คริสตชนจำนวนมากที่ถูกจับในการเบียดเบียนโดยจักรพรรดิเดชิอุส ได้ละทิ้งความเชื่อคริสตชน เพราะกลัวการทรมานและความตาย หลังจากนั้น บางคนในพวกเขาได้เสียใจและร้องขอที่จะรับการอภัย หลังจาการทำกิจใช้โทษบาป พวกเขาได้รับการยอมรับกลับเข้ามาในกลุ่มคริสตชน

ตามที่เราได้สังเกตเห็น ไม่ใช่คริสตชนทั้งหมดที่ได้แสดงความกล้าหาญผ่านเข้าไปเป็นมรณสักขี บางคนได้ติดสินบนสมาชิกของคณะกรรมการ และได้รับใบรับรอง (libellus) แม้ว่าพวกเขามิได้กระทำการถวายบูชา ประชาชนเหล่านี้ถูกเรียกว่า "thurificati" (เป็นคนที่ละทิ้งศาสนาโดยไม่ค่อยเต็มใจนัก หรืออาจจะเต็มใจก็ได้  และได้ไปแสดงตัวถวายกำยานต่อรูปปั้นเทพเจ้าและจักรพรรดิ) บุคคลเหล่านี้ทั้งหมดที่ได้ทรยศต่อความเชื่อด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งถูกเรียกว่า "lapsi" (ผู้ละทิ้งความเชื่อ) เพราะว่าพวกเขาได้เลื่อนไหลหรือพลาดพลั้งไปจากความเชื่อ

เมื่อการเบียดเบียนได้สิ้นสุดลง ผู้ละทิ้งความเชื่อจำนวนมากได้ร้องขอเพื่อที่จะกลับเข้าสู่กลุ่มคริสตชน สิ่งนี้ได้กลายเป็นปัญหาที่ยากลำบากสำหรับพระศาสนจักรที่จะแก้ไข ในด้านหนึ่ง บาปของการละทิ้งความเชื่อเป็นเรื่องที่หนักมาก แต่อีกด้านหนึ่ง  พระเยซูได้ทรงให้แบบอย่างแห่งการให้อภัยเปโตร หลังจากที่เปโตรได้ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง คริสตชนบางคนยืนยันว่า ผู้ที่ละทิ้งความเชื่อไม่สมควรถูกรับกลับมาเข้าในพระศาสนจักรอีก เมื่อผู้มีอำนาจของพระศาสนจักรตัดสินใจที่จะยกโทษให้บรรดาผู้ละทิ้งความเชื่อ คริสตชนเหล่านี้ได้ปฏิเสธที่จะยอมรับการตัดสินใจนี้ และในที่สุดลงเอยด้วยการออกไปอยู่นอกพระศาสนจักร

ในการแสวงหาวิธีการอภัยโทษ  ผู้ละทิ้งความเชื่อบางคนได้แสดงจดหมายในนามของพวกเขา  ซึ่งได้ถูกเขียนโดยมรณสักขีคริสตชนก่อนที่พวกเขาจะตาย ผู้มีอำนาจของพระศาสนจักรจะผ่อนผันให้กับพวกเขา libellatici    ซึ่งถือว่าไม่ได้ละทิ้งความเชื่อคริสตชนอย่างแท้จริง หลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้ว พวกนี้ได้รับเครื่องหมาย "สันติสุข" (peace) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถกลับมาในกลุ่มคริสตชน

มันเป็นการยากยิ่งขึ้น  สำหรับพวกที่ได้แสดงตัวถวายกำยานต่อรูปปั้นเทพเจ้าและจักรพรรดิ  (thurificati) เพราะว่าพวกเขาได้ถอยห่างจากความเชื่อ อย่างแท้จริง ถ้าพวกเขาได้ยอมรับความผิดของพวกเขาอย่างเปิดเผย และได้แสดงว่าพวกเขาได้สำนึกผิดเสียใจสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ พวกเขาสามารถจะถูกรับกลับเข้ามาในพระศาสนจักรได้ ก็ต่อเมื่อผ่านช่วงระยะเวลาของการทำกิจใช้โทษบาปแล้วเท่านั้น ผู้มีอำนาจของพระศาสนจักรเป็นผู้ตัดสินว่าจะต้องทำกิจใช้โทษบาปอะไรและอย่างไรบ้าง โดยทั่วไปบรรดาคนบาปพวกนี้จะต้องสวมเสื้อที่แสดงถึงความสำนึกผิดเสียใจ  ต้องสวดภาวนาและทำงานด้านเมตตาสงเคราะห์

หลังจากช่วงเวลาแห่งการทำกิจใช้โทษ  บรรดาคนบาปจะร้องขอพระสังฆราชของพวกเขา พระสงฆ์ท้องถิ่น และกลุ่มคริสตชน เพื่อจะต้อนรับพวกเขากลับมา พระสังฆราชอนุญาตให้การอภัยโทษ โดยวางมือของท่านบนศรีษะของพวกที่ทำกิจใช้โทษบาป พระศาสนจักรระมัดระวังที่จะตำหนิว่ากล่าวคนบาปทั้งหลาย แต่แสดงความรักและความเมตตาและอภัยในความผิดพลาดเสมอ