชั้นบน)

 ไม่กี่วันต่อมา คุณพ่อมีแชล ส้มจีน พระสงฆ์พื้นเมือง ถือสัญชาติไทย คุณพ่อเดินทางจากวัดโคกวัดมาที่วัดปราจีน เดินทางเป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง เมื่อคุณพ่อมาถึงปราจีน ท่านก็ถูกตำรวจจับ     เพราะว่าคุณพ่อถอดเสื้อหล่อในระหว่างเดินทาง และสวมเสื้อหล่อเมื่อมาถึงปราจีนหลังจากกักขังคุณพ่อไว้ 2 วัน เขาก็ปล่อยคุณพ่อไปประจำที่วัดกับคุณพ่อสงวน แต่คุณพ่อทั้งสองถูกห้ามมิให้ออกจากที่พัก

ข. การจับกุมครั้งที่ 2: พระสงฆ์ 2 องค์ถูกคุมขังเพื่อรอการสอบสวน

 ในขณะนั้น เครื่องบินฝรั่งเศสมาทิ้งระเบิดที่ค่ายดงพระราม ใกล้กับปราจีน วันรุ่งขึ้นคุณพ่อทั้งสองถูกฟ้องในข้อหาได้ทำการฉายไฟนำเครื่องบินทิ้งระเบิด และถูกขังคุกในข้อหาเป็นแนวที่ 5คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีนถูกขังคุกเพื่อป้องกันการหลบหนีเป็นเวลา 2 เดือนครึ่งในเวลานั้น พวกคนร้ายได้ปล้นวัดโคกวัด

ค. การเบียดเบียนพวกคริสตังด้วยการบังคับให้ละทิ้งศาสนา

ในเวลานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา    นายอำเภอปราจีนได้เรียกประชุมพวกคริสตัง เขาต้องการบังคับคริสตังให้ละทิ้งศาสนาคาทอลิก  และประกาศตัวเป็นพุทธในตอนแรก ทุกคนปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกันในการละทิ้งศาสนาครั้งนี้ ต่อมา  เขาก็บังคับให้มาประชุมทุกวันเพื่อฟังเขาตอกย้ำให้ละทิ้งศาสนาคาทอลิก พวกคริสตังไม่สามารถทำงานหรือทำอะไรได้เลยนับตั้งแต่ถูกเรียกประชุม พวก เขาเกิดความท้อแท้มากยิ่งขึ้นแล ะในที่สุดก็ละทิ้งศาสนาไป ในขณะนั้นนายอำเภออ้างว่าเขาไม่ได้บังคับใคร แต่เขาทำให้พวกคริสตังไม่สามารถทำมาหากินได้ และให้พวกพ่อค้ารวมหัวกันหยุดทำการค้ากับพวกคริสตัง

วิธีการเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้ที่ปากคลองท่าลาด, ท่าเกวียน, พนัสฯ บางปลาสร้อย หัวไผ่

ง. คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีน ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี

 วันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1941คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีนได้ถูกตัดสินโดยศาลทหารที่ปราจีนผู้กล่าวหาเป็ นข้าราชการ 3 คน อ้างว่าได้เห็นคุณพ่อทั้งสองทำการฉายไฟให้สัญญาณนักบินฝรั่งเศส  พยานหนึ่งในสามคนบอกว่า ได้เห็นคุณพ่อทั้งสองยืนอยู่ในกอไผ่ อีกสองคนบอกว่าได้เห็นคุณพ่อทั้งสองยืนอยู่นอกกอไผ่ แต่งชุดธรรมดาสีขาว คนหนึ่งบอกว่าคุณพ่อทั้งสองส่งสัญญาณที่กอไผ่อีกด้านหนึ่งอีกสองคนให้การว่าคุณพ่อทั้งสองยืนอยู่ด้านตรงกันข้าม คุณพ่อทั้งสองปฏิเสธคำให้การของพยานทั้งสามคนอย่างเด็ดขาด ต่อจากนั้นมีพยานอื่นๆ ให้การเข้าข้างผู้ต้องหา กร ะนั้นก็ดี ผู้พิพากษาประกาศว่า    พวกพยานที่กล่าวหาเป็นข้าราชการ คำให้การของพวกเขาต้องมีน้ำหนักมากกว่าพยานที่เป็นคนธรรมดา ด้วยเหตุนี้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง (คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีน) จึงถูกตัดสินลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี

2. ที่แหลมโขด

ก. พวกทหารทำลายวัดและปล้นพวกคริสตัง

 หลังจากการทิ้งระเบิดค่ายทหารดงพระราม  พวกทหารค่ายดงพระรามและพวกปล้นจำนวนหนึ่งมาที่แหลมโขด วัดตั้งอยู่ห่างไปครึ่งชั่วโมง พวกทหารและพวกปล้นเข้าไปในวัด ทุบไม้กางเขน, รูปปั้น, ฉีกรูปวาดนักบุญต่างๆ, ขโมยอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ พูดสั้นๆ ว่าพวกเขาทำลายวัด นายอำเภอถูกเชิญมาเพื่อห้ามพวกปล้น เขาตอบว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของทหาร พร้อมทั้งบังคับให้อยู่เฉยๆ หลายวันต่อมา   พวกปล้นกลับมาอีก ยังคงอาจหาญยิ่งขึ้น เห็นว่าไม่มี อะไรเหลือในวัดให้ขโมยอีก พวกเขาได้ปล้นเอาสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกคริสตัง ได้ฆ่าไก่, เป็ด, หมู และบังคับพวกหญิงสาวและพวกเด็กผู้หญิงให้หนีไปในเมืองเพื่อความปลอดภัย

ข. การเบียดเบียนพวกคริสตังด้วยการบังคับให้ละทิ้งศาสนา

เหตุการณ์เหมือนที่ปราจีนทุกอย่าง

3. ที่โคกวัด

 อำเภอศรีมหาโพธิ

ก. วัดถูกทำลาย

ทันทีที่คุณพ่อส้มจีนถูกจับที่ปราจีนพร้อมกับคุณพ่อสงวน และถูกขังคุกเพื่อป้องกันการหลบหนี พวกปล้นทำลายวัดและบ้านพักพระสงฆ์ที่โคกวัด เผาพวกบัญชีต่างๆ ขโมยเงินและวัตถุมีค่า  (เครื่องประดับที่ เป็นทองคำ) ที่พวกคริสตังได้ฝากไว้กับคุณพ่อนานแล้วเพื่อเก็บไว้ในที่ปลอดภัย มีชายคนหนึ่งเป็นคนสำคัญที่นั่นมีชื่อว่านายบรรทมเป็นครูที่โรงเรียน (เป็นคนพุทธ)เป็นลูกจ้างของคุณพ่อส้มจีนที่ถือว่าเป็นคนที่คุณพ่อ ไว้ใจ เขารู้จักบ้านพักของคุณพ่อซึ่งคุณพ่อไว้ใจและมอบกุญแจให้ด้วย เขาขโมยทุกอย่างในบ้านคุณพ่อ

ข. พวกคริสตังถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนา

 เหตุการณ์เหมือนที่ปราจีนทุกอย่าง

ในระหว่างเวลานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา นายอำเภอปราจีนได้ปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับกำนัน ได้จัดให้มีการประชุม เป็นต้น

 ยังคงมีพวกหัวดื้อบางคนที่ยังไม่ยอมปฏิเสธความเชื่อของพวกเขา พวกเขาถูกบังคับอย่างไร?

ค. วัดถูกวางเพลิงวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1941

เหตุการณ์โดยสรุปของการวางเพลิงเล่าโดยคริสตัง 2 คน          ที่ส่งรายงานพวกของเขาไปถึงพระสังฆราชแปร์รอส รายงานทั้งสองฉบับนี้สอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้นรายงานฉบับที่ 2 ได้เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่าง ตามรายงานฉบับที่หนึ่งมีดังนี้

 เอกสารหมายเลข 32

พวกเลือดไทย ในโอกาสนี้ ครูใหญ่โรงเรียนสระมะเขือและครูใหญ่โรงเรียนหัวซาไปพบพวกคริสตัง พวกเข าขอเงินบริจาคเพื่อนำไปซื้อน้ำมันเบนซินมอบให้กับรัฐบาล ต่อมาครูใหญ่สูได้ไปซื้อน้ำมันที่สระมะเขือ

ตอนบ่ายของวันที่ 29 พฤษภาคม นายร้อยตำรวจลบกับพลตำรวจช่วย และครูใหญ่ทั้ง 2 คนคือ  ครูสูและครูเร่งพร้อมกับพวกเลือดไทยจำนวน 20 คน มาชุมนุมกันอยู่ห่างจากวัด ประมาณ 400 เมตร ในจำนวนคน เหล่านั้นมีครูบรรทมรวมอยู่ด้วย ต่อมานายร้อยตำรวจลบไปพบคนจีนคนหนึ่งชื่อฟุ้งเหลี่ยนซึ่งเขาเคยไปนอนพักผ่อนเป็นประจ ำเวลาเย็นที่หน้าวัดคาทอลิกนายร้อยตำรวจลบบอกกับคนจีนผู้นี้ว่า “ถ้าคืนนี้ลื้อได้ยินเสียงอึกทึกหรือเห็นแสงไฟใกล้วัด ก็อย่าไปดู ฉันจะเสี่ยงทำให้ไฟฟ้าช็อต อย่าพูดไป”

 เมื่อถึงเวลาค่ำ คริสตัง 2 คนชื่อนายจวนและนายต่วนผ่านทางหน้าวัดและได้ยินเสียงอึกทึกภายในวัด ทั้งสองคนหยุดฉายไฟดูและสังเกตเห็นถังน้ำมันเบนซิน นายร้อยตำรวจลบหยิบปืนเล็งไปทางพวกเขา แต่ครูสูตะโกนว่า “อย่ายิง ผมรู้จักทั้งสองคนดี ขอรับรองว่าพวกเขาไม่พูดอะไรเลย” ใน

เอกสารหมายเลข 33

 เขาสุรปความว่า ครูสูพาทั้งนายจวนและนายต่วนไปด้านหลังวัด และพูดกับทั้งสองคนว่า "ผมเสียใจมากที่ได้ทำเช่นนั้น ผมไม่อยากทำงานแบบนี้ แต่ผมถูกบังคับ     พวกเราได้รับคำสั่งทางการจากนายอำเภอ    ให้เผาวัดของพวกคุณ และพวกเราไม่รู้จะขัดคำสั่งอย่างไร พวกคุณอย่าพูดเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นพวกคุณจะติดร่างแหด้วย"

 ระหว่างนั้น พวกเลือดไทยเอาน้ำมันราดวัดแล้วจุดไฟ ชั่วพริบตาไฟลุกโชน    พวกคริสตังที่อยู่ใกล้วัด เห็นเปลวไฟ จึงตะโกนบอก “ไฟไหม้วัด, ไฟไหม้วัดของพวกเรา” พวกคริสตังรีบวิ่งมาดับไฟ แต่มีคนยิงปืน 7-8 นัด มาทางพวกเขา ทำให้พวกเขาขาหัก ไม่รู้จะทำอย่างไร ทุกอย่างถูกไฟไหม้หมด ทั้งวัด, บ้านพักพระสงฆ์ เป็นต้น

เมื่อไฟลุกลามไปทั่วแล้ว พวกตำรวจ, พวกครู และพวกเลือดไทยก็พากันกลับไปหมดแสงสว่างของไฟที่ลุกโ พลงทำให้พวกคริสตังจำพวกเขาได้ทุกคน พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านนั่นเอง!

ง. พวกหัวดื้อถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนา

 วันรุ่งขึ้น ตำรวจมาดูผลที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเหลือกลับคืนมาได้อีก..และพวกที่ละทิ้งศาสนาผู้น่าสงสาร ได้ร้องคร่ำครวญถึงวัดที่เป็นความหวังเพียงอย่างเดียวของพวกเขา ส่วนพวกคริสตังบางคน พวกหัวดื้อ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก พวกตำรวจบันทึกว่า “ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะพวกคริสตังที่ไม่ยอมเป็นพุทธได้จุดไฟเผาวัด! มิฉะนั้นพวกเขาจะต้อง มาดับไฟ!”

คนพวกนี้คือ นายชวง, นายปูน, ลูกสาว 2 คนของหัวหน้าหมู่บ้านจันทร์ศรี,  นายครุฑ, นายชวด และ นายอ่ำ

 มีคำสั่งราชการให้ฟ้องผู้วางเพลิง, ...

 (ฯลฯ..., เหมือนกับที่อื่นๆ)