โดย คุณพ่อ ว. ลาร์เก
ทบทวนโดย คุณพ่อ สุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์

พระสังฆราช ปีแอรฺ ลังแบรต์ เดอ ลา ม็อต ตั้งศูนย์ที่กรุงศรีอยุธยา

พระสังฆราช ปีแอรฺ ลังแบรต์ เดอ ลา ม็อต ไม่ได้รับอำนาจในการปกครองมิสซังสยามโดยเฉพาะ แต่ท่านเป็น 1 ในพระสังฆราชจำนวน 3  คน ที่พระสันตะปาปาทรงแต่ง ตั้งให้เป็นประมุขมิสซังสำหรับภาคตะวันออกไกล ซึ่งเวลานั้นในดินแดนแถบนี้ยังไม่ได้เป็นดินแดนมิสซัง จึงยังไม่มีพระสังฆราชองค์ใดมาปกครองโดยเฉพาะ บรรดาประมุขมิสซังได้รับหน้าที่ให้ไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศต่าง ๆ ทางตะวันออกไกล ตามเ ขตพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย และพระสันตะปาปายังทรงมอบอำนาจให้ประมุขมิสซังเหล่านี้ทำการบวชพระสงฆ์พื้นเมือง และมีสิทธิในการเลือกและแต่งตั้งพระสังฆราชสำหรับปกครองสังฆมณฑล ๆ หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสมควร
พระสังฆราช ลังแบรต์ ออกเดินทางโดยทางเรือ พร้อมกับคุณพ่อ เดอ บูร์ช และคุณพ่อ เดดีเอร์ ท่านทั้งสามเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศสยาม ในวันที่ 22 สิงหาคม 1662 ส่วนคณะของพระสังฆราช ปัลลือ ได้เดินทางมาถึงวันที่ 27 มกราคม 1664

อันที่จริงกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่จุดหมายปลายทางของธรรมทูตคณะนี้ เพราะสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อต้องการให้ธรรมทูตคณะนี้ไปเผยแพร่ศาสนายังแคว้นตังเกี๋ย แคว้ นโคชินไชนา และจีน แต่เนื่องจากขณะนั้นดินแดนเหล่านี้กำลังถูกเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง และไม่สามารถจะดั้นด้นเข้าไปได้ พวกธรรมทูตเหล่านี้จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาก่อน ต่อมา พระสังฆราช ลังแบรต์ และคุณพ่อ เดดีเอร์ ได้พยายามที่จะเดินทางไปยังประเทศจีน แต่เรือถูกพายุอับปาง ต้องเดินทางกลับมาที่กรุงศรีอยุธยาอีก คราวนี้ได้ไปอาศัยอยู่ในค่ายของพวกคริสตังญวน

พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามในเวลานั้นคือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสุขุม ทรงเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ติดต่อผูกสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ยังผลให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ทำให้ประเทศมั่งคั่ง รัชสมัย ของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็นสมัยที่เจริญรุ่งเรือง ประเทศสยามมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เป็นที่นัดพบของบรรดาพ่อค้าที่มาจา กชาติต่าง ๆ เป็นต้น ชาวโปรตุเกส อังกฤษ ฮอลันดา สเปน เยอรมัน กรีก อารเมเนีย และจีน นอกจากนี้ ยังเป็นที่ลี้ภัยของคริสตัง ญวน และญี่ปุ่น ที่หนีการเบียดเบียนศาสนามาจากประเทศของตน  มีผู้กล่าวว่า ในสมัยนั้น ในประเทศสยามมีชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่ถึง 43 ชาติ

เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์
ต่อมาไม่นาน ทางราชสำนักทราบว่า พระสังฆราช ลังแบรต์ และคณะ มาพำนักอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์ทรงปรารถนาใคร่จะพบปะกับท่าน พระสังฆราชและบรรดามิชชันนารีจึงเดินทางไปยังเมืองละโว้ (ลพบุรี) อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่ นดิน การเข้าเฝ้าครั้งนี้เป็นการเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการ เพราะตามประเพณีไทย อนุญาตให้เฉพาะคณะทูตเข้าเฝ้าอย่างเป็น ทางการเท่านั้น อย่างไรก็ดี พระสังฆราชและคณะได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติ จนพระสังฆราช ลังแบรต์ รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอนุญาตให้ท่านพำนักอยู่ในราชอาณาจักรสยาม

พระราชทานที่ดินและวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างวัด

1.สร้างวัดชั่วคราวและโรงเรียน
ปี ค.ศ. 1665 พระสังฆราช ลังแบรต์ ทูลขอพระบรมราชานุญาตก่อสร้างโรงเรียน เมื่อทูลขอเสร็จแล้ว พระสังฆราชเสริมว่า เดชะพระทัยดีของพระองค์ จะได้สร้างวัดหลังหนึ่ งเพื่อประกอบศาสนพิธี (ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อเราพูดถึงบ้านเณรในเวลานั้น จะหมายถึงวัด บ้านพักพระสงฆ์ สำนักพระสังฆราช และโรงเรียน)
สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำ และทรงสัญญาจะพ ระราชทานวัสดุต่าง ๆ สำหรับใช้ในการสร้างวัดด้วย ในปี ค.ศ. 1666 ได้เริ่มลงมือก่อสร้างโรงเรียนเป็นอิฐ และสร้างวัดชั่วคราวเป็นไม้ ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า "ค่ายนักบุญยอแซฟ" 
คุณพ่อ ลาโน เห็นว่า จำเป็นต้องเรียบเรียงคำสอนเป็นภาษาไทย และแปลบทสวดที่สำคัญ ๆ ท่านจึงได้แต่งหนังสือเล่มเล็ก ๆ ขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า "มีพระผู้เป็นเจ้า" และข้ออัตถ์ลึกซึ้งเรื่องการรับเป็นมนุษย์และการไถ่บาป

2.สร้างสามเณราลัยใหญ่
ประมุขมิสซังทั้งสององค์ คือ พระสังฆราช ลังแบรต์ และพระสังฆราช ปัลลือ พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การอบรมพระสงฆ์พื้นเมืองได้ผลดี จำต้องเร่งก่อตั้งสามเณราลัยขึ้นโดยเ ร็ว ให้คนหนุ่ม ๆ ที่มีกระแสเรียก และมีความตั้งใจในการเป็นพระสงฆ์ จากมิสซังต่าง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของประมุขทั้งสอง ได้รับการอบรมในสามเณราลัย พระสังฆราชทั้งสองจึงตกลงใจก่อตั้งสามเณราลัยขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา

3.สร้างโรงพยาบาล
โครงการต่อมาของพระสังฆราช ลังแบรต์ คือ ตั้งโรงพยาบาลขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งในปี ค.ศ. 1669 ได้สร้างเป็นโรงเรือนหลังเล็ ก ๆ ครั้งแรกรับคนป่วย 3-4 คน ต่อมาเพิ่มเป็น 10 คน หมอประจำโรงพยาบาลก็คือ คุณพ่อ ลาโน นั่นเอง เนื่องจากท่านได้เคยศึ กษาวิชาแพทย์มาจากประเทศฝรั่งเศสอยู่บ้าง จึงเป็นโอกาสที่ได้ใช้ความรู้และแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อมาไม่ถึง 10 ปี โ รงพยาบาลแห่งนี้มีตึกเพิ่มเป็น 2 หลัง หลังหนึ่งสำหรับคนไข้ชาย อีกหลังหนึ่งสำหรับคนไข้หญิง จำนวนคนไข้แห่งนี้เคยมีถึง 90 คน

ในบริเวณโรงพยาบาลยังมีโรงจ่ายยา ซึ่งมีคนไข้มาขอรับการรักษาถึงวันละ 200-300 ราย การรักษากระทำไปโดยไม่ได้เรียกร้องอะไร และเมื่อคนไข้กลับบ้าน ทางโรงพยาบาลยังแถมเสบียงสำหรับเดินทางให้อีกด้วย พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบกิตติศัพท์ใ นเรื่องนี้ พระองค์ได้ทรงฝากเก้าอี้ทองตัวหนึ่ง คล้ายกับธรรมาสน์ในพระพุทธศาสนา มาพระราชทานแก่พวกมิชชันนารี เก้าอี้ตัว นี้ได้ถูกยกไปตั้งไว้ในวัดเพื่อใช้เป็นอาสนะของพระสังฆราช  นอกจากคุณพ่อ ลาโน ซึ่งรับหน้าที่เป็นหมอแล้ว ยังมี เรอเน ชาร์บ อโน (Ren? Charbonneau) ซึ่งเป็นภราดาในคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส เขาเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารี รับหน้าที่เป็นบุรุษพยาบาลที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และที่พิษณุโลก

การเข้าเฝ้าของบรรดามิชชันนารีในปี ค.ศ. 1669
ปี ค.ศ. 1669 พระสังฆราช ปัลลือ ได้ทูลขอต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ให้ทรงส่งพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้เชิญพระสมณสารของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 9 มา ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนารายณ์ด้วย ฝ่ายสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อทรงทราบว่า พระสังฆราชฝรั่งเศส 2 องค์มีสาสน์และเครื่องบรรณาการมาถวาย ก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าอย่างสง่า ในวันที่ 18 ตุลาคม 1673 ตามพระราชประเพณีสมัยนั้น ผู้เข้าเฝ้าจะต้องถอ ดรองเท้า และหมอบกราบลง หน้าจรดพื้น แต่สมเด็จพระนารายณ์โปรดเกล้าฯอนุญาตให้พระสังฆราชทั้งสอง "ไม่ต้องถอดรองเ ท้า ให้นั่งบนพรมที่ปักอย่างงามวิจิตร และแสดงความเคารพตามธรรมเนียมยุโรป" ทั้งนี้ โดยเห็นแก่ศักดิ์ของผู้ที่พระสังฆราชทั้ งสองเป็นผู้แทน พระสังฆราช ปัลลือ และพระสังฆราช ลังแบรต์ ได้รับพระราชทานเสื้อไหมสีม่วง ส่วนคุณพ่อ ลาโน ได้รับพระราชทานเสื้อไหมสีดำ

กรุงโรมตั้งเทียบสังฆมณฑลสยาม
วันที่ 4 กรกฎาคม 1669 กรุงโรมได้ตั้ง "เทียบสังฆมณฑลสยาม" และให้พระสังฆราช ปัลลือและพระสังฆราช ลังแบรต์ แต่งตั้ง ประมุขมิสซังองค์หนึ่งสำหรับมิสซังนี้ อาศัยอำนาจที่ได้รับ พระสังฆราชทั้งสองได้ตกลงเห็นชอบและแต่งตั้งคุณพ่อ ลาโน ให้เป็นประมุขมิสซังสยามในปี ค.ศ. 1673 แต่พระสังฆ ราชองค์ใหม่ยังคงถือว่าตนเป็นผู้ช่วยของพระสังฆราช ลังแบรต์ อยู่

พระสังฆราชได้ป่วยมาเป็นเวลาหลายเดือน ท่านมีความเพียรทนต่อความเจ็บปวดอย่างน่าพิศวง พระสงฆ์องค์หนึ่งกล่าวว่า "ท่า นได้ทนทรมานเท่าที่ท่านจะทนทรมานได้" และในวันที่ 15 มิถุนายน 1679 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณภาพ พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดเกล้าฯให้นายทหารคนสำคัญเป็นผู้แทนพระองค์มาในพิธีปลงศพด้วย

พระสังฆราชลาโน ประมุของค์แรกของมิสซังสยาม

พระสังฆราช ลาโน เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาวันที่ 27 มกราคม 1664 พร้อมกับพระสังฆราช ปัลลือ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอธิ การองค์แรกของสามเณราลัยที่อยุธยา ท่านเป็นผู้สร้างวัดที่พิษณุโลกในรูปแบบเดียวกับที่อยุธยา คือ มีทั้งโบสถ์ โรงเรียนชาย-หญิง และโรงพยาบาล และเป็นผู้สร้างวัดคอนเซ็ปชัญ และโรงพยาบาลที่บางกอก
ได้รับอภิเษกเป็นพระสังฆราชในปี ค.ศ. 1674 เป็นประมุขมิสซังสยาม และมิสซังนานกิง ในประเทศจีน จนถึงปี ค.ศ. 1679 กรุ งโรมได้แต่งตั้งท่านเป็นประมุขมิสซังโคชินไชนา และมิสซังญี่ปุ่นด้วย  เมื่อพระสังฆราช ลังแบรต์ มรณภาพแล้ว พระสังฆราช ล าโน ยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองทั่วไปในมิสซังต่าง ๆ ในประเทศจีน ร่วมกับพระสังฆราช ปัลลือ ด้วย ดังนั้น วัดนักบุญยอแซฟจึงเป็นศูนย์กลางของมิสซังต่าง ๆ ในภาคตะวันออกไกล

ความเจริญก้าวหน้าของกลุ่มอยุธยา

1.จำนวนมิชชันนารีเพิ่มขึ้น
เมื่อพระสังฆราช ปัลลือ และพระสังฆราช ลาโน เดินทางมาประเทศสยามในปี ค.ศ. 1664 นั้น มีมิชชันนารีติดตามมาด้วย 7 องค์ แต่เสียชีวิตกลางทาง 5 องค์ จึงเหลือมิชชันนารีเพียง 2 องค์ ในระหว่าง ปี ค.ศ. 1674-1679 มีมิชชันารีเดินทางเข้ามาช่วยง านอีก 11 องค์ ต่อมาได้เสียชีวิตไป 4 องค์ และเดินทางไปประเทศจีน 2 องค์ ในปี ค.ศ. 1680-1688 มีมิชชันนารีฝรั่งเศสอยู่ในประเทศสยามทั้งหมด 15-20 องค์

2.สร้างวัดนักบุญยอแซฟเป็นตึกถาวร  
ด้วยพระเมตตาของสมเด็จพระนารายณ์ หลังจากที่พระสังฆราชลังแบรต์มรณภาพแล้ว พระสังฆราชลาโนได้ก่อสร้างวัดนักบุญยอแซฟหลังใหม่อย่างถาวร ทำพิธีเสกและเปิดวันที่ 25 มีนาคม 1685 คุณพ่อ อันโตนีโอ ปินโต กล่าวว่า : "แม้วัดนี้จะเห็นข้อบกพ ร่อง และขาดเครื่องประดับทั้งภายในภายนอกก็ตาม แต่ในประเทศสยาม ยังไม่มีวัดหรืออาคารใดเปรียบเทียบกับวัดนี้ได้ ชาวโปรตุเกสเห็นว่าวัดนี้สวย มีข้าราชการและสตรีในพระราชวังมาที่วัดนี้บ่อยๆ"

แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย และเกิดการเบียดเบียนศาสนาขึ้น หลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์สวรรคตแล้วในปี ค.ศ. 1688 ก็ตาม แต่การประดับตกแต่งทั้งภายในและภายนอกวัดก็ยังคงดำเนินต่อไปจนสำเร็จ

3.สร้างโรงเรียนครูคำสอนในเขตวัดอยุธยา
สิ่งหนึ่งที่พระสังฆราช ลาโน จัดตั้ง คือ คณะครูคำสอน ท่านรับเป็นธุระในการอบรมชายหนุ่มจำนวนประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นศิษ ย์เก่าของบ้านเณรใหญ่ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะพระสงฆ์มีจำนวนน้อย  ถ้าหากว่า ในสมัยแรก ๆ นั้น ฆราวาสไม่ได้ช่วยพระสงฆ์ในการประกาศศาสนาและอื่น ๆ มิสซังจะเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรือ?

4.สร้างสามเณราลัยใหญ่ที่มหาพราหมณ์
บ้านเณรที่กรุงศรีอยุธยานั้น รวมถึงวัด บ้านพักพระสงฆ์ สำนักพระสังฆราช และโรงเรียนด้วย ทั้งคริสตังและคนต่างศาสนาพากัน มาที่นั่นไม่ขาดสาย พวกเณรจึงขาดความสงบ ไม่มีสมาธิในการเรียน พระสังฆราช ลาโน จึงตัดสินใจสร้างบ้านเณรใหญ่ขึ้นที่ตำบลมหาพราหมณ์ ซึ่งอยู่ห่างจากอยุธยาประมาณ 10 กม. บนที่ดินที่สมเด็จพระนารายณ์ได้พระราชทานให้

ในเวลานั้นมีสามเณรเล็กและใหญ่อย่างละเท่า ๆ กัน คือ ประมาณ 30 คน ในปี ค.ศ. 1686 จำนวนสามเณรมีเกือบถึง 80 คน ในบรรดาอาจารย์บ้านเณร มีคุณพ่อ ดือแชสน์ ซึ่งเป็นนักเทวศาสตร์ และนักกฎหมายพระศาสนจักรที่เชี่ยวชาญ และคุณพ่อ ปัสโก ต์ ทุกเดือนท่านจัดให้เณรโต้วาทีเกี่ยวกับเรื่องปรัชญา หลักสูตรของบ้านเณรที่ทราบแน่ชัดคือ มีการสอนภาษาลาติน ปรัชญา แล ะเทวศาสตร์ พระสังฆราช เดอ ซีเซ กล่าวว่า "บ้านเณรแห่งนี้มีวิทยฐานะเทียบเท่าวิทยาลัยต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยปารีส” เพราะ ฉะนั้น คงมีการสอนทุกอย่างที่เกี่ยวกับความรู้เรื่องมนุษย์ และเรื่องโลก (วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์)  ภาษาที่สอนเข้าใจว่าเป็นภาษาลาตินและฝรั่งเศส

5.จัดการโต้วาทีครั้งใหญ่
บรรดาอธิการของคณะดอมินิกัน ฟรังซิสกัน และเยซูอิต ซึ่งเป็นชาวโปรตุเกสในกรุงศรีอยุธยา แสดงความสงสัยว่า สามเณรใหญ่ที่กำลังเรียนอยู่ในบ้านเณรใหญ่ของพระสังฆราช ลาโน นั้น คงไม่มีความรู้ลึกซึ้งแต่อย่างใดในเรื่องภาษาลาติน ปรัชญา และเทว ศาสตร์ พระสังฆราช ลาโน จึงจัดให้มีการโต้วาทีในโอกาสที่ทูตฝรั่งเศสเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี ค.ศ. 1685 โดยมีการโต้วาทีเป็นภาษาลาตินในระหว่างอธิการทั้งสามของคณะนักบวชโปรตุเกสฝ่ายหนึ่ง กับบรรดาสามเณรใหญ่ ต่อหน้าคณะทูตฝรั่งเศ สและโปรตุเกส สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงส่งผู้แทนมาฟังด้วย พระสงฆ์คณะฟรังซิสกันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยตั้งปัญหาปรัชญาและเทวศาสตร์หลายข้อ แต่พวกสามเณรก็ตอบได้ทุกปัญหา จึงให้พระสงฆ์คณะเยซูอิตเป็นผู้ตั้งปัญหาต่อ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะไ ด้อีกเช่นกัน เมื่อมาถึงปัญหาของอธิการคณะ ดอมินิกัน ท่านตั้งใจจะให้บรรดาสามเณรตอบปัญหาไม่ได้ จึงตั้งปัญหายาก ๆ แต่กลับตรงกันข้าม บรรดาสามเณรสามารถตอบปัญหาได้หมดทุกข้อ และอย่างชัดเจน จนคณะอธิการทั้งสามคณะได้กล่าวชมเชยใ นความรู้ และความเฉลียวฉลาดของบรรดาสามเณร ทั้งชมความสามารถของอาจารย์ ที่ได้ประสบผลสำเร็จอันงดงามเช่นนี้ ส่วน เดอ ชัวซี (Abbe de Choisy) ที่เดินทางมาพร้อมกับทูตฝรั่งเศส ถึงกับกล่าวว่า "ข้าพเจ้าคิดว่ากำลังอยู่ที่สามเณราลัย แซงต์ ลาซาร์ ที่กรุงปารีสเสียอีก"

สามเณรคนหนึ่งเป็นที่สังเกตของคนทั้งหลาย สามารถตอบปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม เขาชื่อ อันโตนิโอ ปินโต บิดาเป็นชาวโปรตุเกส มารดาเป็นคนไทย ต่อมา เขาได้ติดตามคณะทูตไทยรุ่นแรกไปประเทศฝรั่งเศส และได้บรรยายความรู้ในเรื่องทางเ ทวศาสตร์ ที่สามเณราลัยคณะมิสซังต่างประเทศ ที่อาสนวิหารนอตร์ดาม และที่มหาวิทยาลัยซอร์บอน ต่อมา ปินโตได้บรรยายความรู้ทางเทวศาสตร์อีกครั้งหนึ่งเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระสันตะปาปา คณะพระคาร์ดินัล และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่กรุงโรม มีผู้เขี ยนไว้ว่า "พระสันตะปาปาทรงพอพระทัยมาก ถึงกับรับสั่งให้บวชอันโตนิโอเป็นพระสงฆ์ มีอายุเพียง 22 ปี ทั้งนี้ เป็นการยกเว้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พระองค์ทรงถือว่าปินโตสมควรจะได้เป็นสังฆราชสืบแทนประมุขมิสซังองค์ใดองค์หนึ่ง"

พระสังฆราช ลังแบรต์ และพระสังฆราช ลาโน ได้ตั้งกลุ่มคริสตชนอยุธยาบนรากฐานที่มั่นคง แม้จะเกิดการเบียดเบียนศาสนาและการปล้นต่าง ๆ แต่คริสตชนกลุ่มนี้สามารถรื้อฟื้นขึ้นใหม่ พระสังฆราช ลาโน ถึงแก่มรณภาพวันที่ 16 มีนาคม 1696 พิธีปลง ศพเป็นไปอย่างสง่า คุณพ่อ อันโตนิโอ ปินโต เป็นผู้กล่าวคำไว้อาลัย ศพของพระสังฆราชฝังไว้ในวัดนักบุญยอแซฟ ที่อยุธยา
เหตุการณ์ในสมัยพระสังฆราช เดอ ซีเซ (1700-1727)

กษัตริย์กรุงสยามที่ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ “ห้ามมิให้มิชชันนารีไปเผยแพร่ศาสนาในที่แห่งใหม่ และห้ามมิให้ไปประกาศศาสนาห่างไกลจากราชสำนัก” พระสังฆราชจึงใช้วิธีส่งครูคำสอนไปทำงานแ พร่ธรรมตามวัดน้อยต่าง ๆ ที่เปิดแล้ว คำสั่งห้ามของพระเพทราชานี้ได้มีผลบังคับใช้มาตลอดทุกรัชสมัยกรุงศรีอยุธยา

ที่วัดอยุธยาในสมัยนั้น มีครอบครัวฝรั่งอยู่ประมาณ 20 ครอบครัว มีคริสตังไทยประมาณ 80-90 คน มีคริสตังญวนประมาณ 500 คน คริสตังเหล่านี้ได้มาร่วมศาสนพิธีที่วัดอย่างสม่ำเสมอ เวลาค่ำยังมาชุมนุมสวดภาวนาพร้อมกัน หมู่บ้านคริสตังที่อยุธยานี้จัดต ามแบบหมู่บ้านคริสตังในอินโดจีน คือ มีหัวหน้าคนหนึ่ง กับรองหัวหน้าจำนวนหนึ่ง ปกครองภายใต้การควบคุมดูแลของพระสงฆ์ หัวหน้าและรองหัวหน้าต้องรู้เรื่องทั้งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านคริสตัง ต้องมีหน้าที่ชำระข้อพิพาท ปรับค่าสินไหมคนที่ทำผิดให้ติดขื่อ ห รือติดคุก นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่เป็นผู้นำสวดพร้อมกัน เยี่ยมคนป่วย พยาบาลคนไข้ให้ตายในศีลในพรของพระ และรายงานให้พระสงฆ์ทราบถึงความเป็นไปของคริสตังทุกคน

การกลับใจที่อยุธยามีน้อยมาก พระสังฆราช เดอ ซีเซ ได้บันทึกไว้ว่า "ตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ 12 ปี มีผู้ใหญ่กลับใจไม่ถึง 100 ค น" ปี ค.ศ. 1723 คุณพ่อ โอมองต์ ได้โปรดศีลล้างบาปให้แก่ผู้ใหญ่ 9 คน พระสังฆราชและมิชชันนารีไปเยี่ยมคนป่วยถึงบ้าน ทั้งในเมืองและตามหมู่บ้านรอบ ๆ ในรัศมีประมาณ 20 กม. โดยไม่คิดค่ารักษาพยาบาล และแจกยารักษาโรคให้ด้วย พระสังฆรา ช เดอ ซีเซ กล่าวว่า "ข้าพเจ้าระวังมิให้ใครเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติแสดงเมตตาจิตอันนี้" ซึ่งพระสังฆราช ลาโน เป็นผู้ตั้งขึ้น

เหตุการณ์ในสมัยพระสังฆราช เดอ เกราเล (1727-1736)
ในสมัยนี้ พระสังฆราช พระสงฆ์ และบรรดาคริสตังถูกเบียดเบียนอย่างหนัก

1.ตอนแรกของการเบียดเบียน
พระสังฆราชและมิชชันนารีไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีการเบียดเบียน เพราะในปี ค.ศ. 1727-1728 การติดต่อกับข้าราชการและบรรดาเจ้านายต่าง ๆ ในพระราชวังยังเป็นไปด้วยดี ต่อมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงอัครเสนาบดีคนใหม่ และพระอนุชาพระองค์ห นึ่งของพระเจ้าแผ่นดิน ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับมิชชันนารีและคริสตัง สาเหตุ 2 ประการนี้ ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น
การเบียดเบียนเริ่มขึ้นคือ สามเณรเชื้อสายจีนคนหนึ่งชื่อ เต็ง มารดาได้ยกให้พระสังฆราช โดยได้รับพระบรมราชานุญาต ต่อมา ครอบครัวของสามเณรเต็งต้องการขอตัวคืน พระอนุชาองค์นั้นสนับสนุนคำขอนี้ สามเณรเต็งได้ออกจากบ้านเณร เข้าเฝ้าพระอนุ ชา พระอนุชาสั่งให้ถอดเสื้อดำ ให้เหยียบกางเขนและไว้พระพุทธรูป สามเณรเต็งก็เคารพเชื่อฟัง และยังยอมสวมผ้าเหลืองด้วย และเมื่อเจ้านายที่เคยเบียดเบียนสามเณรเต็ง กับเสนาบดีคนใหม่ ได้อ่านหนังสือบางเล่มที่พระสังฆราช ลาโน เขียนกล่าวถึงพร ะพุทธศาสนา ก็รู้สึกขุ่นเคืองบรรดามิชชันนารีมากขึ้น

2.การสอบสวนพระสังฆราช พระสงฆ์ และอนุสงฆ์ ในปี ค.ศ. 1730
การห้ามที่สำคัญ และมีผลบังคับใช้จนถึงปี ค.ศ. 1932
ต้นเดือนตุลาคม 1730 พระสังฆราช เดอ เกราเล, คุณพ่อ เลอแมร์ และอุปสงฆ์ 2 องค์ กับรองอุปสงฆ์ 1 องค์ ถูกเรียกตัวขึ้นศาล ซึ่งมีอัครเสนาบดีนั่งเป็นประธาน อัครเสนาบดีได้ไต่ถามพระสังฆราชหลายอย่าง และตำหนิว่าทำการหลอกลวงประชาชน บังคั บคนไทยให้ถือศาสนาคาทอลิก ฯลฯ ที่สุด อัครเสนาบดีกำชับพระสังฆราช เกราเล ในนามของพระเจ้าแผ่นดินว่า :

1.ไม่ให้เขียนหนังสือคาทอลิกเป็นภาษาไทยและภาษาบาลี
2.ไม่ให้ประกาศศาสนาคาทอลิกแก่คนไทย มอญ และลาว
3.ไม่ให้ชักชวนคน 3 ชาติ มาเข้าศาสนาเป็นอันขาด
4.ไม่ให้โต้แย้งศาสนาไทย

เมื่ออ่านข้อห้ามทั้ง 4 ให้ฟังแล้ว อัครเสนาบดีถามว่า "พระสังฆราชจะตอบว่ากระไร? จะยอมเชื่อฟังพระบรมราชโองการของพร ะเจ้าแผ่นดินหรือไม่?" พระสังฆราชตอบว่า "เนื่องจากคำถามนี้มีความสำคัญมาก อาตมาขอเวลาคิดให้รอบคอบก่อนสัก 2-3 วั น" อัครเสนาบดียังคงรบเร้าให้พระสังฆราชตอบ ขุนนางผู้หนึ่งชื่อจักรี เสริมว่า "ถ้าท่านเคารพเชื่อฟังพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะมีชี วิตอย่างผาสุกเหมือนดังแต่ก่อน ถ้าท่านไม่ยอมน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินก็คือ ตัดหัวท่าน" พระสังฆราชตอบว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นการสมควรให้เรากลับไปบ้านเมืองของเรา ถ้าไม่ยอมให้เรากลับไป ก็ขอให้ฆ่าเราเสีย เพราะเราจะยอมตามที่ท่านเสนอน ี้ไม่ได้" อัครเสนาบดีถามว่า "พระสงฆ์อื่น ๆ มีความเห็นอย่างเดียวกันนี้ด้วยหรือ?" พระสงฆ์ทุกองค์ตอบว่า “มีความเห็นอย่างเดี ยวกันกับพระสังฆราช” อัครเสนาบดีจดชื่อเขาไว้ แล้วให้กลับไป วันรุ่งขึ้น คริสตังหลายคนถูกจับ สามเณราลัยถูกค้นและยึดเอาหนังสือไป

วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตั้งแต่วัดนักบุญยอแซฟที่พระสังฆราช ลาโน สร้าง ถูกเผาทำลายเป็นเถ้าถ่าน ในปี ค.ศ. 1767 นั้น จนถึงปี ค.ศ. 1830 ไม่มีพระ สงฆ์อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาอีกเลย ทั้ง ๆ ที่ยังมีคริสตังหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง แต่กระจัดกระจายอยู่ในเขตจังหวัดอยุธยา ไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเหมือนแต่ก่อน

พระสังฆราช บรรดามิชชันนารี และนักบวชโปรตุเกส ก็ถูกจับเป็นเชลย เมืองหลวงถูกทำลาย พระเจ้าตากสินโจมตีทหารพม่าแต่พ่ายไป และทรงตั้งเมืองบางกอกขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ 

บรรดามิชชันนารีที่เคยสอนที่บ้านเณร และบรรดาสามเณรได้หนีไปอยู่ที่จันทบุรี และเปิดสามเณราลัยใหม่ที่นั่น  ส่วนคริสตังโปร ตุเกสที่ออกจากอยุธยาได้ทัน ได้นำเอารูป "พระตาย" ที่มีความสวยงามที่สุดไปด้วย และหนีลงมาที่บางกอก ขอพระราชทานที่ดิน จากพระเจ้าตากสิน เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและสร้างวัด พระองค์ได้พระราชทานที่ดิน 9 ไร่เศษ พวกคริสตังได้สร้างวัดขึ้นหลังหนึ่งบน ที่ดินผืนนี้ เป็นวัดไม้ ยกพื้นสูง วัดนี้รู้จักกันในปัจจุบันว่า "วัดกาลหว่าร์" ในเวลานั้น มีคริสตังไทยเชื้อสายโปรตุเกส 413 คน และคริสตังญวนที่หนีลงมาด้วยกันอีก 580 คน

เมื่อคุณพ่อ กอร์ กลับจากประเทศเขมร และได้พาคริสตังโปรตุเกสในเขมร พร้อมทั้งคนรับใช้ของพวกเขาเหล่านั้นมาด้วย ด้วยความมีพระทัยเมตตากรุณาของพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ได้ทรงพระราชทานที่ดินให้พวกเขาเหล่านั้นสร้างวัด และที่พักอาศัย อั นเป็นต้นกำเนิดของวัดคอนเซ็ปชัญในปัจจุบัน ส่วนคริสตังโปรตุเกสที่หลบหนีจากการโจมตีของพม่าคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ได้มา ตั้งบ้านเรือน และสร้างวัดใหม่ที่ซางตาครู้ส ดังนั้น ในกรุงเทพฯมีถึง 3 วัดในเวลานั้น พระสงฆ์ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ และพระสงฆ์พื้นเมืองก็มีจำนวนน้อย บางครั้งต้องอาศัยมิชชันนารีจากอินโดจีนมาช่วยฟังแก้บาป

เมื่อเราพิจารณาจากอุปสรรคต่าง ๆ ในการเผยแพร่ศาสนาแล้ว เป็นต้น การที่บรรดามิชชันนารีถูกใส่ความ ถูกจำคุก และถูกเนรเทศ จะเห็นได้ว่า การที่จะกลับไปแพร่ธรรมที่อยุธยาในเวลานั้น เป็นเรื่องที่ลำบาก ต้องคอยจนกว่าสถานการณ์ในประเทศจะสง บลง และให้พระศาสนจักรได้ตั้งรากฐานที่มั่นคงในกรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่เสียก่อน เพื่อคอยโอกาสอันเหมาะสม คือ ปี ค.ศ. 1830

ตั้งหมู่บ้านคริสตังที่อยุธยา
ในปี ค.ศ. 1830 คุณพ่อ ปัลเลอกัว ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ และเรียนรู้ภาษาไทยดีพอสมควร ได้ขอพระคุณเจ้า ฟลอรังส์ ไปอยู่อยุธยา ซึ่งไม่มีพระสงฆ์สักองค์ไปอยู่เลย นับตั้งแต่เมืองถูกพม่าเผาทำลาย คริสตังที่นั่นอยู่ในสภาพที่แย่มาก ทั้งทางด้านวั ตถุและด้านจิตใจ สิ่งแรกที่คุณพ่อได้ทำ คือ  เริ่มซื้อที่ดินรอบ ๆ วัดเก่า ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านคริสตังมาก่อน แต่หลังจากที่ คริสตังญวนที่ไม่ได้ตกเป็นเชลย ได้หนีอพยพไปอยู่บริเวณอื่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1767 แล้ว ก็มีผู้มายึดเอาที่ดินผืนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ คุณพ่อ ปัลเลอกัว เริ่มแผนการก่อสร้างวัดด้วยการซื้อที่ดินผืนดังกล่าวกลับคืนมา และรวบรวมคริสตังญวนที่อยู่กระจัดกระจายให้ มาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านคริสตัง ในปี ค.ศ. 1834 เมื่อพระสังฆราช ฟลอรังส์ถึงแก่มรณภาพแล้ว พระสังฆราช กูรเวอซี ได้รับอภ ิเษกเป็นพระสังฆราชองค์ต่อมา พระคุณเจ้าได้เรียกคุณพ่อ ปัลเลอกัว กลับมาอยู่ที่ซางตาครู้ส เพื่อจัดการสร้างวัดไม้ แทนวัดหลั งเก่าที่ผุพัง พระสังฆราช กูรเวอซี ได้รับมอบหมายจากสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ ให้เตรียมแบ่งแยกมิสซังสยามออกเป็น 2 ส่วน ดังนั้น ในปี ค.ศ.1835 พระสังฆราช กูรเวอซี ได้แต่งตั้งคุณพ่อ ปัลเลอกัว เป็นอุปสังฆราช เพื่อดูแลพระศาสนจักรในสยา มเป็นพิเศษ และท่านได้เดินทางไปสิงคโปร์

คุณพ่อ อัลแบรต์ เจ้าอาวาสองค์ที่หนึ่ง (1835-1851)
ปี ค.ศ. 1835 คุณพ่อ ปัลเลอกัว ซึ่งเป็นอุปสังฆราช ได้ให้คุณพ่อ อัลแบรต์ พระสงฆ์ไทย มาปกครองคริสตังกลุ่มเล็ก ๆ ที่อาศัยอ ยู่รอบ ๆ วัดนักบุญยอแซฟหลังเก่าซึ่งถูกทำลายไป

สร้างวัดนักบุญยอแซฟหลังใหม่ บนรากฐานเดิมของวัดหลังเก่า
พระสังฆราช ปัลเลอกัว ได้สร้างวัดใหม่เป็นอิฐ ท่ามกลางซากปรักหักพังของวัดหลังเก่าที่พระสังฆราชองค์ก่อน ๆ ได้สร้างไว้ มี หอระฆังและที่โปรดศีลล้างบาปด้วย พระคุณเจ้า ปัลเลอกัว เห็นว่า วัดนี้ควรเป็นวัดแก้ศีลบน สร้างขึ้นบนอุโมงค์ที่บรรจุศพของปร ะมุขมิสซัง 8 องค์แรก และของพระสงฆ์มิชชันนารี กับบรรดาสัตบุรุษอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อิฐที่ใช้สร้างวัดเป็นอิฐของสามเณราลัยเก่าที่ถูกทำลายไป

หลังจากที่สร้างวัดเสร็จแล้ว ไม่กี่ปีต่อมา ครอบครัวคริสตังประมาณ 10 ครอบครัวจากค่ายวัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ ได้ย้ายมาอยู่ ข้างวัดอยุธยา ในความปกครองของคุณพ่อ อัลแบรต์ นอกจากนี้ ยังมีครอบครัวของคริสตังที่กลับใจใหม่อีกประมาณ 10 ครอบครัว ดังนั้น ในราวปี ค.ศ. 1850 วัดอยุธยามีคริสตังประมาณ 200 คน มีคุณพ่อ อัลแบรต์ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

คุณพ่อ ลาร์โนดี เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 (1851-1861)
เมื่อคุณพ่อ อัลแบรต์ ถึงแก่มรณภาพแล้ว พระสังฆราช ปัลเลอกัว ได้ให้คุณพ่อ ลาร์โนดี ย้ายจากวัดปากเพรียว ซึ่งอยู่ทางเหนือข องสระบุรี มาเป็นเจ้าอาวาสวัดอยุธยา คุณพ่อ ลาร์โนดี เป็นพระสงฆ์ที่เก่ง และมีความรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ และชำนาญในการท ดลองต่าง ๆ นอกจากการอภิบาลสัตบุรุษ แปลคำสอนให้แก่ผู้ใหญ่และเยาวชน ท่านยังสอนสัตบุรุษที่มีฝีมือปราณีต ให้รู้จักทำการชุบเงินชุบทอง โดยวิธีไฟฟ้า-เคมี สอนให้รู้จักซ่อมนาฬิกา ซ่อมเครื่องจักรกลต่าง ๆ ทำให้ข้าราชการหลายคนชอบมาดูและชมฝี มือของท่าน นอกจากนี้ ท่านยังได้จัดส่งพันธ์ไม้ นก ปลา จากเมืองไทย ไปให้พิพิธภัณฑ์ชีววิทยาของกรุงปารีส มีปลาชนิดหนึ่งซึ่ง ยังไม่มีใครรู้จักชื่อ แต่คุณพ่อ ลาร์โนดี เป็นผู้พบจากประเทศสยาม ปลานั้นจึงได้รับชื่อว่า "ปลาลาร์โนดี" ตามชื่อของคุณพ่อซึ่งเป็นผู้ค้นพบ

ในปี ค.ศ. 1861 พระเจ้าแผ่นดินได้ขอให้ท่านเป็นล่าม ร่วมเดินทางไปกับคณะทูตเพื่อไปฝรั่งเศส

คุณพ่อ ลาร์โนดี เป็นผู้เปิดบัญชีศีลศักดิ์สิทธิ์ของวัดอยุธยาในปี ค.ศ. 1851 แต่ไม่ใช่เป็นบัญชีแรกของวัดนี้ เพราะบัญชีแรก ๆ เ ชื่อว่าเปิดในสมัยที่คุณพ่อ ปัลเลอกัว มาดูแล และในสมัยของคุณพ่อ อัลแบรต์ แต่ตัวอักษรอ่านไม่ออกแล้ว เพราะใช้กระดาษหรือน้ำหมึกไม่ดี

คุณพ่อ ซีมอน เจ้าอาวาสองค์ที่ 3 (1861-1863)
คุณพ่อ ซีมอน เป็นพระสงฆ์ไทย

คุณพ่อ ยออากิม เจ้าอาวาสองค์ที่ 4 (1863-1871)
คุณพ่อ ยออากิม เป็นพระสงฆ์ ในสมัยของท่าน ได้รับรองการโปรดศีลล้างบาปให้แก่คริสตังวัดเจ้าเจ็ดหลายคน

คุณพ่อ แปร์โร เจ้าอาวาสองค์ที่ 5 (1872-1894)
ในปี ค.ศ. 1872 คุณพ่อ แปร์โร ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอยุธยา ในเวลานั้น มีคริสตังจีนหลายคน (ซึ่งกลับใจเพราะคุณพ่อ อัลบรังด์ ในราวปี ค.ศ. 1840) ปะปนอยู่กับคริสตังญวน เมื่อคุณพ่อ แปร์โร เห็นซากวัดเดิมในสมัยที่ถูกพม่าเผาทำลาย และวัดเ ล็ก ๆ ของคุณพ่อ ปัลเลอกัว ตั้งอยู่อย่างน่าสมเพช ท่านรู้สึกสะเทือนใจ และได้สวดภาวนาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากท่านนักบุญยอแซฟ เพื่อจะได้สร้างวัดถวายเป็นเกียรติแด่ท่าน ให้สวยงามที่สุดตามแต่ทรัพย์สินจะอำนวย

คุณพ่อ มาร์แตง ซึ่งเป็นอธิการของมิสซังในเวลานั้น (พระสังฆราช ดือปอง ถึงแก่มรณภาพวันที่ 11 ธันวาคม 1872 และพระสังฆราช เวย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นประมุขมิสซังวันที่ 17 กันยายน 1875) ได้รายงานถึงกรุงปารีสว่า :

"ที่อยุธยา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิสซังสยาม มีวัดเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง สร้างด้วยอิฐ โด ยพระสังฆราช ปัลเลอกัว วัดนี้สร้างบนรากฐานของวัดเก่าซึ่งใหญ่ คือ วัดนักบุญยอแซฟ กำแพงวัดเก่าที่ล้อมรอบวัดเล็กหลังใหม่นั้นพังไปมากแล้ว จนแทบไม่สามารถป้ องกันการบุกรุกของสัตว์เดรัจฉานได้ แผ่นหินสลักชื่อผู้ตายเหนือหลุมศพยังมีอยู่ แม้เวลาได้ล่วงเลยไปนานแล้วก็ตาม พระสงฆ์มิชชันนารีที่ทำงานที่อยุธยาได้ตัดสินใจสร้ างวัดใหม่บนวัดเดิมที่ยังมีรากฐานมั่นคงดีอยู่ และเพื่อเก็บรักษากระดูกที่มีค่าของบรรดามิชชันนารีรุ่นก่อน ๆ ที่ฝังไว้ ณ ที่นี้ด้วย คุณพ่อ แปร์โร จึงได้จัดการซื้อที่ดินอีก หลายแปลงซึ่งเคยเป็นของมิสซังมาก่อนในอดีตกลับคืนมา และให้คริสตังกลับมาอยู่อีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากจำนวนคริสตังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา คุณพ่อ แปร์โร จึงเสนอให้มีการสร้างวัดตามแบบวัดหลังเก่า ขึ้นแทนวัดหลังใหม่ที่คับแคบเกินไป ปัญหาในกา รสร้างคือ การหาเงินเพื่อใช้ในการบูรณะสิ่งปรักหักพังที่เป็นอยู่ของวัดหลังเก่า"  คุณพ่อมาร์แตงบันทึกไว้ว่า "วัดหลังเดิมนั้นเป็นวัดที่มีนักบุญยอแซฟเป็นนักบุญองค์อุปถั มภ์ นักบุญยอแซฟเป็นผู้ปกป้องพระศาสนจักรที่ยิ่งใหญ่ก็จริง และเมื่อมีผู้ไม่เห็นด้วยกับการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ เนื่องจากมีเงินไม่พอ คุณพ่อ แปร์โร กลับตอบเช่นเดียวกั บที่คุณพ่อเจ้าวัดเมืองทูร์ดตอบแก่สถาปนิกผู้สร้าง เมื่อแลเห็นแบบแปลนขนาดมหึมาของวัดว่า : แต่ท่านนักบุญยอแซฟร่ำรวยพอ"

นอกจากปกครองดูแลวัดอยุธยาแล้ว คุณพ่อ แปร์โร ยังรับภาระในการดูแลคริสตังกลุ่มเจ้าเจ็ด ซึ่งเป็นคริสตังญวนที่อพยพมาจาก วัดเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์ และคุณพ่อ ยิบารตา เป็นผู้ดูแลอภิบาลคริสตังกลุ่มนี้ แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1870-1871 คุณพ่อ ยิบารตา รู้ สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่สามารถเดินทางมาอภิบาลได้อีก จึงได้มอบให้วัดอยุธยาเป็นผู้ดูแลแทน บางครั้ง คุณพ่อ แปร์โร ก็ไปเยี่ยมคริ สตังเหล่านั้นด้วยตนเอง บางครั้งก็ส่งปลัดผู้ช่วยไป ท่านเห็นว่าจำนวนคริสตังกลุ่มนี้มีมากแล้ว แต่ยังไม่มีวัด ซึ่งทำให้เกิดความล ำบากสำหรับพวกคริสตังและพระสงฆ์ในการประกอบพิธีมิสซา ท่านจึงตัดสินใจสร้างวัดให้แก่คริสตชน กลุ่มนี้ในปี ค.ศ. 1874 และตั้งชื่อว่า "วัดนักบุญยวงบัปติสตา" แต่การโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ได้จดรวมในบัญชีของวัดอยุธยาจนถึงปี ค.ศ. 1893

สร้างวัดนักบุญยอแซฟ : 1883-1891
คุณพ่อ แปร์โร ได้ตัดสินใจที่จะสร้างวัดนักบุญยอแซฟหลังใหม่ ก่อนอื่น ท่านได้ลงมือสร้างวัดไม้เป็นวัดชั่วคราว เพื่อจะได้รื้อวัดข องพระคุณเจ้า ปัลเลอกัว และสร้างวัดหลังใหม่ตรงที่วัดหลังเดิม วางศิลาฤกษ์วันที่ 21 พฤศจิกายน 1883 คุณพ่อ แปร์โร วาดแผนผังของวัดด้วยตนเอง โดยมีสถาปนิกผู้หนึ่งตรวจรับรองท่าน เป็นนายช่างควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง งานก่อสร้างดำเนินไป อย่างช้า ๆ เพราะขาดเงิน ในรายงานประจำปีของปี ค.ศ. 1884 พระสังฆราชเวย์รายงานว่า :

“งานก่อสร้างวัดที่อยุธยาเริ่มขึ้น ขณะที่ทำการขุดพื้นที่เพื่อสร้างรากฐานของวัด มีการพบโครงกระดูกของมิชชันนารี 13 ท่าน ที่ ถูกฝังไว้ที่นี่กว่า 1 ศตวรรษแล้ว โครงกระดูกบางโครงยังอยู่ในสภาพดี

เพื่อแสดงความเห็นใจและให้กำลังใจแก่คุณพ่อ แปร์โร เราจึงได้เดินทางไปอยุธยาด้วยตนเอง เมื่อตอนออกจากเข้าเงียบ และไ ปพร้อมกับชาวคณะอีก 16 ท่าน เพื่อทำการเสกศิลาฤกษ์วัดใหม่แห่งนี้ แบบวัดที่เลือกไว้คือเป็นแบบโรมันศตวรรษที่ 12 แม้ว่าเ ป็นวัดขนาดกลาง แต่ผู้รู้ทุกคนยอมรับกันว่า จะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและเด่นสำหรับเมืองไทย เวลานี้ผนังวัดสูงถึง 3 เมตรแล้ว น่าเสียดายที่ขาดทุนทรัพย์ ขอนักบุญยอแซฟโปรดดลใจผู้มีศรัทธาช่วยบริจาคสร้างวัดที่สำคัญนี้จนเสร็จด้วยเถิด”

นอกจากนี้ พระคุณเจ้า เวย์ ยังได้เขียนรายงานถึงเรื่องความเชื่อและความศรัทธาของคริสตังผู้หนึ่งที่อยุธยาไว้ในรายงานประจำปีฉบับนี้ด้วยดังนี้ :

“ก่อนจบรายงานเรื่องนี้ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ในเขตหลักที่อยุธยา แม้จะเป็นเรื่องไม่สำคัญนัก แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อดังนี้ :

คุณพ่อ แปร์โร มีจดหมายถึงเรา เล่าว่า นายยอแซฟ ดำ เป็นผู้ที่พระคุณเจ้ารู้จักดีว่าเป็นคนยากจน แต่เขาเกิดมีแซ่ (นามสกุล) เ ดียวกับเศรษฐีผู้หนึ่งที่อยุธยา โดยที่นายดำมีรูปร่างหน้าตาดี จีนเศรษฐีผู้นี้จึงคิดจะรับนายดำเป็นบุตรบุญธรรม และตกลงจะมอบ ทรัพย์สมบัติให้เขามากมาย นายดำจะร่ำรวยแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เศรษฐีผู้นี้แสดงท่าให้นายดำเข้าใจว่า เขาไม่อยากเห็นนายดำไปวัดและปฏิบัติตนเป็นคริสตัง แน่นอนนายดำมิใช่เป็นชายหนุ่มที่มีความศรัทธาเป็นพิเศษ แต่เขากลับมีความเห็นค้านกับเศรษฐ ีในเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานพอสมควร เขาก็ตอบเศรษฐีอย่างฉับพลันว่า "เก็บเงินของท่านแล ะข้าวของอื่น ๆ ที่ท่านจะให้ผมไว้เถิด เพราะการบุญของท่านอาจทำให้ผมเสียความเชื่อ" เมื่อเราทราบข่าวนี้ เราขอบพระคุณพระเยซูคริสตเจ้า ที่ทรงโปรดช่วยให้เขาเอาชนะตนเองได้งดงามเช่นนี้”

ในปี ค.ศ. 1888 วัดชั่วคราวที่คุณพ่อ แปร์โร สร้างได้ถูกไฟไหม้ พระคุณเจ้า เวย์ บันทึกไว้ในรายงานประจำปี 1888 ไว้ดังนี้ :
“ปีนี้ไฟไหม้วัดชั่วคราวที่คุณพ่อ แปร์โร สร้างขึ้น จนไม่เหลืออะไรเลย วัดนี้สร้างขึ้นระหว่างรอวัดนักบุญยอแซฟหลังใหม่ที่กำลังก่ อสร้างอยู่ จนกว่าจะแล้วเสร็จพร้อมที่จะประกอบจารีตพิธีทางศาสนา เด็กที่ไม่รอบคอบคนหนึ่งเข้าไปในวัดและได้จุดเทียน 2 เล่ ม หน้าพระรูปแม่พระ ไฟได้ลุกลามมาติดพระแท่น หรือไม่ก็ติดผนังกั้นวัดที่ทำด้วยไม้ที่แห้งมาก พอรู้ว่าไฟไหม้ ก็ไม่ทันแล้ว ไ ฟได้เผาทุกสิ่งไปหมด คุณพ่อ แปร์โร เหลือเพียงเสื้อทำมิสซาเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ท่านเก็บไว้ในห้องของท่าน นับเป็นเรื่องที่ น่าเสียใจ และเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงสำหรับคุณพ่อชาวคณะผู้นี้ที่ได้ลงทุนลงแรงทั้งหมดกับการกอบกู้ซากวัดนักบุญยอแซฟ ซึ่งเป็นวัดแรกที่คณะของเราสร้างขึ้นในภาคตะวันออกไกล”

เสกวัดนักบุญยอแซฟ
ในที่สุด วัดนักบุญยอแซฟหลังใหม่ที่คุณพ่อ แปร์โร ได้ใช้ความเพียรพยายามในการก่อสร้าง ก็ได้เสร็จตามความตั้งใจของท่าน ไ ด้มีพิธีเสกอย่างสง่า พร้อมทั้งอภิเษกพระแท่นด้วย ในวันที่ 19 มีนาคม 1891 ซึ่งเป็นวันฉลองนักบุญยอแซฟ โดยมีพระสังฆราช เวย์ เป็นผู้ประกอบพิธี พระคุณเจ้า เวย์ ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ในวันนั้นไว้ในรายงานประจำปี 1891 ว่าดังนี้ :

“วันฉลองนักบุญยอแซฟ เราได้มีความยินดีเสกพระแท่นวัดที่อยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่มีนักบุญองค์อุปถัมภ์ เป็นองค์อุปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ ของพระศาสนจักรทั้งมวล การฉลองเป็นไปอย่างสง่างามและประทับใจ มีการส่งสัตบุรุษมาจากกลุ่มคริสตชนส่วนใหญ่ ทุกคนมาเพื่ออยุธยาในนามของพี่น้องสัตบุรุษของตน พวกเขามาคุกเข่าแทบเท้าบิดาเลี้ยงของพระเยซูเจ้า เพื่อแสดงความศรัทธาและค วามไว้ใจของพวกเขาต่อท่านนักบุญ
วัดนี้สร้างบนซากวัดที่ประมุขมิสซังรุ่นแรก ๆ ของคณะได้สร้างขึ้น ด้วยความช่วยเหลื อของสมเด็จพระนารายณ์ กษัตริย์แห่งประเทศสยาม ผู้ที่เคยรู้จักกับความจริงของศาสนาคริสตัง แต่มิได้ทรงมีความกล้าหาญพอที่จะหันมานับถือ ในปี ค.ศ. 1767 ประเทศสยามถูกพม่าบุกทำลาย กลุ่มคริสตังทั้งหลายถูกทำลายหมด สำหรับวัดนักบุญย อแซฟก็เหลือแต่เพียงกำแพงบางส่วนเท่านั้น คุณพ่อ แปร์โร จัดการสร้างวัดใหม่ ท่านมีความกล้าหาญและอดทนในการทำงาน สร้างวัดขึ้นใหม่จากวัดเก่านี้ ซึ่งเป็นงาน ที่หนักมาก” (แผ่นหินอ่อนซึ่งอยู่เหนือประตูทางเข้าของวัดได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเสกวัดเป็นภาษาลาติน และแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณพ่อ ทัศไนย์ คมกฤศ ได้ดัง นี้ : “วัดหลังนี้สร้างขึ้นเป็นเกียรติแด่นักบุญยอแซฟแทนวัดหลังเดิมที่คณะมิชชันนารีต่างประเทศได้สร้างขึ้นโดยพระราชทรัพย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี ค.ศ. 1685 และถูกชาวพม่าทำลายลงในปี ค.ศ. 1767 ต่อมา นายโยอากิม กรัสซี่ สถาปนิ ก ได้ออกแบบสร้างขึ้น พระสังฆราช หลุยส์ เวย์ พระสังฆราชเกียรตินามแห่งเกราซา ประกอบพิธีเสกวัดใหม่หลังนี้ เมื่อ 13 วันก่อนเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1891”  ดังนั้น วัน/เวลาในการเสกวัดนี้ จึงควรจะเป็นวันที่ 17 เมษายน 1891 มากกว่าจะเป็นวันที่ 19 มีนาคม 1891 ตามรายงานประจำปี ..... ความเห็นจาก “ห้องเอกสารอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ”)

หลังจากสร้างวัดนี้แล้ว คุณพ่อ แปร์โร กลายเป็นสถาปนิกคนสำคัญ ได้รับเชิญไปสร้างหอระฆังวัดคอนเซ็ปชัญ และสร้างวัดซางตาครู้ส ซึ่งเป็นงานก่อสร้างชิ้นสุดท้ายของคุณพ่อ แปร์โร ด้วย

ในสมัยคุณพ่อ แปร์โร เป็นเจ้าอาวาส มีปลัดผู้ช่วยในการอภิบาลสัตบุรุษ การแพร่ธรรม และกิจการงานต่าง ๆ ของวัด 3 องค์ด้วยกัน คือ :คุณพ่อ ฟิลิป ฮุม พระสงฆ์ไทย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872-1884
คุณพ่อ มิแชล โทว พระสงฆ์ไทย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882-1892
คุณพ่อ มาตรา (Matrat) พระสงฆ์ M.E.P. ในปี ค.ศ. 1888

ในปี ค.ศ. 1893 คุณพ่อ แปร์โร เดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศฝรั่งเศสอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน เมื่อกลับมาถึงประเทศสยามแล้ว ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดซางตาครู้ส ในปี ค.ศ. 1899 ท่านป่วยหนัก และเสียชีวิตในวันที่ 24 เมษายน 1899 ศพของท่านถูกนำไปฝังที่อยุธยา และฝังไว้ในคูหาซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับตนเองในวัดอยุธยา ใกล้ ๆ กับที่บรรจุกระดูกของพระสังฆราชองค์แรก ๆ และของมิชชันนารีหลายองค์ ซึ่งท่านได้เก็บไว้ขณะที่สร้างวัดนักบุญยอแซฟ

คุณพ่อ กีญารด์ (Guignard) เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 (1893-1894)
คุณพ่อ กีญารด์ ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสแทนคุณพ่อ แปร์โร แต่เนื่องจากสุขภาพของท่านไม่แข็งแรง พระสังฆราช เวย์ จึงเรียกท่า นกลับกรุงเทพฯ เพื่อรับหน้าที่ผู้ช่วยเหรัญญิกของมิสซัง

คุณพ่อ เปริกัล (Peyrical) เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 (1894-1899)
เมื่อคุณพ่อ กีญารด์ ต้องกลับไปกรุงเทพฯ คุณพ่อ เปริกัล ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอยุธยาแทน ท่านได้ลอกบัญชีศีลศักดิ์สิทธิ์ของวัดใหม่ เพราะบัญชีเก่าชำรุดเสียหายมาก

คุณพ่อ แบส์แรส์ต (Besrest) เจ้าอาวาสองค์ที่ 8 (1900-1906)
คุณพ่อ แบส์แรส์ต ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี ค.ศ. 1901 ท่านได้เดินทางไปประกาศพระ วรสารตามหมู่บ้านต่าง ๆ โดยรอ บจังหวัดอยุธยา โดยมีคุณพ่อ การิเอ เป็นปลัดผู้ช่วยในเดือนเมษายน 1903 ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน คุณพ่อ การิเอ ถู กเรียกไปรับตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่แปดริ้ว ในปี ค.ศ. 1904 คุณพ่อ ตาปี ได้มาเป็นพ่อปลัด จนถึงปี ค.ศ. 1905 ก็ย้ายไปเป็ นเจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง ดังนั้น คุณพ่อ แบส์แรส์ต จึงต้องทำงานหนักคนเดียว พระสังฆราช เวย์ เขียนบันทึกในรายงานประจำปี 1901 ว่า :

“คุณพ่อ แบส์แรส์ต เขียนรายงานจากอยุธยาว่า ที่อยุธยา กลุ่มคริสตังค่อนข้างจะคงที่ ไม่ลดลง ไม่ก้าวหน้า ในเขตวัดไม่มีอะไรเ ปลี่ยนแปลงนัก ในวันฉลองต่าง ๆ นั้น ผมมีแต่ความยินดีที่เห็นสัตบุรุษจำนวนมากมาแก้บาปรับศีล อย่างไรก็ดี ไม่สู้มีหวังจะมีคน กลับใจในเขตเมือง ในทางตรงกันข้าม ที่ดอนพุด ผมเชื่อว่าจะมีคริสตังเพิ่มจำนวนขึ้น ในปัจจุบันมีถึง 200 คนแล้ว กลุ่มนี้แม้จะ ตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็ประสบอุปสรรคมาแล้วหลายประการ มีเรื่องน่าเสียดายเกิดขึ้น เนื่องจากเขาเอาชื่อคนแปลคำสอนคนหนึ่ง เข้าไ ปเกี่ยวข้องในเรื่องไม่ดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนแปลคำสอนผู้นี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักแก่กลุ่มคริสตชน กลุ่มนี้ คนแปลคำสอนผู้นี้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เป็นคนซื่อ ขาดไหวพริบ เมื่อถูกกล่าวหา บรรดาผู้ตัดสินซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา ลงโทษเขาเกินเหตุ ทำให้คนต่างศาสนาเชื่อว่าเขาได้ผิดจริง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมเสีย

บ้านขุม เป็นกลุ่มคริสตชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากอยุธยา 3 หลัก สัตบุรุษปฏิบัติหน้าที่คริสตังเท่าที่จะทำได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากวัด”

พระสังฆราช เวย์ ยังเขียนรายงานเกี่ยวกับวัดอยุธยาไว้ในรายงานประจำปี 1903 อีกดังต่อไปนี้คือ :

“กลุ่มคริสตชนที่อยุธยา (วัดอยุธยา) รวมทั้งกลุ่มคริสตชนย่อยอีกหลายกลุ่ม อันได้แก่ ที่ดอนพุดในจังหวัดพระพุทธบาท ที่แก่งคอ ยในจังหวัดสระบุรี ที่บ้านขุน บ้านดาบ บ้านกระดี่ บ้านกระทิง ในจังหวัดอยุธยาเอง อาณาเขตเหล่านี้ คุณพ่อ แบส์แรส์ต เป็นผู้ดูแล จำนวนคริสตังมีถึง 1,100 คน”

ในปี ค.ศ. 1906 คุณพ่อ แบส์แรส์ต พ้นจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดอยุธยา และวันที่ 18 สิงหาคม 1906 ได้เดินทางไปอยู่ที่บ้านนาซาแรท ที่ฮ่องกง

คุณพ่อ ดาวิด (David) เจ้าอาวาสองค์ที่ 9 (1906)
คุณพ่อ ดาวิด เป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะใหญ่อยู่แล้ว พระสังฆราช เวย์ แต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา อีกวัดหนึ่ง ถนนหนทางในสมัยนั้นยังไม่มี การคมนาคมมีทางเดียวคือโดยสารเรือแจวไปตามแม่น้ำลำคลอง

คุณพ่อ กาลังซ์ ซึ่งได้เรียนภาษาญวนที่สามเสน ได้มาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่วัดนี้ คุณพ่อ กาลังซ์ ได้เริ่มงานอภิบาลด้วยใจร้อนรน พวกคริสตังเองก็ใจศรัทธาและร้อนรนพอกัน ท่านทำงานประสพผลสำเร็จอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับประวัติของท้องถิ่น และภูมิประเทศทางภาคตะวันออกไกล 

คุณพ่อ แบลล์ (Bayle) เจ้าอาวาสองค์ที่ 10 (1907)
ในปี ค.ศ. 1907 คุณพ่อ แบลล์ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส มีคุณพ่อ ดอมินิก เป็นผู้ช่วย จนถึงปี ค.ศ. 1908 คุณพ่อ แบลล์ ได้ย้ายไปอยู่ที่โคราช

คุณพ่อ บรัวซาต์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 11 (1908-1910)
คุณพ่อ บรัวซาต์ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี ค.ศ. 1908 จนถึงปี 1910 โดยมีคุณพ่อ บอนิฟาส เป็นผู้ช่วย ในปี ค.ศ. 1910 คุณพ่อ บรัวซาต์ ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปลายนา แทนคุณพ่อ ดาวิด ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะใหญ่ จากเกาะใหญ่
คุณพ่อ ดาวิด มาช่วยอภิบาลคริสตังที่วัดอยุธยานาน ๆ ครั้ง

คุณพ่อ อันตน (ตาน โชติผล) เจ้าอาวาสองค์ที่ 12 (1911-1914)
คุณพ่อ อันตน ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อจากคุณพ่อ บรัวซาต์ ต่อมา ในเดือนสิงหาคม 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง คุณพ่อ บรัวซาต์ และคุณพ่อ ดาวิด ต้องเดินทางไปฝรั่งเศส คุณพ่ออันตน จึงย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปลายนา วัดเจ้าเจ็ด และวัดเกาะใหญ่

คุณพ่อ ยาโกเบ แจง เกิดสว่าง เจ้าอาวาสองค์ที่ 13 (1914-1915)

คุณพ่อ ซีมอน เว้ ศรีประมงค์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 14 (1915-1916)

คุณพ่อ บอนิฟาส เจ้าอาวาสองค์ที่ 15 (1916)

คุณพ่อ แฟร์เลย์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 16 (1917-1919)

คุณพ่อ เกลเมนเต แฉล้ม พานิชเกษม เจ้าอาวาสองค์ที่ 17 (1919-1921)

คุณพ่อ เกลเมนเต ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี ค.ศ. 1919 ในเวลาเดียวกันก็เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านแป้งด้วย ในรายงานประจำปี 1921 พระสังฆราช แปร์รอส บันทึกไว้ว่า :

“ทางเหนือวัดอยุธยาและวัดบ้านแป้ง ซึ่งปีที่แล้วแต่ละวัดมีมิชชันนารีประจำอยู่ ก็ต้องให้อยู่ในการดูแลของพระสงฆ์พื้นเมืองเพียงองค์เดียว จำนวนคนแก้บาปรับศีลมหาสนิทลดน้อยลงอย่างที่คาดการณ์ไว้แล้ว”

คุณพ่อ เอดัวรด์ ถัง นำลาภ เจ้าอาวาสองค์ที่ 18 (1922-1923)

คุณพ่อ ซีมอน เว้ ศรีประมงค์ เจ้าอาวาส (สมัยที่สอง) องค์ที่ 19 (1923-1926)

คุณพ่อ ดานิแอล เจ้าอาวาสองค์ที่ 20 (1926-1929)

คุณพ่อ อันเดร พลอย โรจนเสน เจ้าอาวาสองค์ที่ 21 (1930-1933)
ในสมัยที่คุณพ่อ อันเดร พลอย เป็นเจ้าอาวาส ได้มีพระสงฆ์บางองค์ไปเที่ยว และเยี่ยมชมวัดอยุธยา และได้โปรดศีลล้างบาปด้วย ได้แก่ คุณพ่อ เฮนรี, คุณพ่อ นิโกเลา, คุณพ่อ แบร์นารด์ และคุณพ่อ นอแอล เป็นต้น

คุณพ่อ มาร์แซล จงสวัสดิ์ อารีอร่าม เจ้าอาวาสองค์ที่ 22 (1933-1942)

คุณพ่อ เอากุสติโน สำอางค์ ดำรงธรรม เจ้าอาวาสองค์ที่ 23 (1942-1945)

คุณพ่อ ปิโอ ถัง ลำเจริญพร เจ้าอาวาสองค์ที่ 24 (1945-1948)

คุณพ่อ เฮนรี่ สุนทร วิเศษรัตน์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 25 (1948-1970)

คุณพ่อ เฮนรี่ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดอยุธยาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1948 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 1970 เป็นเวลาถึง 22 ปี เมื่อคุณพ่อ เฮนรี่ สังเกตว่า กำแพงวัดด้านยาวทั้งสองด้านกำลังชำรุดมากขึ้นทุกที หากไม่จัดการซ่อมแซมเสียก่อน ในไม่ช้าจะต้องพังลงมาแน่นอน ท่านจึงแจ้งให้พระสังฆราช โชแรงทราบ พระคุณเจ้าได้ส่งวิศวกรจากกรุงเทพฯมาดู และพิจารณาว่าจะซ่อมแซมได้อย่างไร รวมทั้งประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งหมด ตอนแรกวิศวกรแจ้งว่า เขาจะต้องตั้งเครื่องเหล็กและไม้ เพื่อรับน้ำห นักของเพดานและหลังคาก่อน แล้วจึงรื้อกำแพงทั้งหมด สร้างกำแพงใหม่ให้แข็งแรง เป็นคอนกรีต วัดจึงจะอยู่ได้ แต่ต้องเสียค่ าใช้จ่ายเป็นเงินล้าน พระคุณเจ้าจึงคิดว่าถ้ารื้อวัดทั้งหมด และสร้างใหม่จะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่า นอกจาก 2 วิธีนี้แล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดอีกหรือ?

ในที่สุด ได้ตกลงว่า จะเอาเหล็กเส้นหนา ๆ ตั้งยึดกำแพงไว้เป็นระยะ ๆ และก่อสร้างอิฐหรือคอนกรีตข้างนอก ตรงต้นเสา 2 ต้น ซึ่งรับน้ำหนักและต้านทานน้ำหนัก และกำลังแรงดันของเสาและกำแพง

ในเดือนเมษายน 1969 ได้จัดฉลอง 300 ปีของกลุ่มคริสตชนอยุธยา พระคุณเจ้า แปร์รอส ได้เขียนบันทึกในรายงานประจำปี 1969 ไว้ว่าดังนี้ :

“เดือนเมษายน 1969 มีการฉลองครบรอบ 300 ปีของวัดที่อยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม วัดนี้อยู่ในความปกครองของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ พระคุณเจ้า ยวง จึงมอบหมายให้สมาคมคาทอลิกจัดงานฉลองนี้ แต่มีการเลื่อนวันฉลองโดยมิได้มีการประก าศให้ทราบล่วงหน้า ทำให้ไม่ค่อยมีใครทราบถึงงานฉลองวันนี้ มีพระสังฆราช พระสงฆ์ และสัตบุรุษมาร่วมในพิธีเป็นจำนวนน้อย พระสันตะปาปาได้ทรงส่งสารมาแสดงความยินดีในโอกาสนี้ และสมาคมคาทอลิกได้จัดพิมพ์หนังสืออนุสรณ์ กล่าวถึงความเป็นม าของวัดนี้ ซึ่งเป็นวัดแรกของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (M.E.P.) ในภาคตะวันออกไกล และงานทุกอย่างที่คณะได้ทำในประเทศไทยนับตั้งแต่วันแรก (C.R. 1969)”

ก่อนวันฉลองนี้ พระคุณเจ้า ยวง นิตโย ได้กรุณามอบเงินให้คุณพ่อ เฮนรี่ เป็นค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลังคาวัดใหม่ โดยใช้กระเบื้องลอนคู่ แทนหลังคาปูน

คุณพ่อ ชัชวาลย์ แสงแก้ว เจ้าอาวาสองค์ที่ 26 (1970-1971)


คุณพ่อ เรอเน บริสซอง เจ้าอาวาสองค์ที่ 27 (1972)

คุณพ่อ บัญชา ศรีประมงค์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 28 (1972-1977)

ในสมัยคุณพ่อ บัญชา ศรีประมงค์ เป็นเจ้าอาวาส ก็ได้ทำลูกกรงเหล็กป้องกันกระจกไม่ให้เสียหายมากขึ้น ที่บริเวณหน้าวัด ร้านปืนอำนาจก็ได้ทำบุญสร้างถ้ำแม่พระใหญ่

คุณพ่อ วิศิษฎ์ หริพงศ์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 29 (1977-1979)

ในสมัยคุณพ่อ วิศิษฎ์ หริพงศ์ เป็นเจ้าอาวาส ได้ตกแต่งทาสีภายในวัดให้สวยงาม ได้เอาเสาที่เกะกะในวัดออกด้วย

คุณพ่อ ประสาร คูรัตนสุวรรณ เจ้าอาวาสองค์ที่ 30 (1979-1981)

ในสมัยคุณพ่อ ประสาร คูรัตนสุวรรณ เป็นเจ้าอาวาส ก็ได้เทซีเมนต์พื้นวัดที่ทรุด และปูหินอ่อนให้เรียบ พร้อมกับปรับปรุงบริเวณพระแท่นให้สวยงามขึ้น

คุณพ่อ สุรชัย กิจสวัสดิ์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 31 (1981-1985)
ในสมัยคุณพ่อ สุรชัย กิจสวัสดิ์ ได้จัดฉลอง 100 ปีของวัดนักบุญยอแซฟ วัดหลังปัจจุบัน และจัดที่อยู่ให้แก่สัตบุรุษในที่ว่างเปล่าบริเวณวัด

คุณพ่อ ธีรวัฒน์ เสนางค์นารถ เจ้าอาวาสองค์ที่ 32 (1985-1989)
ในสมัยคุณพ่อ ธีรวัฒน์ เสนางค์นารถ ปรับปรุงสักการสถานหมู่บ้านโปรตุเกสเป็นแหล่งเที่ยวชม ประสานกับกรมศิลปากรเป็นผู้จัดสร้าง

คุณพ่อ ไพริน เกิดสมุทร เจ้าอาวาสองค์ที่ 33 (1989-1994)

ในสมัยคุณพ่อ ไพริน เกิดสมุทร จัดวางรากฐานการก่อสร้างพร้อมเปลี่ยนชื่อ “โรงเรียนราษฎร์สงเคราะห์” เป็น “โรงเรียนยอแซฟอยุธยา” ได้มีการจัดวางผังรวมเกี่ยวกับที่ดินของวัดใหม่ แยกวัดและโรงเรียนออกเป็นสัดส่วน และจัดพื้นที่สำหรับสัตบุรุษ

คุณพ่อ ธนันชัย กิจสมัคร เจ้าอาวาสองค์ที่ 34 (1994-1999)
ในสมัยคุณพ่อ ธนันชัย กิจสมัคร เปิดและเสกอาคารเรียนใหม่ “โรงเรียนยอแซฟอยุธยา” จัดระบบเสียงในวัดนักบุญยอแซฟ อยุธ ยา ใหม่ทั้งหมด สำรวจรากฐาน-สุสานในวัด และดำเนินการขุดกระดูกของบรรดาประมุขมิสซังและมิชชันนารี ซึ่งฝังอยู่ภายใต้พระแท่นของวัด โดยให้บริษัทมรดกโลกเป็นผู้ดำเนินการขุดเชิงอนุรักษ์และเชิงวิชาการ ในปี 1998 เริ่มต้นการศึกษาค้นคว้าและอ อกแบบเพื่อการบูรณะวัด

คุณพ่อ สมพร เส็งเจริญ เจ้าอาวาสองค์ที่ 35 (1999 -  ค.ศ. 2004)
ในสมัยคุณพ่อ สมพร เส็งเจริญ ได้ปรับปรุงบริเวณวัด เพื่อจัดเป็นวัดแสวงบุญของเขต 6 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และเป็นจุด ศูนย์กลางของกิจกรรมต่าง ๆ  ในทางด้านโรงเรียน ปรับปรุงอาคาร และบริเวณต่าง ๆ ให้เหมาะสม และเพื่อรองรับจำนวนนักเรี ยนที่เพิ่มขึ้น คุณพ่อยังได้เริ่มต้นการบูรณะวัดในปี ค.ศ. 2003 และสำเร็จเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 2004 ในวันที่ 20 มีนาคม 2004 อั ครสังฆมณฑลกรุงเทพฯได้จัดให้มีการเสกวัดอีกครั้งหนึ่ง และจัดเตรียมสถานที่บรรจุศพของพระสังฆราช ปีแอรฺ ลังแบรต์ เดอ ลา ม็อต และพระสังฆราช หลุยส์ ลาโน ไว้ภายในวัด ส่วนที่เหลือทั้งหมด คือพระสังฆราชอีก 6 องค์ รวมทั้งบรรดามิชชันนารีอีก 23 องค์ ได้รับการย้ายไปบรรจุในสุสานของวัด

คุณพ่ออนุศักดิ์ กิจบำรุง เจ้าอาวาสองค์ที่ 36 ( 10 พฤษภาคม 2004 - 2005 )

คุณพ่อ ธีระ  กิจบำรุง เจ้าอาวาสองค์ที่ 37 ( 2005- ปัจจุบัน )
______________________________