จักรพรรดิวาเลเลียนยังคงเบียดเบียนคริสตชนต่อจากจักรพรรดิเดชิอุสใน ค.ศ. 258 พระสันตะปาปาซิกตุสได้เป็นมรณสักขี ขณะที่พระองค์กำลังประกอบพิธีมิสซาใน สุสานใต้ดิน    ลอเรนซ์สังฆานุกรองค์สุดท้ายที่มีชีวิตอยู่ที่กรุงโรม ถูกจับและถูกฆ่าตาย ดังนั้นจักรพรรดิพยายามทำลายพระศาสนจักร โดยการฆ่าผู้นำคริสตชน แต่พระศาสนจักรยังคงดำรงอยู่ต่อไป

วาเลเรียนขึ้นเป็นจักรพรรดิใน ค.ศ. 253  และเริ่มเบียดเบียนคริสตชนใน ค.ศ. 257  วาเลเรียนไม่อนุญาตให้คริสตชนประชุมกันเพื่อการถวายบูชานมัสการ  หรือไปเยี่ยมเยียนสุสานของพวกเขา

6 สิงหาคม ค.ศ. 258 การเบียดเบียนเริ่มรุนแรงมากขึ้น เมื่อพระสันตะปาปาซิกตุสที่ 2 ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาสังฆานุกรของพระองค์ กำลังประกอบพิธีมิสซาอย่างลับๆ ในสุสานใต้ดินกัลลิสตุส ที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม   พระสันตะปาปารู้ว่าพระจักรพรรดิห้ามประกอบพิธีมิสซา ถ้าใครขัดขืนมีโทษถึงตาย แต่ความรักของพระสันตะปาปาซิกตุสที่มีต่อพระคริสตเจ้านั้น เข้มแข็งกว่าความกว่าความกลัวของจักรพรรดิ ในทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงและจังหวะฝีเท้าที่รวดเร็วของทหารโรมันจากทางเข้าออก พวกทหารเห็นพระสันตะปาปาและบรรดาสังฆานุกรกำลังประกอบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ พระสันตะปาปาซิกตุสและบรรดาสังฆานุกรถูกฆ่าตายในทันที

การเบียดเบียนที่น่ากลัวได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ไปสู่พระศาสนจักรทั่วกรุงโรม สังฆานุกรทั้ง 7 คน ที่เป็นผู้คอยดูแลพระศาสนจักรท้องถิ่นในเขตต่างๆ ตอนนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ลอเรนซ์ ( Lawrence) ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ที่จริงท่านก็ถูกจับด้วยเหมือนกัน แต่บรรดาผู้ที่มีอำนาจของพวกโรมันต้องการรู้ว่า ที่เก็บทรัพย์สมบัติของพระศาสนจักรภายใต้การดูแลของท่านอยู่ที่ไหน และพยายามจะค้นหาให้ได้ พวกเขาได้ฆ่าลอเรนซ์ เมื่อท่านปฏิเสธที่จะบอกพวกเขา ที่จริงลอเรนซ์เองไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาเงินเลย ท่านรู้ว่าจักรพรรดิโรมันกำลังพยายามทำลายพระศาสนจักร  โดยการฆ่าบรรดาผู้นำคริสตชน ยึดเอาข้าวของและทรัพย์สมบัติของพระศาสนจักร เพื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างความหมดหวังท่ามกลางผู้มีความเชื่อ แต่ท่านต้องการยืนเคียงข้างพระศาสนจักรต่อสู้กับศัตรูของพระศาสนจักร

จักรพรรดิไม่ประสบความสำเร็จในการทำลายพระศาสนจักร แต่ประชาชนจำนวนมากตายก่อนที่การเบียดเบียนจะสิ้นสุดลง