1854เป็นการเหมาะสมที่จะประเมินบาปบนพื้นฐานความหนักของมัน การแยกแยะระหว่างบาปหนักและบาปเบาได้มีการอ้างไว้ชัดเจนในพระคัมภีร์ กลายเป็นธรรมประเพณีของพระศาสนจักร
ประสบการณ์ของมนุษย์ทำให้การแยกแยะนั้นถูกต้อง
1855บาปหนัก ทำลายความรักในใจมนุษย์อันเป็นเหตุของการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของพระเจ้าในข้อหนัก บาปนั้นแยกมนุษย์ไปจากพระเจ้าซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดและความบรมสุขของเขา
โดยการชอบสิ่งดีงามที่ด้อยกว่าพระองค์ ถ บาปเบา ปล่อยให้ความรักอยู่ต่อไปแม้จะทำให้เคืองใจและทำร้ายความรักนั้น
1856บาปหนักเป็นการลดค่าแห่งชีวิตเบื้องต้นคือความรัก จึงเรียกร้องให้เริ่มต้นใหม่ด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้า และการกลับใจ ซึ่งเป็นจริงขึ้นได้ในศีลแห่งการคืนดี นักบุญโทมัส
อไควนัส กล่าวว่าถ เมื่อน้ำใจมุ่งหาสิ่งภายนอกเพื่อตนเอง ซึ่งตรงข้ามกับความรัก อันเป็นจุดหมายสูงสุด บาปในการกระทำของมันเองเป็นบาปหนัก...ถ้าขัดต่อความรักของพระเจ้ามากเท่าไร อย่างเช่นการใส่ร้าย การเป็นพยานเท็จ
ฯลฯ ยิ่งถ้าขัดต่อความรักต่อเพื่อนมนุษย์เช่นการฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย ฯลฯ...ตรงข้าม เมื่อน้ำใจของคนบาปหันไปหาสิ่งหนึ่งซึ่งในตัวเองเป็นความไร้ระเบียบ
แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ขัดกับความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างกรณีคำพูดเกียจคร้าน การหัวเราะที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ การเช่นนั้นเป็นบาปเบา
1857สำหรับบาปจะเป็นเรื่องหนัก ต้องมีเงื่อนไขสามประการด้วยกัน "บาปทุกประการที่มีจุดหมายเป็นเรื่องผิดหนัก และยิ่งกว่านั้น
ยังกระทำอย่างรู้สำนึกและด้วยความเต็มใจ"
1858เป็นเรื่องหนักถูกกำหนดเห็นชัดได้โดยพระบัญญัติ 10 ประการ ตามที่พระเยซูเจ้าทรงตอบชายหนุ่มร่ำรวยคนนั้น "อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ
อย่าฉ้อโกง จงนับถือบิดามารดา" (มก.10:19) ความหนักของบาปนั้นมากหรือลดน้อยถอยลงเช่น การฆ่าคนหนักกว่าการลักขโมย เราต้องคำนึงถึงคุณภาพของบุคคลที่ถูกละเมิดด้วยเช่น
ความรุนแรงต่อบิดามารดาในตัวเองย่อมหนักกว่าที่ทำกับคนแปลกหน้า
1859บาปหนักยังต้องทำโดยรู้ตัวเต็มที่และตั้งใจทำจริง คนที่ทำบาปหนักยังต้องมีความรู้ลักษณะของกิจการว่าเป็นบาป รู้ว่าขัดแย้งกับธรรมบัญญัติของพระเจ้า
นอกจากนี้บาปหนักยังหมายถึงความตั้งใจทำอย่างเสรี คือเป็นการเลือกส่วนตัว การแกล้งทำเป็นไม่รู้ และการที่มีใจดื้อรั้นนั้น (เทียบ มก.3:5-6; ลก.19-31) แต่ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่มบาปให้หนักขึ้นด้วย
1860การไม่รู้ที่ไม่จงใจสามารถทำให้ลดน้อยลงไปหรือไม่ก็ลบล้างความรับผิดชอบของความผิดหนัก แต่ไม่มีการถือว่า ไม่รู้หลักการของธรรมบัญญัติทางศีลธรรม
ซึ่งจารึกลงไว้ในมโนธรรมของมนุษย์ทุกคน แรงกระตุ้นของประสาทสัมผัสและตัณหา สามารถทำให้ลักษณะที่ทำโดยจงใจและลักษณะอิสระเสรีของความผิดลดน้อยลงไปได้
ก็คล้ายกับแรงกดดันภายนอกหรือการรบกวนทางโรคภัยไข้เจ็บก็เช่นเดียวกัน บาปที่กระทำลงไปด้วยความจองร้าย กล่าวคือการเลือกทำชั่วโดยเจตนา เป็นบาปหนักที่สุด
1861บาปหนักคือความเป็นไปได้ของเสรีภาพมนุษย์ เช่นความรัก บาปหนักมีการสูญเสียความรักและการขาดพระหรรษทานที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเป็นผลที่ตามมา นั่นคือ
สถานภาพของพระหรรษทาน ถ้าไม่ได้รับการไถ่ถอนโดยความสำนึกผิดและโดยการอภัยบาปของพระเจ้า ก็ก่อให้เกิดการยกเว้นจากพระราชัยของพระคริสตเจ้าและความตายถาวรในนรก อันที่จริง เสรีภาพของเรานั้นมีอำนาจที่จะทำการเลือกที่แน่นอน
ไม่อาจกลับเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถตัดสินว่า การกระทำนั้นในตัวเองเป็นบาปหนัก เราก็ต้องปล่อยให้การตัดสินต่อบุคคลนั้นไว้กับความชอบธรรมและพระเมตตาของพระเจ้า
1862ถือเป็นการทำบาปเบาเมื่อบุคคลหนึ่งไม่ถือตามมาตรการที่ธรรมบัญญัติทางศีลธรรมกำหนดไว้โดยที่เกี่ยวกับเรื่องสำคัญน้อย
หรือเมื่อใครไม่นบนอบต่อธรรมบัญญัติทางศีลธรรมในเรื่องหนัก แต่ปราศจากการรู้ตัวเต็มที่หรือปราศจากความเต็มใจทั้งหมด
1863บาปเบานั้นทำให้ความรักอ่อนแอ
แสดงถึงความรักที่ไร้ระเบียบต่อสิ่งดีงามที่พระสร้างขึ้นมาบาปเบาเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของวิญญาณ ในการฝึกฝนคุณธรรมและในการปฏิบัติสิ่งดีงามทางศีลธรรม บาปเบาสมควรได้รับโทษชั่วคราว บาปเบาที่ทำโดยเจตนาและยังไม่สำนึกผิดนั้น ทีละเล็กทีละน้อยจะพาเราให้กระทำบาปหนักได้ อย่างไรก็ตาม บาปเบาไม่ได้ทำลายพันธสัญญากับพระเจ้า เราสามารถชดเชยความผิดของบาปเบาได้ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า "บาปเบาจึงไม่ทำให้สูญเสียพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร ความสัมพันธ์กับพระเจ้า ความรัก หรือความบรมสุขนิรันดร" (RP 17:9) นักบุญออกัสติน กล่าวว่า
มนุษย์ไม่สามารถไม่มีบาป อย่างน้อยก็บาปเบา ตราบใดที่ยังอยู่ในกายนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ดูถูกกับบาปเหล่านี้ซึ่งเราเรียกว่าเป็นบาปเบา
ถ้าเจ้าคำนึงถึงมันน้อยเมื่อเจ้าชั่งน้ำหนักมัน แต่น่าตกใจกลัวเมื่อนับมัน! หลายสิ่งที่เบาๆ เอามารวมเข้าด้วยกันก็ทำให้เป็นของหนักได้ น้ำหลายๆ หยดก็ทำให้แม่น้ำเต็มได้และดังนี้ หลายเมล็ดก็ทำให้เป็นกองได้
แล้วก็จะมีความหวังอะไรเหลืออยู่? ก่อนอื่นใดหมดสารภาพบาปเสีย... (PL 35,1982)1864"ด้วยเหตุนี้ เราขอประกาศแก่ท่านว่า บาปใด แม้บาปผรุสวาท ก็จะได้รับอภัยได้ แต่การผรุสวาทต่อพระจิต จะไม่ได้รับการอภัยเลย"
(มธ.12:31; เทียบ มก.3:29; ลก. 12:10) พระเมตตากรุณาของพระเจ้านั้นไม่มีขอบเขต แต่ใครเจตนาปฏิเสธพระเมตตาโดยการสำนึกผิด
ก็ปฏิเสธการให้อภัยบาปของตนเองและความรอดที่พระจิตเจ้าทรงมอบให้ การมีใจแข็งกระด้างเช่นนั้นสามารถนำไปสู่การไม่สำนึกผิดขั้นสุดท้ายและความพินาศชั่วนิรันดร์
|