หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 จังหวัดนครปฐม

ในจังหวัดนี้ในเวลานั้นมีวัด 3 แห่ง แห่งหนึ่งคือวัดนักบุญเปโตร  นครชัยศรี ในปี ค.ศ. 1941มีอายุ ได้ 100 ปี มีคริสตังเกือบ 2,000 คน มีโรงเรียน 2 หลัง แห่งที่ 2 คือ วัดหนองหินเพิ่งสร้างได้ไม่นาน    มี คริสตัง 300 คน โรงเรียน 1 หลัง ขึ้นไปทางนครชัยศรีเป็นวัดแห่งที่ 3 คือ วัดนักบุญอันเดร บางภาษี ตั้งอ ยู่บนฝั่งแม่น้ำนครชัยศรีไปทางเหนือ เพิ่งสร้างวัดหลังใหม่ในปี ค.ศ. 1930 ใช้เป็นทั้งวัดและโรงเรียน     มี คริสตังไม่มาก ไม่มีพระสงฆ์ประจำ

ที่นครชัยศรี พวกเลือดไทยไม่สามารถก่อเรื่องใหญ่โตได้ เพราะในหมู่พวกคริสตังมีนักเลงโตบางคน เป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณพ่อเจ้าอาวาส   นอกจากกิตติศัพท์ของพวกเขาในเรื่องเกี่ยวกับพวกหัวขโมย คนเหล่านี้เป็นพวกคริสตังเลวที่รวมตัวกันเพื่อป้องกันวัดของพวกเขา และเมื่อพวกเลือดไทยโผล่เข้ามาเพื่อ ทำลาย ปล้นสะดม พวกคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นซึ่งเฝ้าคอยระวังเหตุการณ์อยู่ก็ถือกระบองสั้น มีดอีโต้ เพื่อไม่ต้อ งถูกเรียกว่าใช้อาวุธปืน (ไม่มีคำสั่ง) พว กเลือดไทยคิดว่าไม่ควรเสี่ยงอันตรายและกลับไปยังที่ว่าการอำเภอ สามพรานโดยปราศจากรายชื่อผู้ชนะ

ที่หนองหิน ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1941พระสังฆราชแปร์รอสขอร้องให้พระสงฆ์ซาเลเซียนช่วย ดูแล เพราะวัดนี้อยู่ในเขตติดต่อกับมิสซังซาเลเซียน (ราชบุรี) ได้มีพระสงฆ์ซาเลเซียนองค์หนึ่งประจำอยู่ที่ นั่น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเคารพสัญชาติอิตาเลียนของพระสงฆ์ ปล่อยให้อยู่อย่างสงบ

ส่วนพวกคริสตัง ผู้ว่าราชการจังหวัดขอร้องนายอำเภอให้ใช้อิทธิพลทุกอย่างเพื่อทำให้พวกคริสตัง ละทิ้งศาสนาในเขตวัดเหล่านี้

ครูคนหนึ่งสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดบางภาษีชื่อ นายประเวท ภารนันต์เล่าเรื่องว่าพวกคริสตังถูกเรียก ไปประชุมเพื่อทำพิธีละทิ้งศาสนาอย่างไร รายงานของเขามีดังต่อไปนี้

เอกสารหมายเลข 25

 ซึ่งเขาเล่าโดยสรุป

นายอำเภอบางเลนมาพบผมที่บ้าน ที่บางภาษี เพื่อขอร้องผมให้ทิ้งศาสนา และทำให้พวกคริสตังละ ทิ้งศาสนาตาม โดยเฉพาะรองผู้ว่าราชจังหวัดกล่าวว่า   "ผมไม่มีปัญหาอะไรกับพวกคาทอลิก แต่ผมได้รับ คำสั่งอย่างเป็นทางการให้ทำให้พวกท่านละทิ้งศาสนาให้ได้"  พิธีกรรมอย่างหนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ที่จังหวัด นครปฐมในวันมาฆะบูชา"

2-3 วันก่อนวันที่กำหนด นายอำเภอกลับมาพบผมที่บางภาษี          และขอทราบผลผมตอบเขาว่า ล้มเหลวทั้งเพ ในที่สุด       นายอำเภอให้ผมสัญญาว่าผมจะแนะนำกับพวกคริสตังเวลา 9 โมงเช้า ตามวันที่ กำหนด ด้านหน้าโบสถ์หลังใหญ่      พวกเราไปที่นั่นและพวกเราได้เผชิญหน้ากับพวกคริสตังจากบางเลน คริสตังบางคนจากหนองหิน และโดยเฉพาะคริสตังกลุ่มใหญ่จากนครชัยศรี

ในทันทีทันใด พวกเจ้าหน้าที่ที่แสนน่ารักได้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ละคนได้แจกดอกไม้แก่พวกเราคนล ะหนึ่งช่อและเทียน พวกเขาบอกว่า "พวกเราจะพาพวกท่านเข้าไปภายในโบสถ์ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะ ปราศรัยกับพวกท่านด้วยตนเอง พวกเราจะบอกพวกท่านว่า ต่อไปพวกท่านจะต้องทำอะไร ให้นั่งลง ให้ลุก ขึ้น ให้คุกเข่า ฯลฯ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น"

เมื่อเข้าไปภายใน พวกเราเห็นอะไร! พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งอยู่ มีดอกไม้ประดับ   จุดเทียนสว่าง ไสว ด้าน หน้าพระพุทธรูป ท่านสมภารของนครปฐมนั่งอยู่ในที่นั่งของท่าน  ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุจำนวน หนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งอยู่กลางพระอุโบสถ

 เมื่อทุกคนได้เข้ามาแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มปราศรัยว่า  พวกท่านเป็นคนไทย พวกท่านต้อง ปฏิบัติตามศาสนาของคนไทยคือศาสนาพุทธ แล้วเขาด่าแช่งพวกคาทอลิก  ด่าศาสนาคาทอลิกด้วยคำพูด ที่แสนหยาบคาย สำ หรับเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เขียนรายงานไว้ ณ ที่นี้ หลังจากนั้นเขาเชิญพวกเราให้คุกเข่า คลานเข้าไปถึงหน้าพระพุทธรูปตามประเพณีไทย ให้กราบไหว้นมัสการถวายพุ่มดอกไม้และจุดเทียนเป็น การสักการะ

พวกคริสตังเหล่านี้ได้คุกเข่า เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเราคริสตังจากบางภาษีรู้สึกขนลุก!พวกเขาอยาก ทำให้พวกเราละทิ้งศาสนาจริงหรือ? พวกเราจะทำอย่างไรดี? ผมพูดกับพวกเขาว่า “ให้พวกท่านทำตาม ผม” และพวกเราลุก ขึ้นยืน ขณะที่คนอื่นคลานเข้าไปหาพระพุทธรูปและกราบต่อหน้า

เมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงผู้ว่าราชการจังหวัดและพวกเจ้าหน้าที่เชิญ ชวนพวกเราให้ทำตามพวกเขา พวกเราปฏิเสธเด็ดขาด  พวกเขาจึงด่าพวกเราเหมือนห่าฝนที่กระหน่ำใส่ พวกเรา พวกเราออกมาจากห้องประชุม ทุกคนชื่นชม

ทันทีที่ออกมาข้างนอก พวกตำรวจและฝูงชนตะโดนด่าและข่มขู่พวกเราเสียงเอ็ดอึงเมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเรา รีบมองหารถของพวกเราและออกรถไปเพื่อไปหลบภัยที่หนองหิน

 ข้าพเจ้าถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นครู ส่วนนายอำเภอบางเลนหน้าแตกไปตามระเบียบเพราะ ทำงานล้มเหลว

ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพเรือไม่มีหางเสือ