การประจักษ์ครั้งที่ 1 ตรงกับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ตกับตังแน๊ต น้องสาวและเพื่อนชื่อ ยานอะบาดี
ชวนกันไปเก็บฟืนมาหุงข้าว
เมื่อมาถึงใกล้ก้อนหินใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า
" มัสซาเบียล " ฐานของหินนี้เว้าเข้าไปเป็นรูปถ้ำ กว้างประมาณ 12 เมตร ลึกประมาณ 8 เมตร ทางด้านขวาของถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ 3 เมตร รอบๆถ้ำมีเถากุหลาบขึ้นอยู่ประปราย
ขณะนั้น
หอนาฬิกาที่วัดบอกเวลาเที่ยงพอดี และมหัศจรรย์ก็ได้เริ่มขึ้น แบร์นาแด๊ตบอกว่า " เห็นหญิงสาวขาว ( ทั้งตัว ) คนหนึ่ง เธอก้มศรีษะเล็กน้อยทักทายฉัน แบมือเหมือนแม่พระในรูปทั่วไป ที่แขนขวามีลูกประคำห้อยอยู่ สตรีนั้นสวมเสื้อขาวยาวลงมาคลุมเท้า เสื้อนั้นมีที่รูดปิดคอ และมีปลายเชือกสีขาวห้อยอยู่ ผ้าสีขาวที่คลุมศรีษะนั้นปกบ่าและแขน ฉันเห็นดอกกุหลาบสีเหลือง 2 ดอก บนเท้าทั้งสองของเธอ รัดประคดของเสื้อก็สีฟ้า ห้อยต่ำลงมาเลยเข่า ส่วนลูกประคำนั้นสายสีเหลือง เม็ดสีขาวขนาดโต และห่างกัน หญิงสาวผู้นั้นท่าทางว่องไว มีแสงอยู่รอบข้าง เมื่อฉันสวดลูกประคำจบ เธอก็ยิ้มลาฉันแล้วถอยหลังหายวับเข้าไปในโพรง
"
การประจักษ์ครั้งที่ 2 ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันอาทิตย์ เมื่อเลิกพิธีมิสซาเวลา
10.00 น. แล้ว เพื่อนๆ ของแบร์นาแด๊ตติดตามเธอไปถึงบ้าน อ้อนวอนมารดาขออนุญาตให้แบร์นาแด๊ต ไปที่ถ้ำมัสซาเบียลอีก
.เมื่อมาถึงแล้วแบร์นาแด๊ตให้ทุกคนคุกเข่าลงสวดลูกประคำ สักครู่หนึ่งเธอก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า " แน่ะ มาแล้วมีแสงสว่าง " เพื่อนๆ ยื่นขวดน้ำเสกให้เธอพลางพูดเสียงสั่นๆว่าๆ " เร็ว ! สาดน้ำเสกซิ " แบร์นาแด๊ตหันมาพูดกับเพื่อนๆ ว่า " เธอไม่ยักโกรธ กลับก้มศรีษะรับ และยิ้มให้พวกเรา "
การประจักษ์ครั้งที่ 3 ตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์
แม่พระบอกกับแบร์นาแด๊ต " หนูจะกรุณามาที่นี่ สัก 15 วันจะได้ไหมคะ? " ได้ค่ะหนูขอสัญญา ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาต " แล้วสตรีงามพูดต่อไปว่า " ฉันไม่รับรองว่าหนูจะมีความสุขในโลกนี้ แต่โลกหน้าแน่นอน " แล้วสตรีผู้นั้นลอยขึ้นสูงหน่อย แล้วหายไป
การประจักษ์ครั้งที่ 4 ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ แม่พระขอบคุณแบร์นาแด๊ตที่มาพบอีก แล้วบอกว่ามีความลับอะไรจะบอกภายหน้า
การประจักษ์ครั้งที่ 5 ตรงกับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ แม่พระสอนแบร์นาแด๊ตให้สวดภาวนาบทหนึ่งทีละคำๆ บทภาวนานั้นสำหรับเธอสวดคนเดียวตลอดชีวิต
เธอก็สวดบทนั้นทุกครั้งที่แม่พระประจักษ์มา มีผู้พยายามใช้กลอุบายต่างๆ หลอกถามเธอ แต่เธอมิได้บอกใครเลยจนตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่ 6 ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์
มีผู้คนมารอดูมากมาย แบร์นาแด๊ตมากับมารดาและน้า ตามเวลาที่กำหนด ดร.โดชูส์ แพทย์ประจำตำบลลูร์ดร่วมอยู่ด้วย เขามาเพื่อคอยจับผิดมากกว่าด้วยใจศรัทธาเลื่อมใสแม่พระบอกแบร์นาแด๊ตว่า "
หนูจงสวดให้คนบาปที่น่าสงสาร สวดให้โลกที่กำลังยุ่งยากอลวนอยู่ "
การประจักษ์ครั้งที่ 7 ตรงกับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ การประจักษ์ครั้งนี้กินเวลาครึ่งชั่วโมง
แม่พระบอกความลับ กับเธอ 3 ข้อ ซึ่งเธอจะบอกกับใครมิได้เลย และเธอก็ได้รักษาความลับนั้นไว้ตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่ 8 ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ผู้ที่อยู่ใกล้เธอขณะที่เข้าฌาน ได้ยินเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากว่าที่สั่นระริกว่า " ใช้โทษบาป ! ใช้โทษบาป !ใช้โทษบาป ! "
การประจักษ์ครั้งที่ 9 ตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตให้ไปดื่มน้ำและล้างหน้าที่น้ำพุ แบร์นาแด๊ตคุ้ยดินขึ้นมา มีน้ำขึ้นมาแต่ขุ่น น้ำไหลขึ้นมามากทุกที ( ปัจจุบันกลายเป็นน้ำพุที่ไม่ขาดสายและสวยงามมาก )
การประจักษ์ครั้งที่ 10 ตรงกับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ แม่พระสั่งแบร์นาแด๊ตให้ไปบอกพระสงฆ์ให้สร้างวัดเล็กๆ ที่นี่หลังหนึ่ง
การประจักษ์ครั้งที่ 11 ตรงกับวันที่ 28 กุภาพันธ์ แบร์นาแด๊ตถามชื่อของสตรีงาม แต่แม่พระเพียงแต่ยิ้มๆ เท่านั้นไม่ตอบว่ากระไร
การประจักษ์ครั้งที่ 12 ตรงกับวันที่ 1 มีนาคม ตั้งแต่ 7.00 น. บิดามารดาของเธอก็ไปพร้อมกันด้วย แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตใช้เฉพาะลูกประคำของตน
การประจักษ์ครั้งที่ 13 ตรงกับวันที่ 2 มีนาคม แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกกับท่านว่า
" อยากให้ผู้คนตั้งขบวนแห่มาที่ถ้ำ " แต่คุณพ่อเจ้าวัดกำลังหัวเสีย บอกว่า " ดีแล้ว ถ้าเธอ ( สตรีงาม ) ไม่ยอมบอกชื่อ เจ้าก็เป็นคนโกหก.."
การประจักษ์ครั้งที่ 14 ตรงกับวันที่ 3 มีนาคม
แม่พระย้ำเรื่องการสร้างวัด แบร์นาแด๊ต บอกว่าคุณพ่อเจ้าวัดต้องการพิสูจน์ว่า ถ้าเป็นแม่พระจริงขอให้ทำอัศจรรย์ให้ต้นกุหลาบป่าที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ นั้นออกดอก
แม่พระเพียงแต่ยิ้มเป็นการสอนชาวเราว่า อัศจรรย์นั้นพระเป็นเจ้าทรงกระทำตามที่เห็นสมควรเท่านั้น มิใช่ทำตามคำท้าทายของใคร
การประจักษ์ครั้งที่ 15 ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม
เช้าวันนั้นมีผู้คนมาประมาณ 8,000 คน สิบตำรวจอังกลา ขี่ม้าตรวจการณ์คะเนว่า คงมีอย่างน้อยสัก 20,000 คน
วันนั้นหลังจากการประจักษ์แล้ว แบ์นาแด๊ตกลับไปเตือนคุณพ่อเจ้าวัดถึงเรื่องที่สตรีงามบอก แตรคุณพ่อเจ้าวัดย้ำว่า " ให้สตรีงามของเจ้าบอกชื่อมาสิ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นแม่พระ ฉันจะทำทุกอย่างตามที่แม่พระต้องการ "
การประจักษ์ครั้งที่ 16 ตรงกับวันที่ 25 มีนาคม
การประจักษ์ครั้งนี้สำคัญมาก แบร์นาแด๊ตวิงวอนให้สตรีงามนั้นบอกชื่อของตน " คุณขากรุณาบอกหนูหน่อเถอะค่ะ คุณคือใคร ?
" ต่อคำถามอันพากเพียรและเต็มไปด้วยความไว้วางใจเช่นนี้เป็นครั้งที่ 3 สตรีผู้นั้นซึ่งเคยพนมมืออยู่เสมอ บัดนี้ค่อยๆ กางแขนออก แบมือปล่อยแขนต่ำลงมาทั้ง 2 ข้าง ( แบบแม่พระในเหรียญอัศจรรย์ ) พลางกล่าวเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวลูร์ดว่า " ฉันคือการปฏิสนธินิรมล " พลางยิ้มให้แบร์นาแด๊ตอีกครั้งหนึ่ง แล้วหายไปทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่
แบร์นาแด๊ตกลับไปหาคุณพ่อเจ้าวัดกล่าวว่า " สตรีนั้นเพิ่งบอกหนูว่า " ฉันคือการปฏิสนธินิรมล " คุณพ่อเจ้าวัดถามต่อไปว่า " แล้วเจ้ารู้ไหมว่าแปลว่าอะไร? " " หนูไม่ทราบค่ะคุณพ่อ " หนูท่องมาตลอดทางตั้งแต่ถ้ำมาถึงที่นี่ว่า " ฉันคือการปฏิสนธินิรมล "
การประจักษ์ครั้งที่ 17 ตรงกับวันที่ 7 เมษายน แม่พระยิ้มอย่างอ่อนหวานกับเธอในโพรงที่ตั้งรูปแม่พระ เธอได้เห็นภาพประจักษ์เช่นนั้น นานประมาณ 45 นาที
การประจักษ์ครั้งที่ 18 หรือครั้งสุดท้าย ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม
แม่พระทรงประจักษ์มานานเป็นเวลา 15 นาที แบร์นาแด๊ตเล่าให้ฟังว่า " แม่พระประจักษ์มาให้เห็น ณ ที่เดิม โดยไม่พูดอะไร
หนูไม่เคยเห็นเธองามเหมือนวันนั้นเลย "
หลังจากนั้น
แบร์นาแด๊ตก็มิได้พบแม่พระอีก
พระศาสนจักรเริ่มดำเนินการสอบสวนจนกระทั่ง 18 มกราคม 1862 พระสังฆราชแห่งลูร์ดได้ประกาศเป็นทางการรับรองว่า เป็นแม่พระจริงที่ได้ประจักษ์มาที่ถ้ำมัสซาเบียลแล้วลงมือสร้างพระวิหารขึ้นจนสำเร็จ
ส่วนแบร์นาแด๊ตได้ตัดสินใจเข้าบวชเป็นนางชีที่เนอแวร์ส เดือนกรกฎาคม ปี 1866 เธอพยายามทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
และที่สุดได้มอบดวงวิญญาณบริสุทธิ์คืนแด่พระ ณ วันที่ 6 เมษายน 1879 อายุ 39 ปีเศษ
สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่
11 ทรงประกาศชื่อแบร์นาแด๊ต ซูบิรูส์ ในสารบบนักบุญ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1933 ทุกวันนี้ลูร์ดเป็นปูชนียสถานแม่พระที่ใครๆ ก็รู้จักกันทั่วโลก และมีผู้จาริกแสวงบุญมาที่นี่ไม่ขาดสายเลย
" อัศจรรย์ " ที่ลูร์ดยังคงมีอยู่เสมอ คือศีลมหาสนิท นอกเหนือไปจากปรากฏการณ์ทางศาสนาแล้ว ประสิทธิภาพของสารหรือข่าวดีขั้นพื้นฐานของพระวรสาร ก็ยังคงอยู่ และพระนางมารีอาก็ยังคงเรียกร้องจากเรามนุษย์อยู่เสมอๆ คือ " การกลับใจ " และจากพฤติกรรมอันนั้นเองของพระคริสตเจ้าที่พระองค์ได้ทรงประทานเนื้อและพระโลหิตของพระองค์ " เพื่อความรอดของมนุษย์ " จากการที่พวกคนป่วยยอมรับทนความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ด้วยความยินดี
พร้อมๆ กับพระคริสตเจ้าและจากการที่เด็กหนุ่มสาวเป็นจำนวนมากได้เสียสละอุทิศตนในการช่วยเหลือคนที่น่าสงสาร และผู้ประสบความทุกข์ยากลำบาก รวมทั้งบรรยากาศที่เข้มข้นไปด้วยการสวดภาวนาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อนที่ลูร์ดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ถ้าหากเราจะไม่ได้มองสิ่งต่างๆ เหล่านี้โดยอาศัยแสงสว่างของบูชามิสซาที่ได้จัดให้มีขึ้นที่เมืองของแม่พระแห่งนี้เป็นสิ่งแรก เพื่อที่เราจะต้องมองดูและทำความเข้าใจว่า เป็นพระคริสตเจ้าในบูชามิสซาเองที่ผ่านไปพลางอวยพรคนป่วย เป็นพระองค์เองที่เป็นผู้นำข่าว และเป็นผู้ที่ให้การช่วยให้รอดหรือการรักษาให้หายได้สำเร็จไป
|