พระศาสนจักรในช่วงต้นศตวรรษที่  3 ราว ค.ศ. 2000 กลุ่มคริสตชนเริ่มดูเหมือนว่าเป็นกลุ่มใหญ่มากขึ้น มีการจัดระบบดีขึ้น และข่าวดีแห่งพระวรสารกำลังแผ่ขยายไปสู่กลุ่มที่อาศัยอยู่นอกพระศาสนจักร

ต้องขอบคุณบรรดามิชชันนารี ที่ทำให้พระศาสนจักรแผ่ขยายไปในส่วนต่างๆของจักวรรดิโรมัน  ราว ค.ศ. 200  มีคนจำนวนมากกลับใจเป็นคริสตชนในภาคตะวันออกของจักวรรดิโรมัน ในเวลานี้มีคริสตชนกลุ่มใหญ่พอสมควรอาศัยที่กรุงโรม ภายใต้การนำของพระสังฆราช พระสังฆราชแห่งกรุงโรมดูเหมือนว่าจะสำคัญกว่าพระสังฆราชองค์อื่นๆ และถูกเรียกว่า " Papa " หมายความว่า " บิดา " ( Father ) และจากนี้เป็นต้นมาคำว่า " พระสันตะปาปา " ( Pope )  เป็นชื่อพิเศษเฉพาะสำหรับพระสังฆราชแห่งกรุงโรม

ในช่วงปลายศตวรรษที่  2 จักรวรรดิโรมันมีปัญหามากมายด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจ เป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย ประชาชนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะได้พบกับความจริงและความรอด ศาสนาของคนต่างศาสนาของกรุงโรมในแบบเก่าๆ และแนวความคิดของนักปรัชญา ไม่เป็นที่พอใจสำหรับพวกเขาอีกต่อไป คริสต์ศาสนาและศาสนาที่มาจากตะวันออก ได้ให้ความหวังและความพึงพอใจมากกว่า

การแผ่ขยายของคริสต์ศาสนา ได้รับการสนับสนุนที่สำคัญโดยรูปแบบการเจริญชีวิตที่เน้นความรักและการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม คริสตชนแบ่งปันอาหาร  เยี่ยมเยียนคนป่วย ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยวิธีการต่างๆ พวกเขายังจัดตั้งโรงเรียนและพัฒนาศิลปะแบบคริสต์ด้วย พวกเขารักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นโดยการเขียนจดหมาย และแบ่งปันงานเขียนเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาแก่กันและกัน ในเวลาของการถูกเบียดเบียน พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายมากกว่าละทิ้งความเชื่อในพระเยซูเจ้า

คริสต์ศาสนามีสถานที่สำหรับพบปะกัน  เหมือนกับคนต่างศาสนากลุ่มอื่นๆ  และศาลาธรรมของชาวยิว  พวกเขายังมีเงินกองทุนของกลุ่มอีกด้วย กลุ่มคริสตชนแต่ละกลุ่มมีหัวหน้าคือ พระสังฆราช ซึ่งได้รับมอบให้ทำหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการถวายบูชาทั้งหมด และเรื่องความเชื่อคริสตชน  พระสังฆราชจะมีพระสงฆ์ และสังฆานุกร คอยช่วยเหลือ ซึ่งเวลานี้พวกเขาเป็นผู้ช่วยที่สำคัญมากที่สุด