2307พระบัญญัติประการห้าห้ามการทำลายชีวิตมนุษย์โดยเจตนา
พระศาสนจักรได้ย้ำเตือนทุกคนให้ภาวนาและให้ปฏิบัติการเพื่อให้ความดีของพระเจ้าปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากพันธะของสงครามในอดีตอันเนื่องมาจากความชั่วร้ายและความอยุติธรรม ซึ่งสงครามทุกประเภทก่อให้เกิดขึ้น (เทียบ
พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 81.4)
2308พลเมืองทุกคนและรัฐบาลทั้งหลายต้องทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม
อย่างไรก็ดี "ตราบใดที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ระหว่างชาติที่มีอำนาจและกำลังเพียงพอ ตราบนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลมีสิทธิที่จะป้องกันตัวโดยชอบธรรม
เมื่อหมดช่องทางทุกอย่างที่จะตกลงกันโดยสันติ" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 79.4)
2309ต้องพิจารณาโดยเคร่งครัดถึงเงื่อนไขอันละเอียดอ่อน ซึ่งทำให้การป้องกันถูกต้องชอบธรรมด้วยการใช้กำลังทหาร
การตัดสินใจเช่นนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขเข้มงวดแห่งความชอบธรรมทางศีลธรรม เพราะเป็นกรณีฉกรรจ์ มีความจำเป็นต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้ในเวลาเดียวกัน
ผู้รุกรานก่อให้เกิดความเสียหายต่อชาติหรือต่อประชาคมแห่งนานาชาตินั้นยืดเยื้อ หนักฉกรรจ์และเป็นที่แน่นอน
วิถีทางอื่นๆ ทั้งหลายเพื่อทำให้มันสิ้นสุดนั้นเป็นที่เปิดเผยแล้วว่าปฏิบัติไม่ได้ หรือไร้ประสิทธิผล
ต้องมีการคาดการณ์จริงจังว่าจะสำเร็จ
การใช้อาวุธต้องไม่ก่อให้เกิดความชั่วร้ายและความวุ่นวายหนักกว่าความชั่วร้ายที่จะกำจัดออกไป ในการประเมินเงื่อนไขนี้
อานุภาพของเครื่องมือในการทำลายล้างที่ทันสมัยนั้นมีน้ำหนักใหญ่หลวง
เงื่อนไขเหล่านี้คือองค์ประกอบที่กำหนดรายการไว้ตามประเพณีในข้อความเชื่อที่กล่าวไว้เกี่ยวกับ "สงครามที่ชอบธรรม"
การประเมินเงื่อนไขแห่งความชอบธรรมทางศีลธรรมเช่นนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบของบรรดาผู้ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อประโยชน์ส่วนรวม
2310ในกรณีเช่นนี้ อำนาจฝ่ายบ้านเมืองมีสิทธิและหน้าที่ที่จะกำหนดออกข้อบังคับที่จำเป็นต่อการป้องกันประเทศชาติแก่บรรดาพลเมือง
ผู้ที่ปฏิญาณรับใช้ปิตุภูมิอยู่ในกองทัพนั้น
ให้ถือว่าตนเป็นผู้รับใช้ความมั่นคง และเสรีภาพของประชาชาติ ถ้าเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ ก็เท่ากับมีส่วนพิทักษ์ความดีส่วนรวมและผดุงสันติภาพไว้อย่างแท้จริง
(เทียบ พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ79.5)
2311อำนาจฝ่ายบ้านเมืองควรจัดเตรียมให้เสมอภาคกันแก่บรรดาผู้ซึ่งไม่ยอมใช้อาวุธเนื่องจากเหตุผลทางมโนธรรม แต่ทว่าเขาต้องยอมรับใช้สังคมในรูปแบบอื่น
(เทียบ พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 79.3)
2312ทั้งเหตุผลของพระศาสนจักรและเหตุผลของมนุษย์นั้นต่างอ้างความถูกต้องตลอดกาลของกฎศีลธรรมระหว่างมีการขัดแย้งที่ต้องใช้กำลังอาวุธ (แต่มิใช่ว่ามีกำลังอาวุธแล้ว)
"เมื่อเคราะห์ร้ายสงครามเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าคู่ปรปักษ์อยากทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่าง" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 79.4)
2313ต้องให้ความเคารพนับถือและปฏิบัติต่อผู้ไม่ได้ต่อสู้ ทหารที่บาดเจ็บและนักโทษเชลยอย่างมีมนุษยธรรมถ กิจการต่างๆ
ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างชาติและหลักเกณฑ์สากลอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นอาชญากรรม
และการออกคำสั่งลักษณะเช่นนั้นก็ถือว่าผิดอาญาเช่นกัน ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะแก้ตัวไม่ได้ว่าต้องเชื่อฟังอย่างตาบอด เพราะฉะนั้น การทำลายล้างประชาชนกลุ่มหนึ่ง ชนชาติหนึ่ง หรือชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติหนึ่งต้องได้รับการประณามว่าเป็นบาปหนัก เราต้องต่อต้านคำสั่งให้ทำการล้างเผ่าพันธุ์
2314"การปฏิบัติการในสงครามที่มุ่งทำลายเมืองทั้งเมือง
หรือดินแดนกว้างใหญ่พร้อมกับคนที่อาศัยในเมืองหรือดินแดนนั้น ถือว่าเป็นอาชญากรรมผิดต่อพระเป็นเจ้าและมนุษย์ และอาชญากรรมนั้นเราต้องประณามอย่างแข็งขันและโดยไม่ลังเลใจ" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 80.4) การเสี่ยงภัยสงครามสมัยใหม่นั้น คือการเสนอโอกาสที่จะประกอบอาชญากรรมกับผู้ที่ครอบครองอาวุธทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบิดปรมาณู อาวุธทางชีววิทยาหรือทางเคมี
2315การสะสมอาวุธนั้นดูเหมือนคนจำนวนมากจะเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะสม เพื่อขัดขวางฝ่ายปรปักษ์ให้ละเลิกสงคราม
คนเหล่านั้นเห็นประสิทธิภาพในการสะสมอาวุธว่าเป็นวิธีการที่รับประกันสันติภาพท่ามกลางนานาชาติ วิธีการคิดเช่นนี้ก่อให้เกิดสะสมกำลังอาวุธ
การแข่งขันสะสมอาวุธไม่เป็นการรับประกันสันติภาพ แทนที่จะกำจัดสาเหตุแห่งสงครามกลับเสี่ยงให้หนักขึ้น การจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อผลิตอาวุธใหม่อยู่เสมอนั้นขัดขวางการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อดอยาก (เทียบพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 พระสมณสารการพัฒนาประชาชาติ ข้อ 53) จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชากร การสะสมอาวุธเกินขนาดเป็นการเพิ่มเหตุแห่งการขัดแย้งและเพิ่มอันตรายในการเผยแพร่อาวุธนั้น
2316การผลิตและการค้าอาวุธนั้นกระทบผลประโยชน์ส่วนรวมของชนชาติต่างๆ และประชาคมนานาชาติ เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจฝ่ายบ้านเมืองจึงมิสิทธิและหน้าที่ที่จะควบคุมดูแล
การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือหมู่คณะในเวลาอันสั้นนั้นไม่อาจทำให้การประกอบธุรกิจนั้นถูกต้องได้ เพราะเป็นการส่งเสริมความรุนแรงและการขัดผลประโยชน์กันระหว่างชนชาติต่างๆ และสร้างความเสื่อมเสียกับระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายนานาชาติ
2317ความอยุติธรรม
ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความอิจฉาริษยา ความไม่ไว้วางใจกัน และความหยิ่งจองหองซึ่งก่อความสับสนวุ่นวายให้ท่ามกลางมวลมนุษย์และชนชาติต่างๆ เป็นการคุกคามสันติภาพไม่หยุดหย่อนและเป็นสาเหตุให้เกิดสงคราม ทุกสิ่งที่กระทำไปเพื่อขจัดความวุ่นวายเหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างสันติภาพและหลีกเลี่ยงสงคราม
โดยเหตุที่มนุษย์เป็นคนบาป ภัยสงครามก็ย่อมคุกคามมนุษย์
และจะคุกคามเช่นนั้นจนกระทั่งพระคริสตเจ้าเสด็จมา แต่ถ้ามนุษย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความรักและเอาชนะบาปได้ เขาจะชนะการใช้กำลังบังคับด้วย จนกว่าจะสำเร็จไปตามวาทะที่ว่า "เขาจะตีดาบของเขาให้เป็นคันไถ และจะตีหอกให้เป็นเคียว นานาชาติจะไม่ชักดาบออกมาสู้กัน และจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 78,6; เทียบ อสย. 2:4)
|