ใน ค.ศ. 284  ดิโอเคลเตียนขึ้นเป็นจักรพรรดิ พระองค์คิดการใหญ่ที่จะปรับปรุงและสร้างความเข้มแข็งให้จักรวรรดิ ภายใต้การปกครองของพระองค์ จักรพรรดิได้รับการแสดงความเคารพในฐานะพระเจ้าและมีอำนาจอย่างไม่จำกัด

ใน ค.ศ. 284  เหล่าข้าราชการของกองทัพอาณาจักรโรมันภาคตะวันออกได้ก่อการจราจลขึ้น ที่สุดข้าราชการประกาศให้  ดิโอเคลเตียน  (Dioceltian)  ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ

ดิโอเคลเตียนต้องการจะปรับปรุงการปกครองใหม่ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้จักรวรรดิโรมันโดยเริ่มจากการสร้างอำนาจที่เข้มแข็งให้จักรพรรดิเอง

เป็นที่เข้าใจกันว่า  การปกครองของโรมันเป็นแบบวุฒิสภา จักรพรรดิจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลในช่วงเวลาภาวะฉุกเฉินเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วจักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง บรรดาจักรพรรดิที่สืบตำแหน่งต่อกันมาแต่ละพระองค์จะพยายามรักษาอำนาจปกครองของตนเอาไว้ โดยการอ้างว่าภาวะฉุกเฉินยังคงดำเนินอยู่

ขณะนี้ดิโอเคลเตียนทำให้จักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง  แบบระบบสมบูรณาญาสิทธิราช  และมีอำนาจอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด

ศาสนาตะวันออกที่กำลังแผ่ขยายในกรุงโรม  ช่วยสนับสนุนแนวคิดในเรื่องอำนาจของจักรพรรดิ ศาสนาเหล่านี้กล่าวถึงจักรพรรดิในฐานะเป็นพระเป็นเจ้าพระเจ้าแห่งโลกมนุษย์ ประชาชนต้องจุดเทียนวางไว้รอบๆ รูปของดิโอเคลเตียน เพื่อเป็นการนมัสการจักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน  ที่ทำงาน  และกองบังคับบัญชาการกองทัพ จักรพรรดิสวมมงกุฎที่ทำด้วยทองคำ ประดับด้วยไข่มุก ปักเย็บด้วยทองและฝังเพชรพลอยที่มีราคา เมื่อพระองค์เสด็จผ่านไปที่ไหน ประชาชนต้องคุกเข่าลง พระองค์ได้รับการนับถือเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

นอกจากการสร้างความน่าเกรงขามและดึงดูดความสนใจ  ผ่านทางความเชื่อทางศาสนาแล้ว  ดิโอเคลเตียนกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโดยผ่านทางมาตรหารต่างๆ ที่พระองค์บัญญัติขึ้น พระองค์ได้จัดตั้งระบบบริหารปกครองจักรวรรดิขึ้นใหม่ ดังนั้นกฎหมายของพระองค์จะต้องได้รับการปฏิบัติตามจากเมืองที่ใหญ่ที่สุดจนถึงหมู่บ้านที่เล็กที่สุด พระองค์ยังได้ปฏิรูปกองทัพด้วย ดังนั้นกองทัพของพระองค์สามารถรบได้รับชัยชนะ  ทั้งจากการต่อต้านของพวกเปอร์เซียในภาคตะวันออกและเผ่าเยอรมันในภาคตะวันตก

จำนวนของพลเมืองและข้าราชการทหารมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก  ชีวิตของพวกเขามีสถานภาพพิเศษต่อหน้าสาธารณะ และมีความสุขกับอำนาจมากมายภายใต้จักรพรรดิ เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มที่จะเฝ้าดูบรรดาพลเมืองอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่ากิจการทั้งหมดนี้ต้องใช้เงิน ดิโอเคลเตียนประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบการเก็บภาษีและระบบการเงิน พระองค์พยายามเก็บรายงานบันทึกต่างๆ อย่างเอาใจใส่ ดังนั้น  พระองค์รู้อย่างแน่นอนว่า  เงินที่เก็บมาได้นั้นมีอยู่มากเท่าไร การเก็บภาษีทุกประเภทเช่นนี้ตกเป็นภาระหนักอึ้งของประชาชน และภาษีต่างๆ เหล่านี้ถูกเก็บรวบรวมโดยปราศจากความเมตตา

ผ่านทางสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด  ดิโอเคลเตียนจัดการสร้างความเข้มแข็งให้กับจักรวรรดิมากขึ้น แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่มีราคาค่างวดที่แพงมาก  ประชาชนต้องสูญเสียอิสรภาพส่วนตัวมากมาย  และความสุขในชีวิตของพวกเขาที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมี