หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

การเบียดเบียนศาสนาในประเทศไทย

1. เบื้องหลังการเบียดเบียนศาสนาในประเทศไทย

 14. ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1932 โดยเปลี่ยนจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย พันเอก หลวงพิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1938

  รัฐบาลชุดนี้มีความรู้สึกชาตินิยมสูง ในขณะนั้น ญี่ปุ่นซึ่งยึดแมนจูเรียได้ กำลังดำเนินนโยบายขยายอิทธิพลในทวีปเอเชียโดยใช้คำขวัญว่า "เอเชียสำหรับชาวเอเชีย" เพื่อต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของชาวตะวันตกในทวีปเอเชีย นโยบายนี้นับได้ว่าสอดคล้องกับลัทธิชาตินิยมซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นในประเทศไทย  (ดร. เพ็ญศรี ดุ๊ก, การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย..., กรุงเทพฯ : เจ้าพระยาการพิมพ์, 1984, หน้า 129)

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1939 รัฐบาลไทยประกาศตัวเป็นกลาง   และหวั่นเกรงว่าปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างไทยและอังกฤษ (ซึ่งปกครองพม่าอยู่ในเวลานั้น) และระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (ซึ่งปกครองอินโดจีนอยู่ในขณะนั้น) อาจจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงขอปรับปรุงเส้น เขตแดนกับประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส การดำเนินการนี้เป็นผลสำเร็จกับประเทศอังกฤษ แต่ล้ม เหลวกับประเทศฝรั่งเศส

ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดการสู้รบระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 ตามชายแดนอินโดจีน และตามน่านน้ำบริเวณเกาะช้าง ซึ่งเราเรียกกันโดยรวมว่า "สงครามอินโดจีน" ในที่สุด ประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทนี้ โดยมีการลงนาม "อนุสัญญาโตเกียว"เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941  ประเทศไทยได้รับดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส คือดินแดนทั้งหมดที่ประเทศไทยเคยสูญเสียใ ห้แก่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1904 และปี ค.ศ. 1907 สาเหตุประการหนึ่งที่ ประเทศฝรั่งเศสจำต้องยกดินแดนคืนให้ประเทศไทยก็ คือ ประเทศฝรั่งเศสปราชัยต่อประเทศเยอรมัน และลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกกับประเทศเยอรมันในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 (ดร. เพ็ญศรี ดุ๊ก, การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย..., กรุงเทพฯ : เจ้าพระยาการพิมพ์, 1984, หน้า 129)

15. ปัจจัยที่สำคัญบางข้อที่ทำให้คนไทยมีท่าทีเป็นศัตรูต่อชาวฝรั่งเศสก็คือ:

1. การสูญเสียดินแดนถึง 481,600 ตารางกิโลเมตร แก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1893, 1904   และ 1907 ก่อให้เกิดการต่อสู้และความเกลียดชังชาวฝรั่งเศสมาแล้ว

2. ศาสนาคริสต์ถูกถือว่าเป็นศาสนาของชาวฝรั่งเศสดังนั้นผู้ที่ถือศาสนาคริสต์จึงถูกมองว่าเป็นศัตรู

3. ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม กระแสแห่งชาตินิยมทวีมากขึ้น มีการเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1940 บรรดานิสิตนักศึกษาและนักเรียนเตรียมอุดมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

4. กรณีพิพาทอินโดจีน ทำให้ประชาชนชาวไทยถือว่าชาวฝรั่งเศสเป็นศัตรู รวมทั้งศาสนาคริสต์ในประเทศไทยด้วย

ในรายงานของพระสังฆราชกูแอง ประมุขมิสซังลาว (ระหว่างปี ค.ศ. 1925-1945) ลงวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1941 จากหอจดหมายเหตุของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส สรุปสถานการณ์นี้ไว้อย่างละเอียดว่า

"อันดับต่อไป หลังจากการเดินทางออกจากประเทศไทยของพวกเรา การเบียดเบียนศาสนาก็เริ่มขึ้น คำสั่งที่บอกว่า 'ประชาชนชาวไทยมีเพียงศาสนาเดียวคือศาสนาพุทธ' กรมการรักษาดินแดน ซึ่งประกอบไปด้วยเยาวช นส่วนใหญ่ซึ่งมาจากโรงเรียนธรรมดา และเยาวชนที่มาจากแรงงาน กลุ่มเยาวชนแห่งชาติ ได้รวมตัวกันเป็นผู้จัดการเรื่องราวต่างๆ และเป็นเพชฌฆาต เขาก็ปล่อยให้พวกเยาวชนเหล่านี้ดำเนินการไป อันดับต่อไป พวกเขาก็จะจัดการกับพวกพระสงฆ์ วัด และวัดน้อยต่างๆ" (ดู Congregatio pro Causis Sanctoum, p.n. 802, Tharen Canonizationis servorum dei Agnetis Phila et Luciae Khambang ex instituto amantium crucis cum Quattuor sociabus et servi dei Philippi Siphong Onphithak catechistae in Odium Fidei, uti fertur, interfectorum, Pesitio Super Martyrio, Rome 1987, p. 11.)

2. การเบียดเบียนศาสนาในประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ. 1940-1944

16. การเบียดเบียนศาสนาเกิดขึ้นจากความรู้สึกเป็นศัตรูต่อฝรั่งเศส และศาสนาที่ถูกถือว่าเป็นศาส นาของฝรั่งเศส ประกอบกับลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ลัทธิชาตินิยมนี้ถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสน าประจำชาติไทย คนไทยคือคนพุทธ แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังเป็นพุทธมามกะด้วย

ความรู้สึกชาตินิยมของคนไทยเวลานั้นรุนแรงมาก และไม่แยกแยะระหว่างฝรั่งเศสและศาสนาคริสต์ ดัง นั้น ประเทศไทยย่อมหมายถึงผู้ที่ถือศาสนาพุทธเท่านั้น ในช่วงเวลาแห่งการสู้รบกับฝรั่งเศส ยิ่งเป็นช่ว งเวลาแห่งความเป็นคนไทยและคนพุทธมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่คนไทยเข้าใจได้ แม้จะไม่เกิ ดผลต่อผู้ที่ถือศาสนาคริสต์ทุกคนไปก็ตาม

ก) คณะเลือดไทย

17. คณะเลือดไทยคือกลุ่มคนไทยที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้รักชาติ ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายต่างๆ ข องรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความเป็นชาตินิยม ดังนั้น สมาชิกของคณะทุกคนจึงถูกปลูกฝังให้มีจิตสำนึกว่า "ศา สนาโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาต่างชาติ เป็นศาสนาของศัตรู ผู้ที่นับถือศาสนานี้ ก็เป็นศัตรูของชาติไทย" ฉ ะนั้น เลือดไทยทุกคนต้องช่วยกันหาทางกำจัดศัตรูของชาติเหล่านี้ให้หมดไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม

คณะเลือดไทยเริ่มก่อตั้งขึ้นที่นครหลวง และได้แพร่กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น คณะเลือดไทยเชียงใหม่, คณะเลือดไทยสาขาพนัสฯ และคณะเลือดไทยพระประแดง เป็นต้น คณะเลือดไท ยเหล่านี้ได้ออกใบปลิว บทความ และบัตรสนเท่ห์ เพื่อเชิญชวนให้คนไทยหันมารักชาติและต่อต้านศาสนา คาทอลิก

คณะเลือดไทยมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนไทยในเวลานั้น และเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มาก มายท ี่แสดงว่าเป็นการเบียดเบียนศาสนาคริสต์ ทั้งนี้มาจากความสำนึกของคนไทยโดยทั่วๆ ไปในเวลานั้ น เราจะแสดงถึงการเบียดเบียนศาสนาพอเป็นตัวอย่างดังนี้

ข) การเบียดเบียนศาสนาจากหลักฐานเอกสาร

18. การสู้รบระหว่างไทยและฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 หลังจากนี้ไ ม่นาน พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนรายงานเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาถึงพระสังฆราชดราปิเอร์ ผู้แ ทนพระสันตะปาปาในอินโดจีน ลงวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1940 เพื่อรายงานถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของการเ บียดเบียนศาสนาในเวลานั้นให้ทราบ

คณะเลือดไทยมีจุดมุ่งหมายต่อต้านศาสนาคริสต์โดยตรง อันแสดงถึงการเบียดเบียนศาสนาจากส่ว นของประชาชนชาวไทย เอกสารของคณะเลือดไทยมีดังนี้:

"ที่เกิดของคณะเลือดไทยเราคือ จังหวัดพระนคร แล้วได้กระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง เช่น “คณะเลือดไทยเชีย งใหม่” เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายคงได้พบข่าวจากหนังสือพิมพ์บางฉะบับลงข่าวว่า “คณะเลือดไทยเชียงใหม่”ได้พร้อมใจ กันไม่ยอมทำการติดต่อกับพวกบาดหลวงและนางชี ตลอดจนพวกที่นิยมลัทธิสาสนาโรมันคาธอลิก มีอาทิเช่น ไม่ยอม ขายอาหารให้แก่คนจำพวกนี้ โดยที่ถือว่าบุคคลจำพวกนี้เป็นสัตรูของชาติไทย และพร้อมพร้อม กันนี้ กรรมกรรถทุกชะ นิดไม่ยอมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้ว โดยสารรถยนต์ของตน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าจ้างอย่างแพงแส นแพง เขาก็หาได้พึงปรารถนาไม่ และ “คณะเลือดไทย” ในจังหวัดพระนครซึ่งเป็นที่มาแห่งคณะเลือดไทย ก็ไม่ยอมทำก ารซื้อสิ่งของที่เป็นของชนชาติสัตรูกับเรา และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรูเป็นอันขาด นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพว กเราชาวไทย “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนักในความสำเร็จอันใหญ่หลวงของคณะเลือดไทยที่ได้ปฏิ บัติมาทุกๆ คราว สุดที่จะหาคำใดมากล่าวให้ดียิ่งกว่านี้ได้

ฉะนั้น “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราเลือดไทยจะไม่ย อมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้วข้างต้น โดยสารรถยนต์ หรือยอมรับใช้ ตลอดจนการสนับสนุนด้วยประการใ ดๆ ดังกล่าวมาแล้ว เพราะเลือดไทยถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นสัตรูของชาติไทยเรา และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรู พวกเราถื อว่า เขาลืมชาติ ลืมสาสนาอันแท้จริงของเขาเสียสิ้น มัวเมาไปหลงนิยมลัทธิอันเป็นสัตรูของเรา พ วกเราจงนึกดูซิว่า ที่รั ฐบาลจับพวกแนวที่ 5 ได้นั้น เขาเหล่านี้ก็คือพวกที่นับถือสาสนาโรมันคาธอลิกซึ่งได้รับคำสั่งสอนของสัตรู คอยหาโอก าสที่จะเอาพวกเราเป็นทาสของเขา ตลอดจนทำลายชาติของเราให้ย่อยยับไป พวกเราต้องระวังแนวที่ 5 นี้จงมาก และ ช่วยกันกำจัดลัทธิอันนี้ให้สิ้นเชิง

พวกพี่น้องทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าพวกเราชาวไทยได้รับความขมขื่นมาแล้วเป็นจำนวนตั้ง 70 ปี บัดนี้เป็น ศุภนิมิ ตต์อันดีงามของพวกเราแล้ว “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” จึงขอร้องให้พวกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยกันขับไล่ชน ชาติที่เป็นสัตรูของเรา ให้เขานำลัทธิอันแสนอุบาทว์นี้ออกไปเสียจากแหลมทอง แล้วญาติพี่น้องของเราที่หลงงมงายอ ยู่ จะได้กลับมายังแนวทางเดิมที่บรรพบุรุษของเราที่ได้อุตส่าห์สร้างสมไว้เพื่อลูกหลานเหลนชั้นหลัง"

19. พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนจดหมายถึงศูนย์กลางของคณะมิสซังต่างประเทศที่กรุงปารีส รา ยง านเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาที่เกิดขึ้นยิ่งทียิ่งรุนแรงขึ้นว่าดังนี้:

"การเบียดเบียนต่อต้านศาสนาคาทอลิกได้เริ่มขึ้นวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 เวลา 10.00 น. ตอนเย็นบรร ดามิชชันนารีฝรั่งเศสที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของไทยที่เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน แต่ละองค์ต่างก็ได้รับการเยี่ยมเ ยือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย ซึ่งบังคับให้พวกเขาติดตามไปที่สถานีตำรวจ ที่นั่น เขาได้ป้อนต่ อบรรดามิชชันนา รี ต่อจากนั้นได้ให้พวกเขาลงชื่อด้วยการสัญญาว่าจะเดินทางออกจากพื้นที่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้น มิชชันนาร ีแต่ละองค์ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมกับมีคำสั่งห้ามเดินทางออกไป ข้าพเจ้าได้ส่งพระสงฆ์พื้นเมืองจากวัดอื่นไป ทำหน้าที่แทนพวกเขา พระสงฆ์ 2 องค์ในจำนวนพระสงฆ์เหล่านี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไทย ได้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรว จและถูกใส่ความกล่าวหาว่า “เป็นแนวที่ 5” ถูกจองจำในคุกเป็นเวลา 3 เดือนใน ตอนแรก พวกเขาถูกตัดสินในเดือนมีนา คมให้จำคุกคนละ 2 ปี พระสงฆ์ไทยองค์ที่ 3 ถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม ยังคงรอคอยการพิพากษาและคำ ตัดสินโดยไม่มีความผิด

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ รัฐบาลไทยจัดใด้รียกประชุมอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาพวกลูกจ้ างของรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ได้รับคำสั่งให้ไปที่วัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นวัดพุทธ รัฐมนตรีหลายนายที่เป็นสมาชิก ของคณะรัฐบ าลได้ดำเนินการประชุม ด้วยการบอกกับบรรดาผู้เข้าประชุมว่า พวกเขาต้องเซ็นชื่อลงในเอกสารที่เตรียมมาเพื่อการนี้ เ พื่อยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนพุทธ ซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศไทย คาทอลิกบางคนได้เซ็นชื่อ เช่นเดียวกับพวกโปรเตสตัน ท์จำนวนมาก, พวกที่นับถือลัทธิขงจื๊อ, พวกอิสลาม เป็นต้น แต่ส่วนมากได้ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถูกใช้อำนาจในการเกลี้ยกล่ อมทุกวิถีทาง รัฐบาลไทยในเวลานี้ถือว่าไม่ได้บังคับใครให้เปลี่ยนศาสนา แต่แสดงค วามปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าป ระชาชนทุกคนควรนับถือศาสนาเดียวกัน แม้การประกาศเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลอกลวงสาธารณชนต่างชาติ ข้อเท็ จจริงก็คือว่า บรรดาลูกจ้างฝ่ายปกครองที่ไม่ยอมประกาศตัวเป็นพุทธได้ถูกไล่ออกจากงาน บรรดาพ่อค้าที่เป็นคริสตัง ถูกรมหัวไม่ทำการค้าด้วย และห้ามซื้อสินค้าของพวกพ่อค้าคริสตัง พวกเกษตรกรและลูกจ้างแรงงานอื่นๆ ที่หาเช้ากินค่ ำ ถูกเรียกตัวไปโดยนายอำเภอเพื่อทำการประชุมให้ละทิ้งศาส นา ตราบใดที่พวกเขาปฏิเสธ พวกเขาก็ถูกบังคับให้อยู่ ที่นั่น ไม่สามารถไปทำงานได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรเลี้ยงตัวเองและครอบครัวของพวกเขา

ภายหลังการประชุมให้ละทิ้งศาสนาที่จัดขึ้นทั่วทุกแห่งในวันเดียวกัน การเบียดเบียนทำได้อย่างอิสระ พวกผู้ก่ อเหตุร้ายได้รวมตัวกันเป็น "คณะเลือดไทย" และอวดตัวว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลสนับสนุน ในหมู่บ้านคริสตังหลา ยแห่ง วัดคา ทอลิกถูกโจมตีในระหว่างเวลากลางคืน ทุบทำลายไม้กางเขน, รูปปั้นต่างๆ, ศาสนภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์, ฉีกทำลายและทำทุร จารภาพวาดนักบุญต่างๆ และศาสนภัณฑ์ต่างๆ ขณะรอคอยเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ไปแจ้งความและขอความช่วยเหลือ ก่อนที่พวกเขาจะมา พวกผู้ก่อเหตุร้ายก็หนีไปแล้ว ดังนั้น เขาจึงประกาศว่า เขาไม่เห็นอะไรเลยและไม่สามารถกล่าวโท ษใครได้ ภายหลังที่มีการปล้นเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พวกผู้ก่อเหตุร้ายที่เหิเกริมเ พราะไม่ถูกลงโทษ ได้เข้าปล้นวัดต่า งๆ กลางวันแสกๆ พร้อมทั้งทำลายวัดนั้นๆ ซึ่งมีพวกคริสตังจำนวนไม่มากพอที่จะขัดขวาง ตำรวจที่ถูกเรียกตัวมาได้ต อบแบบเดิมๆ ว่า เขาได้รับคำสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยว ข้าพเจ้าได้นำเอาคำร้องทุกข์ไปยื่นต่อรัฐบาลงที่กรุงเทพฯด้วยตนเอง แ ต่ก็ไม่มีผลอะไร อธิบดีกรมตำรวจซึ่งข้าพเจ้ารู้จักและไปพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ตอบกับข้าพเจ้าอย่างชัดเจนว่า ข้าพเจ้าไ ม่ต้องมาด้วยตนเอง เพราะเขาทราบเรื่องดีแล้วจากจดหมาย อีกอย่างหนึ่ง จดหมายต่างๆ ของข้าพเจ้าได้ตกค้างอยู่ แล ะยังคงตกค้างอยู่โดยไม่ได้รับคำตอบ ในระหว่างเวลานั้น วิทยุกระจายเสียงภาษาไทยได้พูดสบประมาทพวกคริสตัง เย าะเย้ย และได้พูดเน้นในเวลาเดียวกันว่า ในประเทศไทย พวกคริสตังมีอิสระอย่างเต็มที่ และมีความสุขมากกว่าพวกที่อ ยู่ในประเทศใดในโลก

มิชชันนารีฝรั่งเศส 13 องค์ ถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน และถูกบังคับให้เดินทางมากรุงเท พฯ โด ยไม่สามารถทำอะไรได้เลย พวกเราตัดสินใจว่ามันจะดีกว่ามากถ้าพวกเขาจะเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อไป อยู่ที่อื่นที่เป็นประโยชน์กว่า พวกเขาได้ออกเดินทางไปอยู่ในโคชินจีนและกัมพูชาที่ซึ่งพวกเขาได้ทำงานอภิบาลของพ วกเขาในหมู่คนญวนและคนจีนตามภาษาที่พวกเขาเข้าใจ นอกจากนี้ ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล 13 คน ได้รับคำสั่งห้า มทำการสอนเพราะพวกเขาเป็นชาวฝรั่งเศส ขณะเดียวกันต้องเดินทางออกนอกประเทศ พวกเขาได้เดินทางไปอยู่ที่สิง คโปร์และอินเดียที่ซึ่งวิทยาลัยต่างๆ ที่พวกเขาเป็นเจ้าของตั้งอยู่ บรรดาภราดาที่เป็น ชาวสเปนและชาวไทยก็ยังคงดำเ นินการต่อไปในวิทยาลัยต่างๆ ที่นี่ โดยมีพวกฆราวาสคอยช่วยเหลือ บรรดาภคินีคณะเซนต์ปอลเดอชาร์ตรและนักบว ชหญิงคณะอุร์สุลิน สัญชาติฝรั่งเศสต้องเดินทางออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน เพราะถูกห้ามทำการสอน ได้มีบันทึกไว้ ว่าบรรดาภราดาและนักบวชหญิงที่ทำหน้าที่เป็นครูเหล่านี้ ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศ ได้ผ่ านการสอบอย่างเป็นทางการและได้รับใบประกาศนียบัตรที่จำเป็นสำหรับทำการสอนตามที่กระทรวงกำหนดมาเป็นเว ลานานหลายปีแล้ว

ในขณะนั้น รัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ได้ประกาศอย่างเปิดเผยในข้อที่ 13 ว่า "คนทุกคนมีเสรีภาพในการถือศาสนาที่ตนเลือกและปฏิบัติตามความเชื่อถือของตนที่ไม่ขัดต่อประเพณีอันดีงามและ ความสงบสุขของพลเมือง" อีกประการหนึ่ง บรรดาคริสตังของประเทศสยาม (ปัจจุบันคือประเทศไทย) ได้แสดงตนเป็ นพลเมืองที่ดี เป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่างของประเทศอย่างเคร่งครัด เสียภาษีอาก รและค่าธรรมเนียมต่างๆ อย่ างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับประชาชนคนอื่นๆ เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าศาสนาคาทอลิกกับประเทศฝรั่งเศสเป็นสิ่งเดียว กัน โดยถือว่าพวกคาทอลิกรักประเทศฝรั่งเศสราวกับเป็นประเทศของตน ซึ่งทุกคนที่นี่รู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงโดยสิ้ นเชิง ศาสนาคาทอลิกเป็นศาสนาสากล ไม่ใช่ศาสนาของประเทศใดประเทศหนึ่ง"

คุณพ่อหลุยส์ โชแรง ได้สรุปเรื่องการเบียดเบียนศาสนาในปี ค.ศ. 1941 ดังต่อไปนี้

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นสักอย่างเลย

1o) บรรดาพระสงฆ์พื้นเมือง: คุณพ่อนิโคลาส, คุณพ่อมีแชล, คุณพ่อจี้ง้วน ยังคงอยู่ในคุก... เพราะอะไร? ข้าพเ จ้าไม่ได้รับข่าวคราวเลยเพราะไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้

 2o) คุณพ่ออังเดร พลอย หัวหน้าแสนเจ้าเล่ห์ของบรรดาพระสงฆ์พื้นเมือง ยังคงดำเนินบทบาทของเข าที่เป็นอั นตรายในการต่อต้านศาสนาและต่อต้านฝรั่งเศสต่อไป เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ทำการเรี่ยไรเงินจากพระสงฆ์พื้นเมืองประมา ณ 20 องค์ เป็นจำนวน 635 บาท และได้นำไปมอบให้กับรัฐบาลพร้อมทั้งขอร้องให้ทำการต่อต้านพวกแนวที่ 5 (หมาย ถึงบรรดามิชชันนารีฝรั่งเศส) และหัวหน้าของพวกเขา (หมายถึงพระสังฆราชแปร์รอส) ให้เข้มงวดขึ้น เป็นเวลานานม าแล้วที่คนๆ นี้ (คุณพ่ออังเดร พลอย) ต้องถูกพัก (จากการเป็นพระสงฆ์)

3o) วิทยุกระจายเสียงภาษาไทยยังคงสบประมาทต่อศาสนาคาทอลิกต่อไปแทบทุกเย็น

4o) เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำการบีบบังคับพวกคริสตังให้เลิกนับถือศาสนาคาทอลิกทุกวัน

 5o) การกระทำที่น่าเศร้าใจและซึ่งท่านไม่ทราบเลยว่าผลจะเป็นเช่นไร ที่บ้านนักบวชหญิงเรยีนาเชลีที่เชียงใหม่ มีการยิงปืนเข้าไปในที่ดินของพวกนักบวชหญิงเพื่อบังคับให้นักบวชอุร์สุลินออกจากที่ดิน หรือปฏิเสธศาสนา

6o) มีกลุ่มคนที่ใช้มีดเป็นอาวุธได้ฟันเข้าด้านหลังของพวกนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญคอลเลจขณะที่พวกเขากำ ลังเดินเล่นอยูในเมือง

พระสังฆราชแปร์รอสได้บันทึกการก่อความเดือดร้อนต่อมิสซังคาทอลิกในปี ค.ศ. 1941 ว่าดังนี้:

"บรรดามิชชันนารีฝรั่งเศส, คุณพ่อแปร์รัวย์ที่ปราจีน และคุณพ่อริชารด์ที่ปากคลองท่าลาด (แปดริ้ว, ฉ ะเชิงเทร า) ถูกตำรวจบังคับให้ออกจากพื้นที่ของตนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 วันที่ 20 ธันวาคม ข้าพเจ้าได้ส่งคุณพ่ อสงวน พระสงฆ์พื้นเมืององค์หนึ่งซึ่งเกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไทย ไปที่ปราจีน และส่งคุณพ่ออังแซลม์ เสงี่ยม พ ระสงฆ์ไทยอีกองค์หนึ่ง เกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไทย ไปที่ปากคลองท่าลาด เพื่อดูแลพวกคริสตัง

เมื่อคุณพ่อทั้งสองโดยสารรถไฟมาถึงปราจีน คุณพ่อสงวนก็ถูกตำรวจจับและถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจถู กซัก ถาม หลังจากนั้นก็ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระ คุณพ่อได้กลับไปพักที่วัด

วันรุ่งขึ้น ตำรวจได้มาหาคุณพ่อ เขาพาคุณพ่อไปที่สถานีตำรวจแห่งใหม่ เขาได้ซักถามคุณพ่อถึงเหตุผลในการ มาที่ปราจีน ต่อจากนั้น ก็กักตัวคุณพ่อไว้ในห้องถัดไปที่สถานีตำรวจ เพราะหนังสือสวดทำวัตรของคุณพ่อเป็นหนังสือ ที่ต้องสงสัยซึ่งเขาอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิด คุณพ่อถูกขังอยู่เป็นเวลา 3 วัน

คริสตังคนหนึ่งได้มาที่ปราจีนเพื่อแจ้งข่าวให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าร่างจดหมายฉบับหนึ่งถึงหลวงอดุล อธิบดีก รมตำรวจ ที่กรุงเทพฯ และข้าพเจ้าได้นำจดหมายไปส่งให้ท่าน (หลวงอดุล) ด้วยตนเองพร้อมด้วยหนังสือสวดทำวัตรเ ล่มที่เหมือนกับหนังสือของคุณพ่อสงวน ข้าพเจ้าร้องขออิสรภาพสำหรับคุณพ่อสงวน และคำขอของข้าพเจ้าก็ได้รับกา รตอบสนอง คุณพ่อสามารถกลับมาที่วัดได้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม (ที่ชั้นล่างของวัด มีทหารจำนวน 60 นาย คุณพ่อพัก อยู่ชั้นบน)

2-3 วันต่อมา คุณพ่อมีแชล ส้มจีน พระสงฆ์พื้นเมืององค์หนึ่ง ถือสัญชาติไทย ได้มาที่วัดโคกวัดที่ปราจีน เดินท างประมาณ 4-5 ชั่วโมง เมื่อท่านมาถึงปราจีน ท่านถูกตำรวจจับเนื่องจากท่านถอดเสื้อหล่อในระหว่างการเดินทาง และ ท่านได้สวมเมื่อมาถึงปราจีน หลังจากถูกกักขังเป็นเวลา 2 วัน ท่านก็ได้รับการปล่อยตัวเพื่อไปพักที่วัดกับคุณพ่อสงวน แต่ห้ามเดินทางออกจากวัด

ในขณะนั้นเครื่องบินฝรั่งเศสเพิ่งทิ้งระเบิดที่ค่ายดงพระราม ใกล้ๆ ปราจีน วันรุ่งขึ้น พระสงฆ์ 2 องค์ ถูกฟ้องใน ข้อหาฉายไฟทำสัญญาณเพื่อให้เครื่องบินทิ้งระเบิด และถูกจำคุกในข้อหาเป็นแนวที่ 5

ในเวลานั้น พวกทหารที่ค่ายดงพระรามและพวกผู้ร้ายซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ได้พากันไปยังวัดแหลมโขดซึ่งใช้เวลาเ ดินทางเป็นระยะทางครึ่งชั่วโมง พวกเขาบุกเข้าไปในวัด ทุบทำลายไม้กางเขน, รูปปั้นต่างๆ ฉีกภาพวา ดนักบุญต่างๆ ขโมยพวกศาสนภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ พูดสั้นๆ ว่าพวกเขาทำลายวัด นายอำเภอซึ่งถูกเรียกตัวมาเพื่อห้ามพวกเขาได้ตอบว่า เรื่องนี้อยู่ในอำนาจของทหาร และเขาก็ทำเป็นไม่สนใจอะไรเลย หลายวันต่อมา พวกผู้ร้ายได้กลับมาอีกอย่างอาจหาญ แต่ไม่มีอะไรในวัดให้พวกเขาขโมยหรือทำลายได้อีก พวกเขาได้ลักขโมยข้าวของที่เป็นของพวกคริสตัง ได้ฆ่าไก่, เป็ด, หมู และได้บังคับพวกผู้หญิงและเด็กสาวๆ ให้หนีไปอยู่ในเมืองเพื่อความปลอดภัย

คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีนถูกคุมขังอยู่ในคุกอย่างเข้มงวดเป็นเวลา 2 เดือนครึ่ง ในระหว่างเวลานี้พวกผู้ร้าย คนอื่นได้ปล้นทำลายวัดแหลมโขดและบ้านพักพระสงฆ์ เผาทำลายทะเบียนบัญชีต่างๆ ขโมยเงินและวัตถุที่มีค่าต่างๆ (เครื่องประดับและทองคำ) ซึ่งพวกคริสตังได้นำมาฝากไว้กับพระสงฆ์เพื่อความปลอดภัย นายบรรทมซึ่ง คุณพ่อส้มจี นได้แต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่ เป็นลูกจ้างของโรงเรียน ถือตัวว่าเป็นคนที่คุณพ่อไว้ใจ เขารู้จักบ้านคุณพ่อดีและคุณพ่อได้ไ ว้ใจให้เขาถือกุญแจ เขาได้ขโมยทุกอย่างในบ้านของคุณพ่อไปจนหมด

ในระหว่างเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ นายอำเภอปราจีนได้ทำเช่นเดียวกันกับกำนันท ี่แหลมโขดคือ ได้จัดการประชุมขึ้น โดยเรียกพวกคริสตังไปประชุม เขาต้องการบังคับพวกคริสตังให้ประกาศเลิกนับถือ ศาสนาคาทอลิกและประกาศตัวเป็นพุทธ ในตอนต้น ทุกคนปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกันในการละทิ้งศาสนานี้ ต่อมาเขาบั งคับให้มาประชุมทุกวัน เพื่อให้พวกคริสตังใจอ่อนยอมละทิ้งศาสนาคาทอลิก พวกคริสตังไม่ส ามารถทำงานหรือทำการ ค้าของพวกเขาได้ในระหว่างเวลาที่ถูกเรียกประชุม พวกเขาเกิดความกลัวมากขึ้นทุกที และในที่สุดก็ละทิ้งศาสนาไป ดั งนั้น นายอำเภอได้ถือว่าเขาไม่ได้บังคับใคร แต่เขาทำให้พวกผู้ชายไม่สามารถทำงานได้ และที่ตลาดมีคำสั่งห้ามทำกา รค้ากับพวกคริสตัง

วิธีการอย่างเดียวกันนี้ถูกใช้ต่อมาที่ปากคลองท่าลาด, ท่าเกวียน, พนัส, บางปลาสร้อย, หัวไผ่ (แปดริ้ว)

นอกจากวัดแหลมโขดแล้ว เขายังได้ปล้นทำลายวัดปากคลองท่าลาด ขายบ้านพักของคุณพ่อริชารด์ ปล้นวัดท่ าเกวียนพร้อมด้วยบ้านพักพระสงฆ์และบ้านพักซิสเตอร์ พร้อมทั้งขู่ทำร้ายเช่นเดียวกันกับที่แปดริ้ว บรรดาพระสงฆ์พื้ นเมืองถูกบังคับให้ออกจากวัดปากคลอง, ท่าเกวียน, พนัส, พิษณุโลก และพระสงฆ์ที่อยู่แปดริ้ว, หัวไผ่,บางปลาสร้อย, ท่าข้าม (นครชัยศรี) ก็ถูกขู่แบบเดียวกัน ตำรวจที่ถูกเรียกตัวมาตอบว่า บรรดาพระสงฆ์ไม่สามารถดูแลคุ้มครองพวกค ริสตังได้

คุณพ่อกาวัลลา พระสงฆ์ซาเลเซียน ซึ่งถูกทุบตีและถูกปล้นที่ท่าเกวียน ได้ส่งรายงานฉบับหนึ่งถึงนายตำรวจ แ ละเอกอัครราชทูตอิตาลี (ข้าพเจ้าได้ถ่ายสำเนาให้ท่านแล้ว) แต่ไม่ได้รับคำตอบ

ในเวลานี้ คุณพ่อหลุยส์ เล็ตแชร์ ถือสัญชาติสวิส ซึ่งด้วยคุณสมบัติข้อนี้เขาสามารถอยู่ที่บางปลาสร้อยและดูแล วัดได้จนถึงปัจจุบันนี้ เขาได้รับคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ให้ออกจากพื้นที่ เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดค นนี้มีความผิ ดจากการกระทำที่รุนแรงซึ่งพวกคริสตังต้องรับเคราะห์กรรม

หนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้เก็บเรื่องนี้เงียบไว้เพราะกลัวเสียชื่อเสียง วิทยุกระจายเสียงปลุกเร้าเรื่องความรักชาติไท ย เขาต้องการเห็นประชาชนทุกคนนับถือศาสนาเดียวกันคือศาสนาพุทธ เพื่อชัยชนะต่อชาวยุโรป หลวงพิบูลได้ส่งจดห มายเวียนหลายฉบับเพื่อกล่าวชมเชยพวกที่ละทิ้งศาสนา และเตือนคนอื่นๆ ให้ทำตามตัวอย่างนี้

ที่ประเทศลาว ที่สกลนคร มิชชันนารีชาวยุโรปองค์หนึ่ง และพระสงฆ์พื้นเมือง 3 องค์ถูกจำคุกในข้อหาเป็นแนว ที่ 5 ได้แก่ คุณพ่อสตอคเกล, คุณพ่อเอดัวรด์ ถัง, คุณพ่อศรีนวน, คุณพ่อคำผง

ที่สองคอน (ลาว) นักบวชหญิงรูปหนึ่งและคริสตัง 6 คน ถูกฆ่าตายเพราะพวกเขาไม่ยอมละทิ้งศาสนา

มันเป็นเรื่องยากที่จะบรรยายถึงเรื่องราวที่ได้รับมาโดยสรุป จดหมายทุกฉบับที่ส่งมาที่วัดถูกเปิดอ่าน บร รดาผ ู้โดยสารทั้งที่เดินทางโดยรถไฟ, เดินทางโดยเรือ, เดินทางโดยรถบัส ต่างถูกค้นและไม่สามารถนำจดหมายไปได้สักฉบั บเดียว หนังสือที่เขียนทุกเล่ม, สิ่งตีพิมพ์ทุกชนิด ยกเว้นภาษาไทย ถูกสงสัยและถูกยึดหมด

วันที่ 22 มีนาคม คุณพ่อสงวนและคุณพ่อส้มจีนได้ถูกตัดสินโดยศาลทหารที่ปราจีน ผู้กล่าวหาคือข้าราชการ 3 คน ให้การว่า ได้เห็นคุณพ่อทั้งสองทำสัญญาณให้นักบินฝรั่งเศสด้วยการฉายไฟ พยาน 1 ใน 3 คน บอกว่ าได้เห็นคุณ พ่อทั้งสองในป่าไผ่ พยาน 2 คน บอกว่าได้เห็นคุณพ่อทั้งสองข้างนอกป่าไผ่ แต่งตัวธรรมดาสีขาว อีกคนหนึ่งบอกว่าคุ ณพ่อทั้งสองได้ทำสัญญาณไฟด้านข้าง แต่อีก 2 คน ชี้แจงว่าคุณพ่อทั้งสองทำสัญญาณไฟฝั่งตรงข้าม จำเลยปฏิเสธข้ อกล่าวหาของพยานทั้ง 3 คน โดยสิ้นเชิง ต่อมาพยานคนอื่นๆ ให้การเป็นประโยชน์แก่จำเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ การ ตัดสินประกาศว่า พวกพยานที่กล่าวหาเป็นพวกข้าราชการ คำให้การของพวกเขามีน้ำหนักมากกว่าคำให้การของคนธ รรมดา ด้วยเหตุนี้ จำเลยทั้งสองคนจึงถูกตัดสินจำคุกคนละ 2 เดือน"

พระสังฆราชแปร์รอสได้รายงานเรื่องการเบียดเบียนในประเทศไทยต่อเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในป ระเทศญี่ปุ่น ลงวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1941

"ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังถึงเหตุการณ์อันน่าเศร้าใจ ซึ่งในเวลานี้ มิสซังคาทอลิก
กรุงเทพฯ กำลังประสบอยู่อย่างเต็มที่ (ไม่ขอพูดถึงเหตุการณ์ในลาว ซึ่งยังคงได้รับความทุกข์ทรมานมานานกว่าเ รา) ใ นเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล 13 รูป, มิชชันนารี 13 องค์ และภคินีคณะเ ซนต์ปอลเดอชาร์ตร 12 รูป ถูกบังคับให้ออกนอกประเทศเพราะเป็นชาวฝรั่งเศส นับตั้งแต่นั้นมา วัด 3 แห่งถูกปล้นและ ถูกเผาตั้งแต่พื้นจนถึงหลังคา, บ้านพักพระสงฆ์ 3 แห่ง และบ้านพักซิสเตอร์ 3 แห่งถูกเผา, วัด 7 แห่งถูกปิดและถูกปล้ น, วัด 12 แห่งถูกปิด, พระสงฆ์ไทย 3 องค์ซึ่งบริสุทธิ์ ถูกใส่ร้ายและถูกขังคุกเป็นเวลา 3 เ ดือนแล้ว พระสงฆ์ 2 องค์ เพิ่ งได้รับการตัดสินจำคุกคนละ 2 ปี ส่วนองค์ที่ 3 ยังรอการตัดสิน รัฐบาลได้จัดพิธีวันละทิ้งศาสนาอย่างเป็นทางการ พวก คริสตังถูกบังคับให้ประกาศละทิ้งศาสนาของตน ถ้าปฏิเสธ พวกที่เป็นข้าราชการก็ถูกไล่ออกจากหน้าที่ พวกที่เป็นพ่อ ค้าก็ถูกห้ามทำการซื้อขาย พวกกรรมกรและพวกเกษตรกรถูกบังคับให้นั่งอยู่ในที่ประชุมของการละทิ้งศาสนาตลอดทั้ง วัน ไม่สามารถไปทำงานหรือหาเลี้ยงครอบครัวได้เลย ตำรวจปฏิเ สธอย่างเด็ดขาดที่จะช่วยเหลือและคุ้มครอง ที่ลาว นั กบวชหญิงพื้นเมือง 3 องค์ของคณะเซนต์ปอลเดอชาร์ตร นายอำเภอได้บังคับให้ออกจากที่พักของนักบวช

ท่านเอกอัครราชทูต พวกเราวิงวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ทำสนธิสัญญาสงบศึกเพื่อการดำรงชีวิต ตามปกติ ข้อตกลงทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ที่สงบสุขของมิสซังคาทอลิกในประเทศไทยเป็นการโกหกอย่างสิ้นเชิง การติดต่อสื่อสารกับประเทศอื่นๆ ทำไม่ได้เลย จดหมายทุกฉบับถูกตรวจและถูกยึด

ข้าพเจ้าขอประทานโทษ ด้วยเกรงว่าคำขอร้องของข้าพเจ้าไม่มาช้าเกินไป

ขอแสดงความนับถือ ท่านเอกอัครราชทูต ข้าพเจ้าวิงวอนท่านด้วยความเคารพนับถืออย่างสุดซึ้ง และด้วยควา มสำนึกในพระคุณของท่าน

เรอเน แปร์รอ

ประมุขมิสซัง

มองซิเออร์ ชาร์ลส อาร์แซน-ฮังรี

เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศญี่ปุ่น

โตเกียว

วัด ถูกทำลาย   ปากคลอง         ท่าเกวียน                         

ถูกปล้น      แหลมโขด    พนัส

ถูกข่มขู่ แปดริ้ว  เซนต์ร็อค

โรงเรียนถูกปิด   บ้านเณรศรีราชา ปราจีน   แหลมโขด โคกวัด ปากคลอง ท่าเกวียน หัวไผ่ พนัส บางปลาสร้อย พิษณุโลก  เวียงป่าเป้า บ้านปลายนา เจ้าเจ็ด

จดหมายอีกฉบับหนึ่งของพระสังฆราชแปร์รอส ถึงผู้ว่าการกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ (โปรปากัน ดา ฟีเด) รายงานเรื่องการเบียดเบียนศาสนา

"เรามีพระสงฆ์ 4 องค์ที่ถูกจำคุก ได้แก่ คุณพ่อฟรังซิสเซเวียร์ จี้ง้วน (ปัจจุบันใช้ชื่อ สงวน) เป็นศิษย์เก่าวิทยาลั ยโปรปากันดา ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ที่กรุงโรม เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1935, และคุณพ่อมีแชล ส้มจีน ถูกตัดสิ นจำคุกคนละ 2 ปี, คุณพ่อนิโคลาส ชุนกิม (ปัจจุบันใช้ชื่อ บุญเกิด) ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี, และคุณพ่อเฮนรี่ ปลาด ถูกตั ดสินจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกับครูคำสอนของท่านคือ เปโตร โหล่ย ทั้งหมดถูกตัดสินลงโทษ อย่างร้ายกาจและถูกกล่ าวหาโดยไม่มีความผิดเพราะเป็นคาทอลิก และเป็นผู้สนับสนุนศัตรูของชาติไทย บรรดาพระสงฆ์พื้นเมืองจำนวนมาก แ ละพวกคริสตังเกือบทั้งหมดของเรา ได้แสดงให้เห็นอย่างน่าชมเชยถึงความทุกข์ทรมานของพวกเขา ถึงแม้ว่าในท่ามก ลางพวกหลัง (พวกคริสตัง) เหล่านี้ บางคนได้ยอมใจอ่อนเพราะความกลัวหรือเพื่อช่วยให้ครอบครัวของพวกเขารอดพ้ นอันตราย ส่วนใหญ่เศร้าใจอย่างขมขื่นในความอ่อนแอของพวกเขา และฉวยโอกาสครั้งแรกที่มีเพื่อขอโทษ ทำการแก้ ตัวอย่างน่าสรรเสริญต่อหน้าพวกพยาน และระลึกถึงพระมหากรุ ณาธิคุณของพระมหาเยซูเจ้า ข้าพเจ้าขอคำภาวนาเป็น พิเศษจากพระคุณเจ้าสำหรับมิสซังกรุงเทพฯ ที่น่าสงสารของพวกเรา และมิสซังลาวซึ่งยังคงได้รับความทุกข์ทรมานมา กกว่าพวกเราอยู่ (มีคริสตังอย่างน้อย 8 คนที่ตายเพื่อความเชื่อ) ข้าพเจ้าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสั นตะปาปาอย่างที่สุด ที่ทรงพระกรุณาส่งคำอวยพรเป็นพิเศษมายังบรรดาพระสงฆ์นักโทษที่น่าสงสารของเรา, พวกครูค ำสอน และพวกคริสตัง คำอวยพรนี้จะเป็นการปลอบโยนบรรเทาใจอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา"

มีจดหมายหลายฉบับ และรายงานต่างๆ ที่ได้รวบรวมไว้ กล่าวถึงเหตุการณ์การเบียดเบียนในปร ะเทศไทยในระหว่างปี ค.ศ. 1940-1944 เราจะเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริงจากเอกสารต่างๆ เหล่านี้

ค. การเบียดเบียนจากคำให้การของพวกพยาน

20. นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ได้มีการทำสงครามกันระหว่างประเทศฝรั่งเศสและประเทศไทย จอมพ ล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ฉวยโอกาสเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส นายเจริญ ราชบัว ขาว ให้การว่า:

"นโยบายนี้ทำให้ทางราชการเริ่มหันเหความสนใจมาทางพวกที่นับถือศาสนาคาทอลิก เพราะศาสนานี้มาจากชา วฝรั่งเศส ดังนั้น จึงกลัวว่าพวกคริสตังจะเข้าข้างฝรั่งเศส คนไทยที่รักชาติทั่วๆ ไป ก็คิดเช่นเดียวกัน ทา งราชการจึงเริ่ม สั่งปิดโรงเรียนของวัดที่อยู่รอบนอก และมีการสำรวจพวกคริสตังตามวัดต่างๆ ว่า ใครมีอาวุธบ้าง"

เหตุการณ์ต่างๆ ของการเบียดเบียนเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ในจังหวัดโคราช นางเง็กซี กิจสงวน ได้ ทบทวนความทรงจำให้ฟังว่า:

"เขาให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน มาเรียกสัตบุรุษไปวัดพุทธและอบรมสั่งสอนให้ทิ้งศาสนา"

ความเกลียดชังความเชื่อคาทอลิกแสดงออกโดยคนไทยในที่ต่างๆ นายวันนา ไพรจันทึก ให้การว่า:

"ผลกระทบที่ได้รับก็คือ มีคนเกลียดชัง มีคนแกล้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย เขาแกล้งเรา เขาหาเรื่องใส่เ ราว่า คนไทยทำไมจึงไปนับถือศาสนาฝรั่ง ทำไมไม่ยอมนับถือศาสนาพุทธ ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ผมจึงถูกถือว่ าเป็นพวก "แนวที่ 5" ไม่รักชาติ และยังถูกข่มขู่ด้วยว่า หากไม่นับถือศาสนาพุทธ จะต้องถูกนำไปประหาร"

พระสังฆราชสังวาลย์ ศุระศรางค์ ยืนยันว่าการเบียดเบียนเกิดขึ้นที่ภาคกลางของประเทศ:

"ในขณะนั้นมีข่าวว่ามีการถูกจับ ถูกฆ่า จึงมีความคิดที่จะต่อต้านการเบียดเบียนนี้ ฉะนั้น เมื่อเขาให้ผมสวด ผ มไม่ยอมสวด จำได้ว่าครูไล่ออกจากห้อง และต้องยืนอยู่คนเดียว เมื่อเขาสวดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้าห้องเรียน จึงจะเห็นได้ว่า การเบียดเบียนนั้นก็มีขึ้นที่อยุธยา ที่ภาคกลางด้วย"

คุณพ่ออังเดรโอนี ได้ยืนยันเช่นเดียวกันถึงความจริงว่ามี "ความเกลียดชังความเชื่อ"ในหมู่คนไทย และมีการเบียดเบียนศาสนาจริง:

"สมัยนั้นเคยมีการเบียดเบียนจริงๆ และตามที่พระสงฆ์ไทยหลายคนถูกจับ ก็ไม่เป็นความจริงที่เขาเป็นสายลับ (สปาย)"

เมื่อได้ศึกษาเอกสารต่างๆ และคำให้การของบรรดาพยาน คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์ได้สรุปเหตุการ ณ์กา รเบียดเบียนดังต่อไปนี้:

"ผมจะต้องแยกอย่างนี้คือ ท่าทีที่เป็นทางการจริงๆ ของรัฐบาลไทยตอนนั้นเป็นท่าทีที่ไม่มีการเบียดเบียนศาสน า จะเป็นรัฐธรรมนูญก็ดี ประกาศของอธิบดีกรมตำรวจก็ดี หรือว่าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในตอนนั้นก็ดี ทั้งหมดต่างกล่าวว่า ประเทศไทยให้เสรีภาพทางศาสนา นี่คือท่าทีทางการ แต่ท่าทีที่ไม่เป็นทางการก็คือพยายามที่จะใ ห้พุทธศาสนาเท่านั้นเป็นศาสนาประจำชาติ เนื่องจากมีความไม่ค่อยชอบใจผู้ใดก็ตามที่เป็น คาทอลิกหรือผู้ใดก็ตามที่ติ ดสอยห้อยตามชาวฝรั่งเศส ไม่ว่าจะด้านศาสนาหรือว่าด้านการเมือง หรือว่าด้านใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส จะเป็น ทางวิทยุก็ดี ทางสื่อต่างๆ หรือว่าทางหนังสือพิมพ์ ก็พยายามที่จะให้คนไทยทั้งหมดถือว่าตนเป็นคนพุทธ และต้องพย ายามรักษาศาสนาพุทธไว้ให้ได้ เพราะว่าศาสนาคาทอลิกจะมาทำลายศาสนาพุทธ ประชาชนทั้งประเทศตอนนั้นเกิดคว ามรู้สึกต่อต้านและเกลียดชังศาสนาคาทอลิก จนทำให้ประชาชนตามจังหวัดต่างๆ ด้วยการสนับสนุนทางอ้อม ไม่เปิดเ ผยของพวกนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ในตอน นั้น ส่งเสริมและไม่ห้ามปรามด้วย ให้มีกลุ่มขึ้นมาตามจังห วัดต่างๆ เรียกว่าคณะเลือดไทย เป็นเหมือนกับผู้แทนประชาชนที่จะต่อต้านศาสนาคาทอลิกมีการเผาวัด มีการออกจด หมายเวียนเพื่อเชิญชวนทุกคนไม่ให้คบค้าสมาคม ไม่ให้ซื้อของที่เป็นของคนคริสต์ ไม่ขายของให้ ไม่ติดต่อ ซึ่งทำให้ ความรู้สึกของบรรดาคริสตชนทั้งหมดตอนนั้นมีความรู้สึกหวาดกลัว ไม่ค่อยกล้าที่จะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นคาทอลิก"

ท่านยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คณะเลือดไทยประสพความสำเร็จในการทำงานของพวกเขา:

"คณะเลือดไทยประสพความสำเร็จในลักษณะที่ว่า มีการทำลายล้างเกิดขึ้น มีการเผาวัด มีการทำร้ายร่างกายค นที่เป็นคาทอลิก มีการทำร้ายร่างกายคนที่เป็นพระสงฆ์คาทอลิกโดยเฉพาะ มีการปล้นสะดม มีการสั่งปลดไม้กางเขนอ อกจากวัด มีการขู่ทำร้าย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ทั่วไปในประเทศไทย"

วิถีชีวิตของพวกคาทอลิกได้รับผลกระทบ คุณพ่อสุรชัยได้อธิบายว่า:

"เมื่อนายอำเภอของแต่ละอำเภอหลายๆ แห่งในประเทศไทยได้จัดให้มีการรวมชุมนุมคริสตังแล้วสั่งว่าถ้าหาก ไม่กลับใจมานับถือศาสนาพุทธก็จะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ในตอนนั้นผลกระทบต่อคริสตังก็คือมีคริส ตังบางคนที่หวาดกลัวมากจนกระทั่งยอมเปลี่ยนศาสนาไป โรงเรียนคริสตังของเราทั้งหมดต้องถูกสั่งให้ปิดและนักเรียน ต้องไปเรียนโรงเรียนพุทธ

เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจถึงสถานการณ์การเบียดเบียนศาสนาในเวลานั้นไม่เฉพาะจากเอกสารต่างๆ เท่านั้น แต่ยังทราบได้จากคำให้การของบรรดาพยานผู้ซึ่งได้มีประสบการณ์การเบียดเบียนด้วยวิธีการใด วิธีการหนึ่ง เราจะสรุปได้ด้วยว่ามี "ความเกลียดชังความเชื่อ" และผลก็คือการเบียดเบียนศาสนาทั่วประ เทศไทย ความเกลียดชังความเชื่อคาทอลิกนี้เป็นเหตุผลข้อใหญ่ให้เกิดการจับกุม, การใส่ความ และพิพา กษาลงโทษผู้รับใช้ของพระเป็ นเจ้า ในที่สุด ผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าได้ยอมรับความตายในคุกตามน้ำพระ ทัยของพระเป็นเจ้า ความตายทั้งทางตรงและทางอ้อมของท่านเป็นความตายแบบมรณสักขี.