10. ความคิดประการแรกก็คือว่า ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงที่พระศาสนจักรควรรู้ตัวเองให้ลึกซึ้ง ควรสอบจิตพินิจพิจารณาถึงรหัสธรรมที่เกี่ยวกับเฉพาะตัวเองที่ควรสำรวจ เพื่อความเห็นแจ้งและเพื่อพัฒนาตัวเอง ถึงข้อคำสอนข้อหนึ่งโดยเฉพาะซึ่งรู้ักันอยู่แล้ว และซึ่งได้วางแนวทางและได้ประกาศไปแล้วในศตวรรษที่ผ่านมา

คำสอนข้อนั้นเกี่ยวกับกำเนิดพระศาสนจักร ธรรมชาติ ภารกิจ และจุดหมายปลายทางเบื้องสุด ข้อคำสอนที่ไม่เคยลืมค้นหาและเข้าใจให้เพียงพอ ให้สมกับที่บรรจุ “คำอธิบายให้เข้าใจถึงแผนการอันล้ำลึก ซึ่งได้ซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ ณ บัดนี้ โดยทางพระศาสนจักรถึงพระปรีชาญาณของพระเป็นเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ ( อฟ 3:9-10 )  คำสอนนี้เป็นหอเก็บพระธรรมอันล้ำลึก หรืออีกนัยหนึ่งเป็นขุมทรัพย์แห่งแผนการอันล้ำลึกของพระเป็นเจ้าซึ่งต้องได้รับการเปิดเผยโดยพระศาสนจักร มันเป็นเวลานี้มากกว่าสิ่งอื่นใดที่เหมาะสมจะรำพึงพิจารณาสำหรับทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นผู้ติดตามพระคริสตเจ้าอย่างนอบน้อม และยิ่งไปกว่านั้น สำหรับทุกคน เช่นข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายพี่น้องที่เคารพนับถือพระจิตเจ้าได้ทรงแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชปกครองพระศาสนจักรของพระเจ้า ( เทียบ กก 20: 28 )

11. จากการเข้าถึงความเป็นจริงอย่างเห็นแจ้ง และสัมฤทธิ์ผลนี้ก็จะเกิดความปรารถนาขึ้นมาเองที่จะเปรียบเทียบภาพพจน์ตามอุดมการณ์ของพระศาสนจักรอย่างที่พระคริสตเจ้าทรงเห็น ทรงตั้งพระทัย และทรงรักอย่างเจ้าสาวที่ศักดิ์สิทธิ์ และไร้มลทิน ( อฟ 5:27 ) กับภาพพจน์ที่เป็นอยู่ที่ได้ให้ไว้ และได้รับพละกำลังจากพระจิตเพื่อพัฒนาไปตามแนวทางดั้งเดิมของพระศาสนจักร และที่ซื่อตรงต่อธรรมชาติของมนุษยชาติที่พระศาสนจักรกำลังแพร่ธรรม และยกให้สูงขึ้น

แต่ภาพพจน์ของพระศาสนจักรที่เป็นอยู่ก็ไม่เคยที่จะสมบูรณ์เพียบพร้อม น่ารัก ศักดิ์สิทธิ์ และเลิศลอยอย่างที่ความคิดตอนก่อตั้งได้ปรารถนาไว้ ดังนั้น จึงเกิดความต้องการอย่างเสียสละ  และเร่งด่วนที่จะรื้อฟื้นปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่่มโนธรรมต่อต้านและปฏิเสธเหมือนเมื่อยืนอยู่หน้าบานกระจก เราต้องสำรวจลงไปภายในถึงภาพพจน์ของพระคริสตเจ้าที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้