ถึงแม้ว่าจะมีการโต้เถียงกันบ้างในหมู่คริสตชนเองก็ตาม พวกเขาก็ยังพยายามดำเนินชีวิตตามคำสัญญาที่วพกเขาให้ไว้ในเวลาที่รับศีลล้างบาป คนต่างศาสนามีความประทับใจในชีวิตของคริสตชน ที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ขัดสน คริสตชนจำนวนมากสละชีวิตครอบครัวเพื่อรับใช้พระศาสนจักร แม้ว่าบางคนต้องทนทรมานเป็นมรณสักขีเพื่อยืนยันความเชื่อ

ในศตวรรษที่ 3 คริสตชนไม่ได้เป็นกลุ่มเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว โลกมองเห็นพระศาสนจักรที่กำลังเติบโตและกำลังแผ่ขยายออกไป วิถีชีวิตแบบใหม่ของคริสตชนดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นจำนวนมาก บางคนคิดว่าความเจริญก้าวหน้าของพระศาสนจักรคริสตชน กำลังเป็นอันตราต่อจักรวรรดิโรมัน

บรรดาคริสตชนเองรู้ตัวว่าพวกเขารับศีลล้างบาป แล้วเข้าสู่วิถีดำเนินชีวิตใหม่ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์คริสตชนตลอดเวลา แต่ทว่าบ่อยๆ พวกเขาพยายามไตร่ตรองถึงความหมายของศีลล้างบาปที่พวกเขาได้รับ ตัวอย่างเช่น โอริเจน บอกกับคริสตชนว่า "ชีวิตใหม่ของพวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่รับศีลล้างบาป โดยมีพระเยซูเจ้าเป็นผู้นำทาง และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องติดตามพระเยซูเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว คริสตชนต้องมั่นคงในความเชื่อตามแนวทางการดำเนินชีวิตแบบใหม่ และบำรุงรักษาให้เจริญเติบโตขึ้น" โอริเจนเปรียบเทียบว่าคริสตชนเป็นเหมือนผลองุ่นที่ติดอยู่กับต้นองุ่น พวกเขาจะต้องพยายามบำรุงรักษาไว้จนกระทั่งสุกเต็มที่และนำมาทำเป็นเหล้าองุ่น

ในเวลาเดียวกัน ก็มีคริสตชนที่เห็นแก่ตัว และบางครั้งบางคราวก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาได้พยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะบาปของเขาและแสดงความเชื่อของพวกเขาออกมาในกิจการต่างๆ พวกเขาเต็มใจยอมรับความทุกข์ทรมานเป็นมรณสักขีด้วยความชื่นชมยินดี ถ้าหากจำเป็นเช่นนั้น และสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 3 แม้ว่าคริสตชนบางคนจะปฏิเสธ และได้ละทิ้งความเชื่อ แต่คริสตชนจำนวนมากยังคงซื่อสัตย์ต่อความเชื่อ แม้ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงความตายก็ตาม คริสตชนเหล่านี้รู้สึกว่า เป็นพระเยซูเจ้าเองที่ได้ร่วมรับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับพวกเขา และนี่เองทำให้ความตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลยสำหรับพวกเขา

คริสตชนจำนวนมากตั้งใจที่จะอุทิศด้วยความใจกว้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการเบียดเบียนจนเป็นมรณะสักขี เมื่อประชาชนมีความเจ็บป่วยและเกิดโรคระบาด บ่อยๆ ที่คริสตชนได้ดูแลเอาใจใส่คนป่วยและคนตาย โดยที่พวกเขาอาจจะเป็นโรคติดต่อก็ได้ คริสตชนบางคนสมัครใจที่จะไม่มีครอบครัวเพื่ออุทิศตัวเองในการรับใช้พระศาสนจักร

การแสดงออกถึงความเชื่อคริสตชนอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับการยกย่องมากนั่นคือ กิจการแห่งความรัก การเมตตาสงเคราะห์ต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ คริสตชนจำนวนมากให้ความช่วยเหลือคนชรา และเยาวชน บรรดาเด็กกำพร้าและหญิงม่าย นักเดินทางทะเลและคนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขายังช่วยทำพิธีฝังศพให้คนตายด้วย แม้ว่าคนเหล่านนั้นเป็นคนแปลกหน้า กิจการแห่งความรักเหล่านี้ถือว่า เป็นเครื่องหมายของบุคคลที่ศรัทธายึดมั่นในคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป

พระศาสนจักรในเวลานั้น พวกทาสอยู่ในฐานะที่เสมอภาคและเท่าเทียมกับคริสตชนอื่นๆ ในขณะที่พระศาสนจักรยังไม่สามารถทำกิจการใดๆ เพื่อทำให้การเป็นทาสสิ้งสุดลงได้ แต่ความรักและการดูแลเอาใจใส่ที่พระศาสนจักรมีต่อบรรดาทาสนั้นเป็นเหมือนบันไดก้าวต่อไปที่สำคัญในเวลาต่อมา การเอาใจใส่ด้วยความรักซึ่งคริสตชนได้แสดงออกต่อเพื่อนพี่น้องนี้ สร้างความประหลาดใจให้กับคนต่างศาสนาเป็นอันมาก จนพวกเขาต่างก็พูดกันว่า "ดูซิ  พวกเขานั้นรักซึ่งกันและกันจริงๆ"