ในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 2 จักรวรรดิโรมันเผชิญกับวิกฤติการณ์รุนแรงหลายอย่าง ประชาชนที่หลากหลายในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของชาวโรมัน สภาพทางศีลธรรมตกต่ำ ชาวโรมันขาดความมั่นใจในสิ่งที่เชื่อถือ ศาสนามากมายที่แตกต่างกันดึงดูดจูงใจให้น่าติดตาม และความเชื่อทางไสยศาสตร์กำลังแพร่หลาย คริสตชนกลายเป็นแพะรับบาปและถูกเบียดเบียน

คนต่างศาสนาและผู้มีอำนาจชาวโรมัน เริ่มเบียดเบียนคริสตชนบ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อน เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจากเหตุผลหลากหลาย

สถานการณ์ของจักรวรรดิโรมันกำลังเลวร้ายลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 1 เกิดวิกฤติการณ์ด้านการเมือง ศีลธรรม และวัฒนธรรม จักรวรรดิที่กว้างใหญ่เป็นปัญหาสำคัญ มันกว้างขวางมากขึ้นจนยากที่จะป้องกันผู้รุกรานตามชายแดน และดูแลรักษาประชาชนภายในให้อยู่ในการควบคุม เมื่อประชาชนบางกลุ่มเช่น ชาวยิว ก่อการจลาจล กองทัพต้องถูกส่งมาเพื่อปราบจลาจล พวกทหารโรมันเองก็เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการทำสงครามในดินแดนที่ห่างไกล และยังหวังที่จะพักผ่อนปลดเกษียณอย่างสุขสบายในบ้านเกิดของตัวเองด้วย

การขยายตัวของอาณาจักรและการเพิ่มขึ้นของการติดต่อสื่อสาร ทำให้ชาวโรมันต้องติดต่อสัมพันธ์กับวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างกันด้วย หลายๆ ศาสนาโดยเฉพาะในภาคตะวันออก ดึงดูดใจชาวโรมันและไขข้อข้องใจที่มีอยู่ต่อศาสนาทางการของกรุงโรม  ประชาชนบางคนไม่เชื่อในศาสนาอีกต่อไป และหันไปเชื่อถือแบบไสยศาสตร์  ตัวอย่างเช่น ไฟที่น่ากลัว แสดงว่าบางคนได้ทำบาปที่หนักหรือก่ออาชญากรรม ความตายและความเสียหายจากสงคราม หมายความว่าประชาชนไม่ได้ภาวนาอย่างจริงจังต่อมาร์ เทพเจ้าแห่งสงคราม

ความสงสัย ความไม่มั่นคงและความกระวนกระวายใจจากสถานการณ์นี้ เป็นความรู้สึกร่วมกันของประชาชนจำนวนมาก ที่ต้องทรมานทุกข์ยากเพราะได้รับผลกระทบจากความเลวร้ายทางด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ความฟอนเฟะทางการเมืองและสังคม ดังนั้นจึงมีเหตุผลมากมายที่จะต้องหาแพะรับบาปในเรื่องนี้ และนั่นก็คือ คริสตชน 

ทำไม เพราะคริสตชนปฏิเสธที่จะสวดภาวนาต่อเทพเจ้าของชาวโรมัน หรือต่อจักรพรรดิ ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีต่อกันนั้น ดูเหมือนว่าเป็นการบ่อนทำลายระบบการปกครอง และความเชื่อก็เป็นอันตรายที่จะนำไปสู่การปฏิวัติด้วย ดังนั้น การเบียดเบียนคริสตชนจึงเกิดขึ้นทั้งโดยชาวโรมัน ชาวยิว และคนต่างศาสนา แต่ยิ่งทีจำนวนคริสตชนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ