หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

พระสงฆ์ซาเลเซียนในภาคอีสาน ปี ค.ศ. 1942

การเบียดเบียนศาสนาเริ่มขึ้นอีกครั้ง

 พระสังฆราชปาซอตตีไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความคิดในการส่งพระสงฆ์ไปยังภาคอีสาน เพราะว่าท่านมี สิ่งที่ต้องทำมากมายทั้งในมิสซังของท่านและในมิสซังกรุงเทพฯ

 ท่านจำได้ว่าได้ส่งพระสงฆ์ชาวอิตาเลียนของท่านหลายองค์ไปช่วยเหลือคริสตัง    ในวัดบางแห่งของ   มิสซังกรุงเทพฯ  และสัญชาติอิตาเลียนของพวกพระสงฆ์เหล่านั้น ก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย พวกพระสงฆ์อิตาเลียนบางองค์ถูกทุบตีจนซี่โครงหักบางองค์ถูกทำร้ายจนฟกช้ำ  ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยา บาลเซนต์หลุยส์ ฝ่ายพวกคริสตังก็ถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนา และวัดของพวกเขาก็ถูกวางเพลิง

 อนึ่ง พระสังฆราชปาซอตตีทราบดีว่า การเบียดเบียนศาสนายังกระจายไปทางภาคอีสาน

สุดท้าย ประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942   การเบียดเบียนศาสนาพูดได้ว่าได้ยุติลงในภาคอีสาน  เพราะไม่เหลือคริสตังให้เบียดเบียน และไม่เหลือวัดให้ทำลาย พระสังฆราชปาซอตตีจึงส่งพระสงฆ์ซาเลเซียน 4 องค์ ไปดูแลคริสตังในมิสซังหนองแสง หลังจากที่ได้ประสพความยุ่งยากในการอนุญาตของรัฐบาลพระคุณ เจ้าต้องแสดงหนัง สือมอบอำนาจของผู้แทนพระสันตะปาปา    พร้อมทั้งขอให้เอกอัครราชทูตอิตาลีสนับสนุน (ประเทศไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ และอเมริกาอยู่ฝ่ายอักษะ จึงเป็นพันธมิตรกับอิตาลี)

1. พระสงฆ์ 2 องค์ ไปทำงานแพร่ธรรมในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศยกเลิก การเบียดเบียนศาสนา   คุณพ่อทั้งสองไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนต่างๆ ได้อย่างอิสระมีการเปิดวัดต่างๆ ใหม่อีก ครั้งหนึ่ง    เ ป็นความยินดีอย่างใหญ่หลวงของพวกคริสตังซึ่งกระตือรือร้นที่จะกลับมาเข้าวัด ฝ่ายพวกพระ ภิกษุก็กลับไปยังวัดของตน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1942

2. พระสงฆ์อีก 2 องค ์ไปที่จังหวัดนครพนมและสกลนคร และที่นั่น เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน แม้ว่าพวกพระสงฆ์อิตาเลียนจะไม่ถูกข่มเหงรังแก แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนี้กับพวกคริสตัง

พวกคริสตังเหล่านี้ดีใจที่ได้พบพวกมิชชันนารีอีกครั้งเพื่อรื้อฟื้นความเชื่อของพวกเขา     แต่แล้วการ เบียดเเบียนศาสนาก็เริ่มขึ้นใหม่ทันที เขาไม่สามารถกล่าวหาพวกคริสตังว่าเป็นแนวที่ 5 ได้อีก  เพราะชาว อิตาเลียนเป็นพันธมิตรกับไทย และฝรั่งเศสก็กลายมาเป็นมิตรด้วย

 อีกประการหนึ่ง  ในเวลานั้นหลวงพิบูลได้ออกคำสั่งให้ทุกครอบครัวทำสวนครัวปลูกผักบริเวณรอบๆ บ้าน และเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด หมู นี่คือข้ออ้างสำหรับการเบียดเบียนศาสนาครั้งใหม่ ดูเอกสารหมายเลข 23

 พวกคริสตังที่เปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งได้ต้อนรับพระสงฆ์อิตาเลียนหรือไปพบท่าน ถูกเรียก กลับมาประชุมใหม่โดยพวกครูและหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นกลุ่มเลือดไทยที่ห้องประชุมท้องถิ่น    เพื่อรับการ อบรมล้างสมอง เตรียมพวกเขาให้ละทิ้งศาสนาคริสต์ และกลับใจมานับถือศาสนาพุทธ พวกที่หัวดื้อถูกเรียก ประชุมใหม่ในครั้งต่อไ ปโดยนายอำเภอที่บังคับให้พวกเขาเสียค่าปรับ    คนที่ยอมทิ้งศาสนาอีกครั้งหรือไม่ เคยไปพบพระสงฆ์ ก็ไม่ต้องเสียค่าปรับ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำสวนครัวเลย พวกคริสตังใหม่ถูกลงโทษทุก วันแม้ว่าสวนของพวกเขาจะเรียบร้อยหลังจากนั้นไม่นานพวกคริสตังเหล่านี้ได้ถูกขู่ทรมานอย่างตรงๆ เพราะ ว่าเขาบอกพวกคริสตังว่า "มีคำสั่งของรัฐบาลคือคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเอง  ให้เกลี้ยกล่อมทุกคนที่หลงผิด เหล่านี้กลับมานับถือศาสนาพุทธด้วยวิธีการทุกอย่าง"

 พวกคริสตังที่ถูกขู่เหล่านี้เขียนจดหมายถึงพวกพระสงฆ์ซาเลเซียน ระบายความทุกข์ของพวกเขาให้ ฟัง พวกพระสงฆ์ซาเลเซียนเผาจดหมายหลังจากคัดสำเนาไว้ในสมุดพร้อมทั้งลบชื่อของพวกคริสตังออกเพื่อ ไม่ให้ถูกจับได้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ และใช้เป็นข้ออ้างในการเบียดเบียนใหม่อีก

 ข้าพเจ้าได้แนบจดหมายเหล่านี้บางฉบับและสำเนาของการเรียกประชุมในแฟ้มเรื่องราวเหล่านี้ นี่คือ

 เอกสารหมายเลข 21

 ข้าพเจ้าได้แปลเอกสารบางหน้าเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบพยาน

 ขอได้โปรดสังเกตว่าภายหลังจดหมายเหล่านี้ บรรดาพระสงฆ์ซาเลเซียน   พวกเขาจะไม่ได้รับความ รำคาญ แต่พวกคริสตังที่ได้ละทิ้งศาสนาไปแล้วและกลับมาพบกับพวกพระสงฆ์ใหม่ พวกเขาจะได้รับผลกระ ทบในการเบียดเบียนครั้งใหม่ แรกๆ ใช้คำพูดที่ไพเราะ ปลอบใจ ต่อมาก็จ่ายค่าปรับ ในที่สุดก็ข่มขู่แรงขึ้นๆ เรื่อยๆ โดยให้เลือกว่าจะละทิ้งศาสนาหรือจะหัวดื้อจนกระทั่งตาย หรือถูกขังคุก

สำเนาหมายเลข 12

หมายเรียก

คดีที่                                                                             ที่ว่าการอำเภอพรรนานิคม

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2485 (1942)

หมายมายัง... บ้านช้างมิ่ง

ด้วยคดีในระวาง เจ้าพนักงานโจทย์... จำเลยหากันด้วยเรื่อง ไม่เข้ามาประชุมทำการอบรมในเวลาศึก

บัดนี้ ต้องการสอบสวนให้... ไปแก้คดียังที่ว่าการอำเภอ ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2485    ตรงกัน ณ วัน  เวลา 9.00 น.

(ลงนาม) เฉิด นวลมณี

นายอำเภอ

ตราประจำอำเภอ

(พวกคริสตังทุกคนที่ได้มาพบพระสงฆ์ซาเลเซียนถูกเรียกมาประชุม)

สำเนาหมายเลข 13

วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1942

 “ต่อไปถ้ายังติดต่อกับบาทหลวง เธอจะไม่มีความสุขนะ ฉะนั้น ขอให้เลิกอย่าเสีย หรือยังคิดถึงมันบ่ (เสียงหยาบคาย) อีสันดานหมา ถ้ามึงมิหยางนี้ มึงสิตายในเร็วๆ นี้ ไม่นานดอก”

สำเนาหมายเลข 14

ที่บ้านหนองเดิ่น

วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

 "พวกเราได้ถูกลงโทษเสียค่าปรับเป็นครั้งที่ 2 วันนี้วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1942    พวกเราถูกเรียก ประชุมเป็นครั้งที่ 3 (พวกเราเป็นรายที่ 33 จากทั้งหมด)

 อธิบดีกรมตำรวจตอบพวกเราว่า

 ครั้งนี้ไม่เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งสำคัญ เป็นการให้โอกาสสำหรับพวกท่านกลับใจอีก และมี 2 ข้อที่ทำเพื่อก ารกลับใจของพวกท่าน

1. ไปสวดมนต์ไหว้พระพุทธ

2. นิมนต์พระภิกษุไปฉันข้าวที่บ้านของพวกท่าน

 ถ้าพวกท่านไม่ปฏิบัติตาม 2 ข้อนี้ และกลับไปนับถือศาสนาคาทอลิกอีก     จะต้องจ่ายค่าปรับ และจะ ต้องถูกจำคุก

สำเนาหมายเลข 15

ดอนม่วย (ใกล้บ้านหนองเดิ่น)

วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

ที่บ้านองเฮือง มีงานฉลองครอบครัว เวลาประมาณ 20 น. (2 ทุ่ม)   ครูใหญ่โรงเรียนบ้านช้างมิ่ง และ พวก หนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่ได้เผาวัดต่างๆ ที่หนองเดิ่น ได้มาด่าช่งพวกเราว่า ศาสนาคาทอลิกเป็นศาสนาของ หมา และเอาพุงหมามาครอบหัว พระเยซูได้แม่เป็นภรรยา เป็นต้น

สำเนาหมายเลข 17

ดอนม่วย

วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

พวกคริสตังบ้านหนองเดิ่นได้ตกลงกลับไปกราบไหว้พระพุทธรูปและใส่บาตร ที่บ้านดอนม่วยนั้น เจ้า หน้าที่ของรัฐบาลได้บอกกับพวกเราว่า

 "ถ้าพวกท่านตกลงใจที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปที่โบสถ์แล้ว ถึงแม้ว่าพวกท่านไม่ได้ทำสวนครัว พวก ท่านก็ไม่ต้องจ่ายค่าปรับแม้แต่สตางค์เดียว แต่ถ้าพวกท่านปฏิเสธ     สวนครัวของพวกท่านจะอยู่ในสภาพดี  แค่ไหน การเสียค่าปรับจะต้องตกอยู่กับพวกท่านจนกระทั่งพวกท่านไปอยู่ในคุก ข้อความนี้เป็นคำสั่งซึ่งพวก เราได้รับจากหัวหน้าของพวกเรา และหัวหน้าคนนี้ก็คือนายกรัฐมนตรีนั่นเองที่มีคำสั่งให้นำคนไทยทุกคนมา นับถือศาสนาพุทธ ทุกอย่างในเอกสารอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แก่บาทหลวงอิตาเลียน...

 เมื่อครั้งประเทศฝรั่งเศสได้ชัยชนะจากเยอรมันที่มีความใจดีต่อพวกคาทอลิกซึ่งได้แทรกซึมเข้าไปใน ประเทศเยอรมัน แต่บัดนี้เยอรมันได้ทำให้พวกคาทอลิกเหล่านี้ทุกคนหายสาบสูญไปและดังนั้น  เยอรมันจึง สามารถปราบฝรั่งเศสได้ภายในเวลาอย่างน้อย 7 วัน

ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน บุคคลใดที่พยายามหน่วงเหนี่ยวศาสนาคาทอลิกไว้    บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ คนไทย"

สำเนาหมายเลข 18

หนองเดิ่น วันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

วันที่ 13 กรกฎาคม 2485 เวลา 9 นาฬิกา ตอนเย็น ตำรวจมาที่บ้านหนองเดิ่น พูดเสียดสีคนต่างด้าว ว่า "พวกเราเป็นคนไทย ต้องนับถือศาสนาไทย บุคคลใดที่สมัครใจเจริญรอยตามพวกอิตาเลียนมากกว่าเจริญ รอยตามชาติไทยนั้น บุคคลนั้นจะไม่ถูกถือว่าเป็นคนไทยเลย

สำเนาหมายเลข 23

วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1942

 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1942 มีการเรียกประชุมอบรม มีคน 2-3 ีคน ที่ได้ออกไปจากห้องประชุม ในเวลาที่เริ่มทำพิธีสวดมนต์กราบไหว้นมัสการพระพุทธรูป ตอนปลายของพิธีนี้พวกเขาได้กลับขึ้นไปรวมกับ กลุ่มของเขาเพื่อฟังการอบรมใหม่

ผู้อบรมได้รับคำสั่งในการทำพิธีจากนายอำเภอ ได้บอกว่า

 ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เขาได้พูดว่า

 "ในหมู่บ้านนี้ยังมีคน 2-3 คน ที่ชักชวนคนอื่นๆ ไม่ให้มานับถือศาสนาพุทธ ข้าพเจ้ากำลังสืบสวนอยู่   และถ้าข้าพเจ้า มีพยาน คน 2-3 คนนี้จะต้องถูกจับ ถูกจำคุก และถูกตัดสินลงโทษในข้อหาเป็นแนวที่ 5 อย่าง แน่นอน

สำเนาหมายเลข 24

วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1942

 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ครูนิยมได้รับคำสั่งจากนายอำเภอในการประชุมอบรมประกาศว่า

 ห้ามนับถือศาสนาของคนต่างด้าว มีพระราชบัญญัติ 2 เล่ม สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ

 ถ้าคนไทยทำผิดกฎหมาย ต้องเจาะฝ่ามือเขาและฝ่าเท้า   แล้วเอาเชือกหรือหวายร้อยทรมานไว้เป็น ตัวอย่าง จนกว่าเขาจะยอม

 และถ้าเป็นผู้หญิง ต้องถอดเสื้อหรือผ้าออกให้หมด  แล้วให้มดหรือแมลงเข้ากัดต่อยและถ้ายังไม่ยอม ต้องเอาลวดสังกะสีไขทำเกลียว และแหย่รูทวาร หรืออวัยวะเพศ และดึงไปมาจนกว่าจะยอมเป็นพุทธ

 และวิธีการสุดท้ายมีการเตรียมเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ใช้หนีบขมับทั้งเช้าจนกว่าจะตายไปมิฉะนั้น มิควรนับถือมันสำหรับคนต่างด้าว

 (มีอะไรที่ทำให้หมดความอดทน)

สำเนาหมายเลข 26

วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1942

ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2485 (1942)       "พวกชาวบ้านทุกคน ทั้งที่เป็นพุทธ และ คาทอลิก ของบ้านหนองเดิ่น และดอนม่วย ไปที่ที่ว่าการอำเภอ   เพื่อแสดงตัวในการถือศาสนาของแต่ละคน และลงชื่อแต่ละคนไว้เป็นการรับรอง

 ครูนิยมได้ทำการตักเตือนพวกเราว่า "ทำไมจึงนับถือศาสนาคาทอลิก?    ศาสนานี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ ถือ! แ ละในเร็วๆ นี้ศาสนานี้จะกลายเป็นศาสนาที่ถูกกล่าวโทษ เพราะทุกคนที่นับถือศาสนาโรมันคาทอลิกเท่า กับต่อต้านรัฐบาล  พวกท่านก็ทราบแล้วว่ารัฐบาลมีจุดมุ่งหมายจะทำให้พวกที่ถือศาสนาคาทอลิกทุกคนเป็น ผุยผง พวกเขาได้ถูกเรียกไปประชุมหลายครั้งแล้วเพื่อให้จ่ายค่าปรับ แต่ครั้งนี้สำคัญมาก จะเป็นครั้งที่รุนแรง มากราวกับระเบิดตอร์ปิโด ให้พวกท่านเลือกเอา"

 พวกจดหมายลักษณะเช่นนี้ พระสงฆ์ 2 องค์ที่ขึ้นไปทางเหนือของมิสซังหนองแสงได้รวบรวมไว้เป็น จำนวนมาก ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1943    รัฐบาลสั่งให้พวกพระสงฆ์ซาเลเซียนสัญชาติอิตาเลียนเหล่านี้เดินทาง ออกจากภาคอีสาน ซึ่งก็คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยอีกประการหนึ่ง พวกพระสงฆ์เหล่านี้ ไม่มีอะไรทำที่นั่นในเวลานั้น ไม่มีพวกคริสตังอีกเลย ยกเว้นแต่ผู้ที่มีหัวใจเป็นคริสตัง