หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

พระจิตเจ้า : พระผู้เป็นเจ้า และผู้ทรงประทานชีวิต

พระจิตเจ้าของพระเป็นเจ้า ในบรรดาสิ่งสร้างและในประวัติ-ศาสตร์
 

หากเป็นความจริงว่า เราจะสามารถเข้าใจความรอดของพระเยซูเจ้าได้ในบริบท แห่งการสำแดงออก ซึ่งแผนการแห่งความรอดของพระตรีเอกภาพ  ก็ย่อมหมายความว่า พระจิตเจ้าทรงมีส่วนสำคัญยิ่งยวดในรหัสธรรมของพระเยซูเจ้า และความรอดซึ่งพระองค์ทรงนำมาประทานให้ บรรดาสมาชิกของสมัชชาอ้างอิงถึงบทบาทของพระจิตเจ้า ในประวัติแห่งความรอดบ่อยครั้ง โดยให้ข้อสังเกตว่า การแยกแยะองค์พระผู้ไถ่ และพระจิตเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้ความจริงที่ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ของมนุษย์ทุกคนแต่เพียงพระองค์เดียวนั้น ผิดเพี้ยนไป

ในประวัติของคริสตศาสนา พระจิตเจ้ากับชีวิตและการประทานชีวิต เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ข้อความเชื่อไนซีนคอนสตันติโนเปิล เรียกพระจิตเจ้าว่า “พระเป็นเจ้าและพระผู้ทรงประทานชีวิต” จึงไม่แปลกเลยที่การตีความเรื่องการสร้างโลกในหนังสือปฐมกาลนั้น จึงมองเห็นพระจิตเจ้าในลมพายุอันแรงกล้า ทีพัดผ่านอยู่เหนือน้ำ (ดู ปฐก.1:2) พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ตั้งแต่แรกสร้างโลก เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเป็นเจ้า องค์พระตรีเอกภาพเป็นครั้งแรก และทรงประทับอยู่ในโลก ในฐานะที่ทรงเป็นพลังบันดาลชีวิต ในเมื่อการสร้างเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ พระจิตก็ทรงเป็นพลังซ่อนเร้นที่ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ในประวัติศาสตร์ ทรงนำประวัติศาสตร์ในหนทางแห่งความจริงและความดีงาม

การเผยแสดงพระบุคคลของพระจิตเจ้า และความรักซึ่งพระบิดาและพระบุตรทรงมีต่อกันและกัน เป็นสิ่งที่ปรากฏในพันธสัญญาใหม่ ในความคิดของคริสตชนนั้น พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตและสัตว์โลกทั้งหลาย การสร้างเป็นสื่ออิสระแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เป็นสื่อซึ่งบันดาลให้ทุกสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่ได้รับการสร้างมา ที่มิได้เปี่ยมด้วยการแลกเปลี่ยนแห่งความรักอันไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นการสำแดงออก ซึ่งชีวิตอันลึกซึ้งของพระตรีเอกภาพ และเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า “โลกเปี่ยมล้นด้วยพระจิตของพระเจ้า” (ปชญ.1:7) การที่พระจิตประทับอยู่ในบรรดาสิ่งสร้าง ย่อมบันดาลให้มีระบบระเบียบ กลมกลืน และเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของบรรดาสิ่งที่มีอยู่

มนุษย์ซึ่งได้รับการสร้างมาตามพระฉายาของพระเป็นเจ้า กลับเป็นที่ประทับของพระจิตเจ้าด้วยวิธีใหม่ เมื่อเขาได้ถูกยกให้มีเกียรติเป็นบุตร-บุญธรรมของพระเป็นเจ้า (ดู กท.4:5) อาศัยศีลล้างบาป เขาสัมผัสกับการ ประทับอยู่และพระอานุภาพของพระจิตเจ้า มิใช่ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ทรงประทานชีวิตเท่านั้น แต่ในฐานะที่ทรงบันดาลให้สะอาดบริสุทธิ์ และทรงประทานความรอด อันก่อให้เกิดผลแห่งความรัก ความยินดี สันติ ความอดทน ความเอื้ออาทร ความดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง (กท.5:22-23) ผลงานของพระจิตเจ้านี้ เป็นเครื่องหมายว่า “ความรักของพระเป็นเจ้าได้หลั่งลงมาในดวงใจของเรา เดชะพระจิตเจ้า ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงประทานให้แก่เรา” (รม.5:5) ความรักนี้ หากรับไว้อย่างเสรี จะช่วยให้ชายหญิงเป็นเครื่องมือแห่งภาระกิจต่อมา โดยไม่หยุดยั้งของพระจิตเจ้า ซึ่งเรามองไม่เห็น ความสามารถที่จะมอบและรับความรักนี้เอง มากกว่าสิ่งอื่นใด ที่เป็นสักขีพยานยืนยันถึงการประทับอยู่ภายใน และพระอานุภาพของพระจิตเจ้า อันเป็นผลให้มีการเปลี่ยนแปลงและการเสริมสร้างใหม่ ซึ่งพระจิตเจ้าทรงบันดาลให้เกิดขึ้นในจิตใจของประชาชน พระองค์จึงทรงสามารถมีอิทธิพลเหนือสังคมและวัฒนธรรม “อันที่จริง พระจิตเจ้าทรงเป็นต้นกำเนิดของอุดมคติและการกระทำอันสูงสุด ซึ่งยังคุณประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ ที่กำลังเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ พระจิตของพระเป็นเจ้าทรงกำหนดทิศทางของยุคต่างๆ และทรงบันดาลให้แผ่นดินได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ ด้วยการทรงมองการล่วงหน้าอย่างน่าพิศวง

ตามแนวทางของสภาพระสังคายนาวาติกันที่สอง บรรดาสมาชิกสมัชชาได้ให้ความสำคัญกับพระราชกิจอันมากมายหลากหลายของพระจิตเจ้า ผู้ทรงหว่านเมล็ดแห่งความจริงในบรรดาประชาชน ในศาสนาของเขา รวมทั้งวัฒนธรรมและปรัชญาของพวกเขา ซึ่งหมายความว่า ศาสนา วัฒนธรรมและปรัชญาเหล่านี้ สามารถช่วยประชาชนทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม ให้ทำการต่อต้านความชั่วและส่งเสริมชีวิต รวมทั้งทุกสิ่งที่ดีงาม พลังแห่งความตายนั้น ทำให้ประชาชนและกลุ่มศาสนิกชนต่างเหินห่างจากกัน บันดาลให้เกิดการแก่งแย้งชิงดีกัน ไม่ไว้วางใจกัน และในที่สุด ก็มีการเข้าใจผิดกัน ตรงกันข้าม พระจิตเจ้าทรงสนับสนุนประชาชนในการแสวงหาความเข้าใจ และความยินยอมน้อมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นนับว่าถูกต้องแล้ว ที่สมัชชามองเห็นว่า พระจิตเจ้าทรงเป็นองค์ปฐมเหตุแห่งการเสวนาของพระศาสนจักรกับประชาชน วัฒนธรรม และศาสนาต่างๆ โดยทั่วไป

พระจิตเจ้าและการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระวจนาถ

อาศัยการทรงนำของพระจิตเจ้า ประวัติแห่งความรอดได้รับการเผยออกในเวทีข องโลกมนุษย์ อันที่จริงแล้วได้รับการเผยในจักรวาล ตามแผนนิรันดรของพระบิดาเจ้า ในแผนนั้นพระจิตเจ้าเป็นผู้ทรงริเริ่มเมื่อแรกสร้างโลก และได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาเดิม ได้สำเร็จไปอาศัยพระหรรษทานของพระเยซูคริสตเจ้า และยังดำเนินต่อไปในกา รสร้างใหม่ อาศัยพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน จนกระทั่งพระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในท่ามกลางพระสิริรุ่งโรจน์ในวาระการสิ้นสุดแห่งกาลเวลา การบังเกิดเป็นมนุ ษย์แห่งพระบุตรของพระเป็นเจ้า นับว่าเป็นผลงานอันสูงสุดของพระจิตเจ้า “อันที่จริงแล้ว การปฏิสนธิและการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้า นับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระจิตเจ้า ในประวัติแห่งการสร้างและความรอด นับเป็นพระหรรษทานอันสูงสุด พระหรรษ- ทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียว และเป็นแหล่งที่มาของพระหรรษทานทั้งหลาย การที่วจนาถทรงรับเอากาย นับเป็นเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงนำไม่เพียงมนุษย์ แต่บรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตลอดไป

หลังจากที่ได้ทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ ด้วยเดชะพระจิต ( ดู ลก.1:35, มธ.1:20) พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรธ พระเมสสิยาห์และพระผู้ไถ่แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า พระจิตเสด็จลงมาเหนือพระองค์ ในขณะที่ทรงรับศีลล้าง (ดู มก.1:10) ทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะได้ทรงรับพลังก่อนเสด็จอ อกเทศนาอย่างเปิดเผย (ดู มก.1:12, ลก.4:1, มธ.4:1) ในโรงธรรมที่นาซาเรธ พระองค์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจในฐานะประกาศก โดยทรงนำเอาวิสัยทัศน์ของอิสยาห์ เรื่องการทรงเจิมของพระจิตเจ้ามากล่าวถึงพระองค์เอง ซึ่งบันดาลให้พระองค์ทรงประกาศข่าวดีใ ห้แก่ผู้ยากไร้ ให้ผู้ถูกจองจำได้รับอิสรภาพ และทรงเริ่มกาลเวลาอันเป็นที่สบพระทัยของพระเจ้า (ดู ลก.4:18-19) อาศัยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนป่วย ทรงขับไล่ปิศาจอันเป็นเครื่องหมายที่สำแดงว่า พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้มาถึ งแล้ว (ดู มธ.12:28) เมื่อเสด็จกลับคืนพระชนม์จากความตายแล้ว พระองค์ทรงส่งพระจิตให้เสด็จมาเหนือบรรดาสาสุศิษย์ พระจิตเจ้าซึ่งพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานให้แก่พระศาสนจักร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดา (ดู ยน.20:22-23)

ทั้งหมดนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้านั้น มีเครื่ องหมายอันแสดงให้เห็นว่า พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่กับพระองค์อย่างแน่นอน เป็นชีวิต - ชีวิตใหม่ ในกาลเวลา การที่พระบิดาทรงส่งพระบุตร และการที่พระบิดาและพระบุตรทรงส่งพระจิตมานั้น ล้วนมีความสัมพันธ์และต่อเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ภา รกิจของพระจิตเจ้าในการสร้างและในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น ได้รับความหมายใหม่ ในชีวิตและพระพันธกิจของพระเยซูเจ้า “เมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจา ที่พระจิตเจ้าได้ทรงหว่านไว้ ได้เตรียมบรรดาสิ่งสร้าง ประวัติศาสตร์แ ละมนุษย์ ให้ครบบริบูรณ์ในองค์พระคริสตเจ้า”

บรรดาสมาชิกสมัชชาต่างแสดงความห่วงใย ที่มักจะมีแบ่งแยกระหว่างการทรง ดำเนินงานของพระจิตเจ้า และพระเยซูเจ้าองค์พระผู้ไถ่ เพื่อเป็นการให้คำตอบกับความห่วงใยนี้ ข้าพเจ้าขอนำสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในสมณสาสน์ “พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่” อีกครั้งหนึ่งว่า “(พระจิตเจ้า) จะทรงแทนที่พระคริสตเจ้ามิได้ พระ องค์มิได้ทรงเป็นผู้ที่เสด็จเข้ามาเสริมเติมความว่างเปล่าระหว่างพระคริสตเจ้ากับพระวจนาถ (Logos) ตามที่คิดกันไป สิ่งใดก็ตามที่พระจิตเจ้าทรงนำมาในจิตใจมนุษย์ และในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในวัฒนธรรมและศาสนา เป็นการเตรียมทา งให้แก่พระวรสาร และเราจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเอานำมาเชื่อมโยงกับพระคริสตเจ้า พระวจนาถผู้ทรงรับเอากายเดชะพระจิตเจ้า "เพื่อว่าในฐานะมนุษย์ที่ครบบริบูรณ์ พระองค์จะได้ทรงช่วยมนุษย์ทุกคน และทรงรวบรวมทุกสิ่ง"

ดังนั้น การที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ทั่วไป มิใช่เป็นข้อแก้ตัว ที่จะไม่ประกาศพ ระเยซูคริสตเจ้าอย่างชัดเจนว่า ทรงเป็นพระผู้ไถ่แต่เพียงพระองค์เดียว ตรงกันข้าม การที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ในจักรวาล แยกไม่ออกจากความรอดอันเป็นสากลของพระเยซูเจ้า การที่พระจิตเจ้าประทับอยู่ในบรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ ย่อมมุ่งไปสู่พระเย ซูคริสตเจ้า เหตุว่าในพระองค์ บรรดาสิ่งสร้างและประวัติศาสตร์ ได้รับการไถ่กู้และประสบความสำเร็จ การประทับอยู่และพระราชกิจของพระจิตเจ้า ทั้งก่อนการไถ่กู้ และในวันที่พระองค์เสด็จมาเหนือสาวก ล้วนมุ่งไปยังพระเยซูเจ้า และความรอดที่พระองค์ทรงนำม าเสนอ และการที่พระจิตเจ้าทรงประทับอยู่ในสากลจักรวาล ไม่สามารถแยกแยะไปจากพระราชกิจของพระองค์ ในพระวรกายของพระคริสตเจ้าคือ พระศาสนจักรได้

พระจิตเจ้าและพระวรกายของพระคริสตเจ้า

พระจิตเจ้าทรงรักษาพันธแห่งความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพระเยซูเจ้ากับพระศาส นจักรของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ พระองค์ประทับอยู่ในพระศาสนจักรดุจดังในพระวิหาร (ดู 1คร.3:16) เหนือสิ่งอื่นใด พระจิตเจ้าทรงนำพระศาสนจักรให้บรรลุถึงความจริงอันครบสมบูรณ์เกี่ยวกับพระ-เยซูเจ้า พระจิตเจ้ายังทรงมอบอำนาจให้พระศาสนจักรดำเนินพร ะพันธกิจของพระเยซูเจ้าต่อไป เริ่มต้นด้วยการเป็นสักขีพยานให้แก่พระเยซูเจ้าพระองค์เอง ซึ่งเป็นการทำให้พระสัญญาของพระเยซูเจ้าที่ทรงมอบไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนม์ ว่าจะทรงส่งพระจิตมายังสาวกของพระองค์ได้สำเร็จเป็นความจริงขึ้นมา “ เพื่อเขาจะได้เป็นสักขีพยานให้แก่พระองค์” (ดู ยน.15:26-27) ผลงานของพระจิตเจ้าในพระศาสนจักรอีกประการหนึ่งก็คือ การที่ทรงยืนยันว่า บรรดาผู้มีความเชื่อเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า และมีสิทธิ์ที่จะได้รับความรอด ความเป็นหนึ่งเดียวอย่างครบบริบูร ณ์กับพระบิดาเจ้า (ดู รม.8:15-17) พระจิตเจ้าทรงประทานพระพรต่างๆ ให้แก่พระศาสนจักร ทรงบันดาลให้พระศาสนจักรเจริญเติบโตในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ดุจกายเดียวที่ประกอบด้วยอวัยวะส่วนต่างๆ (ดู 1คร.12:4, อฟ.4:11-16) พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ปร ะชาชน ซึ่งมีขนบ-ธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาและความสามารถที่แตกต่างกัน ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกัน พระจิตเจ้าทรงตบแต่งพระศาสนจักรให้เป็นชุมชน แห่งการเป็นสักขีพยาน เป็นสักขีพยานให้แก่พระเยซูเจ้าองค์พระผู้ไถ่ อาศัยพระอานุภาพของพระองค์ (ดู กจ.1:8) ในแง่มุมนี้ พระจิตเจ้า ก็ทรงเป็นองค์ปฐมเหตุแห่งการแพร่ธรรม จากความจริงข้อนี้ บรรดาสมาชิกของสมัชชาจึงสามารถสรุปได้ว่า พระพันธกิจของพระเยซูเจ้าในโลกนี้ สำเร็จไปด้วยเดชะพระพลานุภาพของพระจิตเจ้าฉันใด “พระศาสนจักรก็ได้รับพระจิต ของพระองค์เดียวกันนั้นจากพระบิดาและพระบุตร ในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จมาเหนืออัครสาวก เพื่อทรงบันดาลให้พระพันธกิจแห่งความรัก และการรับใช้ของพระเยซูเจ้าในเอเซียครบบริบูรณ์” ฉันนั้น

แผนการเพื่อความรอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นแผนของพระบิดาเจ้านั้น มิได้สิ้นสุดลง ด้วยการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าเท่านั้น อาศัยพระพรแห่งพระจิตของพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงมอบผลแห่งพระพันธกิจความรอดของพระองค์ โดยผ่านทางพระศาสนจักรให้แก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย อาศัยการประกาศพระวรสาร และการรับใช้ ครอบ-ครัวมนุษยชาติด้วยความรัก พระสังคายนาวาติกันที่สอง ได้กล่าวไว้ว่า “พระจิตเจ้าทรงเร่งเร้าพระศาสนจักร ให้ประกอบภาระหน้าที่ เพื่อให้แผนการของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงสถาปนาพระคริสตเจ้าให้เป็นแหล่งความรอดของโลกทั้งโลก ได้สำเร็จไปอย่างครบบริบูร ณ์ พระศาสนจักรได้รับอำนาจจากพระจิตเจ้า เพื่อกระทำให้ความรอดของพระคริสตเจ้าสำเร็จไปในโลก พระศาสนจักรยังเป็นเมล็ดแห่งพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า และเป็นความหวังล่วงหน้าในความสำเร็จขั้นสุดท้ายที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น เอกลักษณ์และ พันธกิจของพระศาสนจักร ไม่สามารถแยกออกจากพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้ พระอาณาจักรซึ่งพระเยซูเจ้าทรงประกาศ และได้ทรงตั้งขึ้นในทุกสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสและได้ทรงกระทำเหนือสิ่งอื่นใด ในการสิ้นพระพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระองค์ พระ จิตเจ้าทรงเตือนพระศาสนจักรว่า พระศาสนจักรมิใช่จุดหมายปลายทางของตัวเอง ในทุกสิ่งที่พระศาสนจักรเป็นอยู่และกำลังกระทำอยู่ พระศาสนจักรดำเนินไปเพื่อรับใช้พระคริสตเจ้า และความรอดของโลก ในสถานภาพแห่งความรอดในปัจจุบัน พระราชกิจของพร ะจิตเจ้าในบรรดาสิ่งสร้างในประวัติศาสตร์ และในพระศาสนจักร ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งแผนการนิรันดรของพระตรีเอกภาพ เหนือทุกสิ่งที่เป็นอยู่

พระจิตเจ้าและพันธกิจของพระศาสนจักรในเอเซีย

พระจิตเจ้าผู้ประทับอยู่เหนือเอเซียในสมัยของบรรดาอัยกาและประกาศก และยิ่ง ทรงพลังมากขึ้นในสมัยของพระเยซูคริสตเจ้า และพระศาสนจักรเมื่อตอนแรกเริ่ม ปัจจุบันพระองค์ทรงเคลื่อนไหวท่ามกลางคริสตชนชาวเอเซีย ทรงประทานพลังให้แก่การเป็นสักขีพยานแห่งความเชื่อในท่ามกลางประชากร วัฒนธรรมและศาสนาต่างๆ ในทวีปนี้ พ ระจิตเจ้าทรงจัดเตรียมการเสวนาแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ระหว่างพระเป็นเจ้ากับมนุษย์ และทรงบันดาลให้สำเร็จลุล่วงไปบนผืนแผ่นดินเอเซีย  ในพระรหัสธรรมของพระคริสตเจ้าฉันใด การเสวนาระหว่างองค์พระผู้ไถ่กับประชาชนในทวีปนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป เดชะ พระอานุภาพของพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน ผู้ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ในพระศาสนจักรฉันนั้น ในขบวนการนี้ บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช และฆราวาสชายหญิง ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญ โดยระลึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นทั้งพระสัญ ญาและพระดำรัสสั่งว่า “ท่านจะได้พลัง เมื่อพระจิตเจ้าเสด็จมาเหนือท่าน และพวกท่านจะเป็นสักขีพยานให้แก่เราในเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดีย สะมาเรีย และจนถึงสุดปลายแผ่นดิน” (กจ.1:8)

พระศาสนจักรเชื่อมั่นว่า ลึกลงไปในจิตใจของประชาชน ในวัฒนธรรม และศาสน าของเอเซียนั้น มีความกระหายหา “น้ำทรงชีวิต” (ดู ยน.40:10-15) เป็นความกระหายที่พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้เกิดขึ้น และพระเยซูเจ้าองค์พระผู้ไถ่ เพียงพระองค์เดียวเท่า นั้น ที่จะสามารถทรงบันดาลให้อิ่มหนำได้ พระศาสนจักรยังความหวังในพระจิตเจ้าต่อไป ให้ทรงเตรียมใจชาวเอเซียให้มีการเสวนา อันจะนำมาซึ่งความรอดกับองค์พระผู้ไถ่ของมนุษย์ทุกคน อาศัยพระจิตเจ้าทรงนำในพันธกิจแห่งการรับใช้และความรัก พระศาสนจัก รสามารถเสนอการสัมผัสระหว่างพระเยซูคริสตเจ้า และชาวเอเซียที่กำลังแสวงหาความครบบริบูรณ์ ในการสัมผัสนี้เท่านั้น เขาจึงจะได้รับน้ำทรงชีวิต ซึ่งจะมุ่งไปสู่ชีวิตนิรันดร ก ล่าวคือ การรู้จักพระเป็นเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา (ดู ยน.17:3)

พระศาสนจักรทราบดีว่า จะสามารถกระทำพันธกิจนี้ให้สำเร็จได้ ก็ด้วยการนบนอ บต่อการดลใจของพระจิตเจ้า การปวารณาตัวว่าจะเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือที่แท้จริงแห่งพระราชกิจของพระจิตเจ้า ในสภาพความเป็นจริงอันสับสนของเอเซียนี้ พระศาสนจักรจะต้องมองเห็นการทรงเรียกของพระจิตเจ้า ให้เป็นสักขีพยานให้แก่พระเยซูเจ้า พระ ผู้ไถ่ ในหนทางใหม่และมีประสิทธิภาพ ในท่ามกลางความหลากหลายของทวีปนี้ ความจริงทั้งครบของพระเยซูเจ้า และความรอดที่พระองค์ทรงได้มานั้น จะเป็นพระพรเสมอ มิใช่เป็นผลมาจากความเพียรพยายามของมนุษย์ “พระจิตเจ้าพระองค์เอง ทรงเป็นพยานด้ วยจิตใจของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า และเมื่อเป็นบุตรก็เป็นผู้รับมรดก ผู้รับมรดกของพระเป็นเจ้า และเพื่อนร่วมรับมรดกกับพระคริสตเจ้า” (รม.8:16-17) ดังนั้น พร ะศาสนจักรจึงเรียกร้องอยู่เสมอว่า “เชิญเสด็จมาพระจิตเจ้าข้า โปรดทรงบันดาลให้จิตใจสัตบุรุษเต็มเปี่ยมและให้เร่าร้อนด้วยเพลิงแห่งความรักของพระองค์” นี่คือไฟที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาจุดในโลก พระศาสนจักรในเอเซียมีส่วนร่วมในความกระตือรือร้น ที่จะให้พ ระองค์จุดไฟนี้ขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน (ดู ลก.12:49) ด้วยความปรารถนาอันร้อนรน บรรดาสมาชิกของสมัชชาต่างก็พยายามแสวงหา หัวข้อหลักแห่งพันธกิจสำหรับพระศาสนจักรในเอเซีย ในขณะที่กำลังจะข้ามธรณีเข้าสู่สหัสวรรษใหม่