หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

การเบียดเบียนศาสนาจากหลักฐานเอกสาร

การสู้รบระหว่างไทยและฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 หลังจากนี้ไม่นาน นัก พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนรายงานเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนา ถึงพระสังฆราชดราปิเอร์ ผู้แทน พระสันตะปาปาในอินโดจีน ลงวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1940      เพื่อรายงานถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของการ เบียดเบียนศาสนาในเวลานั้นให้ทราบ (รายละเอียดดูได้จาก A.M.E., Bangkok, DI 140-20)

อันที่จริง นับตั้งแต่มีการสู้รบกัน   กรมตำรวจได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการกับคนเชื้อชาติ ฝรั่งเศสที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆ  โดยแบ่งคำสั่งออกเป็น 4 ข้อด้วยกัน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 คือนับตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศสงครามกัน (สารสาสน์ ฉบับที่ 1 ปีที่ 25, มกราคม ค.ศ. 1941, หน้า 48-49) คณะเลือดไทยมีจุดมุ่งหมายต่อต้านศาสนาคริสต์โดยตรง    อันแสดงถึงการเบียดเบียนศาสนาจาก ส่วนของประชาชนชาวไทย เอกสารของคณะเลือดไทยมีดังนี้

“ที่เกิดของคณะเลือดไทยเราคือ จังหวัดพระนคร  แล้วได้กระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง เช่น “คณะเลือดไทยเชียงใหม่” เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายคงได้พบข่าวจากหนังสือพิมพ์บางฉะบับลง ข่าวว่า “คณะเลือดไทยเชียงใหม่”   ได้พร้อมใจกันไม่ยอมทำการติดต่อกับพวกบาดหลวงและ นางชี ตลอดจนพวกที่นิยมลัทธิสาสนาโรมันคาธอลิก มีอาท ิเช่น ไม่ยอมขายอาหารให้แก่คนจำ พวกนี้ โดยที่ถือว่าบุคคลจำพวกนี้เป็นสัตรูของชาติไทย และพร้อมพร้อมกันนี้ กรรมกรรถทุก ชะนิดไม่ยอมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้ว โดยสารรถยนต์ของตน ถึงแม้ว่าพวกเขา จะได้รับค่าจ้างอย่างแพงแสนแพง เขาก็หาได้พึงปรารถนาไม่ และ “คณะเลือดไทย” ในจังหวัด พระนครซึ่งเป็นที่มาแห่งคณะเลือดไทย   ก็ไม่ยอมทำการซื้อสิ่งของที่เป็นของชนชาติสัตรูกับ เรา และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรูเป็นอันขาด

นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเราชาวไทย “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” รู้สึกปลาบปลื้มยิ่ง นักในความสำเร็จอันใหญ่หลวงของคณะเลือดไทยที่ได้ปฏิบัติมาทุกๆ คราว  สุดที่จะหาคำใด มากล่าวให้ดียิ่งกว่านี้ได้

 ฉะนั้น “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า     นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราเลือดไทย จะไม่ยอมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้วข้างต้น โดยสารรถยนต์ หรือยอ มรับใช้ ตลอดจนการสนับสนุนด้วยประการใดๆ ดังกล่าวมาแล้ว  เพราะเลือดไทยถือว่าบุคคล เหล่านี้เป็นสัตรูของชาติไทยเรา     และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรู พวกเราถือว่า เขาลืมชาติ ลืม ศาสนาอันแท้จริงของเขาเสียสิ้น มัวเมาไปหลงนิยมลัทธิอันเป็นสัตรูของเรา พวกเราจงนึกดูซิ ว่าที่รัฐบาลจับพวกแนวที่ 5 ได้นั้น เขาเหล่านี้ก็คือพวกที่นับถือสาสนาโรมันคาธอลิกซึ่งได้รับ คำสั่งสอน ของสัตรู คอยหาโอกาสที่จะเอาพวกเราเป็นทาสของเขา   ตลอดจนทำลายชาติของ เราให้ย่อยยับไป พวกเราต้องระวังแนวที่ 5 นี้จงมาก และช่วยกันกำจัดลัทธิอันนี้ให้สิ้นเชิง

พวกพี่น้องทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าพวกเราชาวไทยได้รับความขมขื่นมาแล้วเป็นจำนวนตั้ง70 ปี บัดนี้เป็นศุภนิมิตต์อันดีงามของพวกเราแล้ว “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” จึงขอร้องให้พวกเรา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยกันขับไล่ ชนชาติที่เป็นสัตรูของเรา ให้เขานำลัทธิอันแสนอุบาทว์นี้ ออกไปเสียจากแหลมทอง แล้วญาติพี่น้องของเราที่หลงงมงายอยู่     จะได้กลับมายัง แนวทาง เดิมที่บรรพบุรุษของเราที่ได้อุตส่าห์สร้างสมไว้เพื่อลูกหลานเหลนชั้นหลัง”

 หลังจากนั้น อีก 2-3 เดือนต่อมา  พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนจดหมายถึงนายโรเชร์ การ์โร กงสุล ฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1941   รายงานเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาโดย  คณะเลือดไทยห ลายเรื่องต่อมา พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนจดหมายถึงศูนย์กลางคณะที่กรุงปารีสรายงาน เกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาที่มียิ่งทียิ่งรุนแรงขึ้นว่าดังนี้

“การเบียดเบียนต่อศาสนาคาทอลิกได้เริ่มขึ้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 1940 เวลา 10.00 น.ตอน เย็น บรรดามิชชันนารีฝรั่งเศสที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ   ของไทยที่เกิดกรณีพิพาทอินโด จีน แต่ละองค์ต่างก็ได้รับการเยี่ยมเ ยือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย ซึ่งบังคับให้พวกเขา ติดตามไปที่สถานีตำรวจ ที่นั่น เขาได้ป้อนคำถามต่อบรรดามิชชันนารี   ต่อจากนั้นได้ให้พวก เขาลงชื่อด้วยการสัญญาว่าจะเดินทางออกจากพื้นที่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง  วันรุ่งขึ้น มิชชัน นารี แต่ละองค์ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมกับมีคำสั่งห้ามเดินทางออกไป     ข้าพเจ้าได้ ส่งบรรดาพระสงฆ์พื้นเมืองจากวัดอื่นไปทำหน้าที่แทนพวกเขา พระสงฆ์ 2 องค์ในจำนวนเหล่า นี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไทย ได้ถูกจับ กุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกใส่ความกล่าวหาว่า "เป็นแนวที่ 5"; ถูกจองจำในคุกเป็นเวลา 3 เดือนในตอนแรก พวกเขาถูกตัดสินในเดือนมีนาคมให้จำคุกคน ละ 2 ปี       พระสงฆ์ไทยองค์ที่ 3ถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม           ยังคงรอคอย การพิพากษาและคำตัดสินโดยไม่มีความผิด

วันที่ 14 กุมภาพันธ์   รัฐบาลไทยได้เรียกประชุมอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้พวกคริสตังละทิ้ง ศาสนา พวก ลูกจ้างของรัฐบาลที่กรุงเทพฯ          ได้รับคำสั่งให้ไปที่วัดมหาธาตุซึ่งเป็นวัดพุทธ รัฐมนตรีหลายนายที่เป็นสมาชิกของคณะรัฐบาลได้ดำเนินการประชุม ด้วยการบอกกับบรรดา ผู้เข้าประชุมว่า    พวกเขาต้องเซ็นชื่อลงในเอกสารที่เตรียมมาเพื่อการนี้เพื่อยืนยันว่าพวกเขา เป็นคนพุทธ ซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศไทย        คาทอลิกบางคนได้เซ็นชื่อ เช่นเดียวกับพวก โปรเตสตันท์จำนวนมาก, พวกที่นับถือลัทธิขงจื๊อ, พวกอิสลาม เป็นต้น แต่ส่วนมากได้ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถูกใ ช้อำนาจในการเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง รัฐบาลไทยในขณะนี้ถือว่าไม่ได้บังคับใครให้ เปลี่ยนศาสนา แต่แสดงความปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าประชาชนทุกคนควรนับถือศาสนา เดียวกัน แม้ว่าการประกาศเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลอกลวงสาธารณชนต่างชาติ ข้อเท็จจริง ก็คือว่าบรรดาลูกจ้างฝ่ายปกครองที่ไม่ประกาศตัวเป็นพุทธได้ถูกไล่ออกจากงาน บรรดาพ่อค้า ที่เป็นคริสตังถูกรวมหัวไม่ทำการค้าด้วย และห้ามซื้อสินค้าของพวกพ่อค้าคริสตัง พวกเกษตร กรและลูก จ้างแรงงานอื่นๆ  ที่หาเช้ากินค่ำถูกเรียกตัวไปโดยนายอำเภอเพื่อทำการประชุมให้ ละทิ้งศาสนา ตราบใดที่พวกเขาปฏิเสธพวกเขาก็ถูกบังคับให้อยู่ที่นั่น ไม่สามารถไปทำงานได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรเลี้ยงตัวเองและครอบครัวของพวกเขา

ภายหลังการประชุมให้ละทิ้งศาสนาที่จัดขึ้นทั่วทุกแห่งในวันเดียวกันการเบียดเบียนทำได้อย่างอิสระ: พวก ผู้ก่อเหตุร้ายได้รวมตัวกันเป็น "คณะเลือดไทย"     และอวดตัวว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลสนับสนุน ในหมู่บ้าน คริสตังหลายแห่ง วัดคาทอลิกถูกโจมตีในระหว่างเวลากลางคืน         ทุบทำลายไม้กางเขน, รูปปั้นต่างๆ, ศาสนภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์, ฉีกทำลายและทำทุรจารภาพวาดนักบุญต่างๆ และศาสนภัณฑ์ต่างๆ    ขณะรอคอย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ไปแจ้งความและขอความช่วยเหลือ ก่อนที่เขาจะมา พวกผู้ก่อเหตุร้ายก็หนีไปแล้ว ดัง นั้น เขาจึงประกาศว่า เขาไม่เห็นอะไรเลยแล ะไม่สามารถกล่าวโทษใครได้     ภายหลังที่มีการปล้นเกิดขึ้น ในเวลากลางคืน พวกผู้ก่อเหตุร้ายที่เหิมเกริมเพราะไม่ถูกลงโทษ ได้เข้าปล้นวัดต่างๆ กลางวันแสกๆ พร้อม ทั้งทำลายวัดนั้นๆ ซึ่งมีพวกคริสตังจำนวนไม่มากพอที่จะขัดขวาง ตำรวจที่ถูกเรียกตัวมาได้ตอบแบบเดิมๆ ว่า เขาได้รับคำสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยว ข้าพเจ้าได้นำคำร้องทุกข์ไปยื่นต่อรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่มี ผลอะไร อธิบดีกรมตำรวจซึ่งข้าพเจ้ารู้จักและไปพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ตอบข้าพเจ้าอ ย่างชัดเจนว่าข้าพเจ้า ไม่ต้องมาด้วยตนเอง เพราะเขาทราบเรื่องดีแล้วจากจดหมาย อีกอย่างหนึ่ง จดหมายต่างๆ ของข้าพเจ้าได้ ตกค้างอยู่ และยังคงตกค้างอยู่โดยไม่ได้รับคำตอบ ในระหว่างเวลานั้น   วิทยุกระจายเสียงภาษาไทยได้พูด สบประมาทพวกคริสตัง เยาะเย้ย และได้พูดเน้นในเวลาดียวกันว่าในประเทศไทย พวกคริสตังมีอิสระอย่าง เต็มที่ และมีความสุขมากกว่าพวกที่อยู่ในประเทศใดในโลก

มิชชันนารีฝรั่งเศส 13 องค์ ถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน    และถูกบังคับให้เดินทางมา กรุงเทพฯ โดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย พวกเราตัดสินใจว่ามันจะดีกว่ามากถ้าพวกเขาจะเดินทางออกนอก ประเทศชั่วคราวเพื่อไปอยู่ที่อื่นที่เป็นประโยชน์กว่า พวกเขาได้ออกเดินทางไปอยู่ในโคชินจีนและกัมพูชาที่ ซึ่งพวกเขาได้ทำงานอภิบาลของพวกเขาในหมู่คนญวนและคนจีนตามภาษาที่พวกเขาเข้าใจ     นอกจากนี้ ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล 13 รูป ไ ด้รับคำสั่งห้ามทำการสอนเพราะพวกเขาเป็นชาวฝรั่งเศส ขณะเดียว กันต้องเดินทางออกนอกประเทศ พวกเขาได้เดินทางไปอยู่ที่สิงคโปร์และอินเดียที่ซึ่งวิทยาลัยต่างๆ ที่พวก เขาเป็นเจ้าของตั้งอยู่  บรรดาภราดาที่เป็นชาวสเปนและชาวไทยก็ยังคงดำเนินการต่อไปในวิทยาลัยต่างๆ ที่นี่ โดยมีพวกฆราวาสคอยช่วยเหลือ  บรรดาภคินีคณะเซนต์ปอลเดอชาร์ตร และนักบวชหญิงคณะอุร์สุลิน สัญชาติฝรั่งเศส ต้องเดินทางออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน      เพราะถูกห้า มทำการสอน ได้มีบันทึกไว้ว่า บรรดาภราดา     และนักบวชหญิงที่ทำหน้าที่เป็นครูเหล่านี้ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาของ ประเทศ   ได้ผ่านการสอบอย่างเป็นทางการและได้รับใบประกาศนียบัตรที่จำเป็นสำหรับทำการสอนตามที่ กระทรวงกำหนดมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว

ในขณะนั้น รัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ได้ประกาศอย่างเปิดเผยใน ข้อ ที่ 13 ว่า  "คนทุกคนมีเสรีภาพในการถือศาสนาที่ตนเลือกและปฏิบัติตามความเชื่อถือของตนที่ไม่ขัดต่อ ประเพณีอันดีงามและความสงบสุขของพลเมือง" อีกประการหนึ่ง บรรดาคริสตังของประเทศสยาม (ปัจจุบัน คือประเทศไทย) ได้แสดงตนเป็นพลเมืองที่ดี เป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่างของประเทศอย่างเคร่งครัด เสียภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่างๆอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับประชาชนคนอื่นๆเขาต้องการแสดงให้เห็น ว่าศาสนาคาทอลิกกับประเทศฝรั่งเ ศสเป็นสิ่งเดียวกัน     โดยถือว่าพวกคาทอลิกรักประเทศฝรั่งเศสราวกับ เป็นประเทศของตนซึ่งทุกคนที่นี่รู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงโดยสิ้นเชิง ศาสนาคาทอลิกเป็นศาสนาสากล ไม่ใช่ ศาสนาของประเทศใดประเทศหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขแจ้งว่า พระคุณเจ้า พระคาร์ดินัล มีน้ำใจอันดีในการที่จะส่งข่าวผ่านทางนายมอง ติน ญีเมื่อวันที่ 20 เมษายน เพื่อแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า    พระสังฆราชปาซอตตีจะช่วยดูแลมิสซังของเราทั้ง หมดเป็นอย่างดี พวกเราได้รับแจ้งการแต่งตั้งพระสังฆราชปาซอตตีเป็นประมุขมิสซังราชบุรีแล้ว  ข่าวนี้นำ ความชื่นชมยินดีมาสู่ทุกคน และเราทั้งหมดก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์ที่นี่ขมขื่น แต่ไม่ลำบากมา กจนเกินไป ข้าพเจ้าได้ติดต่อกับรัฐบาลไทยเช่นเดียวกับที่เคยทำเสมอมา     แม้ว่ารัฐบาลไทยได้แสดงท่าที อ่อนข้อลงน้อยกว่าสมัยก่อน