หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

4. พระศาสนจักรสืบจากอัครสาวก

857พระศาสนจักรสืบจากอัครสาวก   เพราะได้รับการก่อตั้งขึ้นมาโดยมีบรรดาอัครสาวกเป็นพื้นฐาน และมีความหมายเป็นสามลักษณะคือ

๏ พระศาสนจักรได้สร้างขึ้นมา และยังคงสร้างอยู่ในปัจจุบันบน "พื้นฐานแห่งอัคร-สาวก" (อฟ.2:20; วว.21:14)   ผู้เป็นประจักษ์พยานที่ได้รับเลือกแล้ว และถูกส่งไปแพร่ธรรมโดยพระคริสต์พระองค์เอง (เทียบ มธ.28:16-20; กจ.1:8; 1คร.9:1; 15:7-8; กท.1:1)

๏ พระศาสนจักรรักษาและถ่ายทอด -ด้วยความช่วยเหลือของพระจิตผู้ประทับอยู่ในพระศาสนจักร- ทั้งคำสั่งสอน (เทียบ กจ.2:42) สิ่งฝากฝังที่ดี และถ้อยคำอันถูกต้อง ไม่มีพิษมีภัย ซึ่งได้ยินได้ฟังมาจากอัครสาวก (เทียบ 2ทธ.1:13-14)

๏ พระศาสนจักรยังคงได้รับคำสั่งสอน ได้รับการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการชี้นำจากอัครสาวกสืบต่อไปจนกว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมา ทั้งนี้ โดยอาศัยผู้ที่ปฏิบัติงานสืบต่อจากอัครสาวกในภาระหน้าที่เชิงอภิบาล อันได้แก่คณะพระสังฆราช "ซึ่งมีพระสงฆ์ทั้งหลายเป็นผู้ช่วย โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับทายาทของนักบุญเปโตร องค์ชุมพาบาลสูงสุดของพระศาสนจักร" (งานธรรมทูตแห่งพระศาสนจักร ข้อ 5)

ข้าแต่พระบิดานิรันดร พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งฝูงชุมพาของพระองค์ แต่ยังทรงเฝ้าดูแลอยู่ โดยอาศัยอัครสาวกผู้มีบุญทั้งหลายของพระองค์ ภายใต้การพิทักษ์คุ้มครองของพระองค์ตลอดไป พระองค์ยังทรงชี้ทิศทางให้แก่ฝูงชุมพาของพระองค์อยู่ โดยอาศัยนายชุมพาบาลเหล่านั้น ซึ่งปฏิบัติกิจการขององค์พระบุตรสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ (มิสซาโรมัน Preface of the Apostles I)

พันธกิจของบรรดาอัครสาวก

858พระเยซูเจ้าคือผู้ที่พระบิดาทรงส่งมา ตั้งแต่เริ่มงานในหน้าที่ของพระองค์ พระเยซูเจ้าได้ "ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบพระองค์ และได้ทรงแต่งตั้งศิษย์สิบสองคน ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงส่งพวกเขาออกไปเทศน์สอน" (มก.3:13-14) นับแต่นั้นมา พวกเขาก็จะเป็น "ผู้ที่พระองค์ส่งไป" (ซึ่งเป็นความหมายของคำภาษากรีก apostoloi) พันธกิจของพระคริสต์เองก็สืบต่อไปในบุคคลเหล่านี้ "พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งพวกท่านไปฉันนั้น" (ยน.20:21) ภาระหน้าที่ของพวกเขาจึงเป็นการสืบต่อพันธกิจของพระคริสต์นั้นเอง "ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา" พระองค์ตรัสแก่สานุศิษย์สิบสองคน (มธ.10:40)

859พระเยซูเจ้าได้ทรงรวมสานุศิษย์ของพระองค์ ให้เข้ามาร่วมในพันธกิจที่พระองค์ทรงรับมาจากพระบิดา ในเมื่อ "พระบุตรจะทรงกระทำสิ่งใดโดยลำพังพระองค์มิได้" (ยน.5:19,30) แต่ทรงได้รับทุกสิ่งมาจากพระบิดา ผู้ทรงส่งพระบุตรลงมา ดังนี้ ผู้ที่พระเยซูทรงส่งออกไป จะทำสิ่งใดปราศจากองค์พระ ผู้ทรงมอบหมายพันธกิจและอำนาจที่จะปฏิบัติพันธกิจนั้นให้สำเร็จไปแก่เขา ย่อมไม่ได้ อัครสาวกทั้งหลายของพระคริสต์จึงทราบดีว่า  พวกเขาได้รับคุณวุฒิความสามารถจากพระเจ้า ให้เป็น "ผู้รับใช้พันธสัญญาใหม่" (2คร.3:6)เป็น "ผู้รับใช้ของพระเจ้า" (2คร.6:4)    "ทูตแทนพระคริสตเจ้า" (2คร.5:20) "ผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้าเป็นผู้จัดการดูแลธรรมล้ำลึกของพระเจ้า" (1คร.4:1)

860ในภาระหน้าที่ของอัครสาวก มีอยู่ลักษณะหนึ่งซึ่งถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นมิได้ นั่นคือการเป็นประจักษ์พยานที่ได้รับเลือกสรร แห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูผู้เป็นเจ้า และการวางรากฐานของพระศาสนจักร แต่ยังมีอีกโฉมหน้าหนึ่งในภาระหน้าที่พวกเขาที่จะคงอยู่ตลอดไป คือพระคริสต์ได้ประทานสัญญาว่าจะประทับอยู่กับพวกเขาตลอดไป "พันธกิจของพระเจ้าที่พระเยซูได้ทรงมอบหมายให้แก่อัครสาวกทั้งหลายนี้ ได้ถูกกำหนดมาให้ยืนนานจนสิ้นยุคสมัย ในเมื่อปรากฏว่าพระวรสาร ซึ่งบรรดาอัครสาวกจักต้องถ่ายทอดต่อไปนี้ สำหรับพระ-ศาสนจักร ก็คือบ่อเกิดแห่งชีวิตพระศาสนจักรทั้งสิ้น ตลอดความยาวนานแห่งกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ บรรดาอัครสาวกจึงได้เอาใจใส่ที่จะสถาปนา... ทายาทที่จะสืบสานงานของพระ-คริสต์ต่อไป" (พระศาสนจักร ข้อ 20 เทียบ มธ.28:20)

พระสังฆราชผู้ปฏิบัติงานสืบต่อจากอัครสาวก

861"เพื่อว่าพันธกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมาย    สามารถจะดำเนินต่อไปได้หลังจากที่พวกเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว บรรดาอัครสาวกจึงมอบหมาย -ประดุจเป็นพินัยกรรม- ให้ผู้ร่วมงานใกล้ชิดอยู่กับพวกเขา  ปฏิบัติภาระหน้าที่ของพวกเขาให้สำเร็จเสร็จสิ้น และเสริมสร้างกิจการที่พวกเขาเริ่มต้นไว้ให้มั่นคง โดยกำชับให้บุคคลเหล่านั้นดูแลฝูงชุมพาให้ดีซึ่งท่ามกลางฝูงชุมพานี้ พระจิตเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพวกเขาขึ้นมาเพื่อให้หล่อเลี้ยงพระศาสนจักรของพระเจ้าให้คงอยู่ บรรดาอัครสาวกจึงแต่งตั้งบุคคลประเภทนี้ขึ้นมา และจัดการในระยะต่อมาให้มีบุคคลอื่น ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วเข้ารับหน้าที่แทนพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ถึงแก่กรรมแล้ว" (พระศาสนจักร ข้อ 20 เทียบ กจ.20:28)

862"ภาระหน้าที่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงมอบหมายด้วยพระองค์เองแก่เปโตร อัครสาวกคนแรก ถูกกำหนดมาให้ถ่ายทอดแก่ทายาทสืบต่อไป และประกอบกันขึ้นเป็นภารกิจที่ยืนยงถาวรฉันใด ภาระหน้าที่ซึ่งมอบไว้แก่อัครสาวกทั้งหลาย ให้เป็นนายชุมพาบาลของพระศาสนจักร -เป็นภาระซึ่งศีลบรรพชาของพระสังฆราช จักต้องเป็นหลักประกันความยืนยานตลอดกาล- ก็เป็นภารกิจที่ยืนยงถาวรฉันนั้น" (พระศาสนจักร ข้อ 20.2) ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงสอนว่า "บรรดาพระสังฆราช อาศัยการแต่งตั้งจากพระเจ้า ก็ปฏิบัติงานสืบต่อจากอัครสาวก ในฐานะเป็นนายชุมพาบาลของพระศาสนจักร ในลักษณะที่ว่า ผู้ใดเชื่อฟังพวกเขา ก็เท่ากับได้เชื่อฟังพระคริสต์ ผู้ใดสลัดทิ้งพวกเขา ก็ได้สลัดทิ้งพระคริสต์ และองค์พระผู้ทรงส่งพระคริสต์ลงมาด้วย" (พระศาสนจักร ข้อ 20.2)

กิจการในหน้าที่อัครสาวก (งานธรรมทูต)

863พระศาสนจักรทั้งมวลสืบจากอัครสาวก  ตราบเท่าที่ยังคงร่วมใจสนิทเป็นหนึ่งเดียวในความเชื่อ และในชีวิตกับบ่อเกิดแห่งตน โดยผ่านทางทายาททั้งหลายของนักบุญเปโตรและอัครสาวกทั้งปวง พระศาสนจักรทั้งมวลสืบจากอัครสาวก ในฐานะที่ "ถูกส่ง" ออกไปทั่วโลก สมาชิกทุกคนของพระศาสนจักรก็มีส่วนในการส่งออกไปนี้ด้วย แม้ว่าจะในลักษณะต่างๆกัน "กระแสเรียกของคริสตชน โดยธรรมชาติก็เป็นกระแสเรียกเข้าสู่การรับหน้าที่ของอัครสาวกอีกด้วย" เราใช้คำว่า "apostolate" งานธรรมทูต สำหรับ "กิจกรรมทั้งสิ้นของพระ- รหัสกาย" ซึ่งมุ่งไปสู่ "การขยายพระอาณาจักรของพระคริสต์ออกไปทั่วแผ่นดิน" (AA 2)

864"ในเมื่อพระคริสต์ผู้ซึ่งพระบิดาทรงส่งมา   ทรงเป็นที่มาและบ่อเกิดแห่งการสืบสานงานแพร่ธรรมต่อจากอัครสาวกของพระศาสนจักร" ก็เห็นได้ชัดว่าความเฟื่องฟูของกิจการนี้ ทั้งที่เป็นงานของสงฆ์ที่ได้รับศีลอนุกรมแล้ว และงานของฆราวาส ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในชีวิตของพวกเขากับพระคริสต์ (AA 4 เทียบ ยน.15:5) งานแพร่ธรรมอันสืบมาจากอัครสาวกนั้น มีรูปแบบหลายหลาก แล้วแต่กระแสเรียก ความเรียกร้องของยุคสมัยและพระคุณต่างๆ ที่พระจิตประทานมา แต่ความรักซึ่งตักตวงมาโดยเฉพาะจากศีลมหาสนิทนั้นเอง "ที่ยังคงเป็นเสมือนจิตวิญญาณแห่งงานแพร่ธรรมทั้งมวล" อยู่เสมอ (AA 3)

865พระศาสนจักรเป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์ สากล และสืบจากอัครสาวก   ในเอกลักษณ์อันลึกซึ้งและเป็นอันติมะ เพราะในพระศาสนจักรนั้นเอง ที่ "พระอาณาจักรสวรรค์" มีอยู่แล้ว และจะสำเร็จไปในอันตวาร "พระอาณาจักรสวรรค์" ซึ่งก็คือ "พระราชัยของพระเจ้า"   (วว.19:6) จะมาถึงในพระบุคคลขององค์พระคริสต์ และเติบใหญ่อย่างลึกล้ำในกลางใจของเขาทั้งหลายที่รวมอยู่ในพระกายของพระองค์ จนกระทั่งถึงวาระของการสำแดงพระองค์อย่างเต็มที่ในอันตวาร เมื่อถึงตอนนั้น มนุษย์ทุกคนที่ไดัรับการไถ่บาปแล้วโดยพระคริสต์ และกลับคืนสู่พระองค์ในสภาพ "ศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก" (อฟ.1:4) ก็จะมารวมตัวกันในฐานะเป็นประชากรหนึ่งเดียวของพระเจ้า เป็น   "เจ้าสาวแห่งองค์ชุมพา" (วว.21:9) "นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งลอยลงมาจากสวรรค์ จากเคหาพระเจ้า พร้อมกับพระสิริมงคลของพระองค์" (วว.21:10-11) และ "กำแพงนครนั้นมีฐานศิลาสิบสองฐาน และที่ฐานศิลานั้นจารึกชื่ออัครสาวกสิบสองคนขององค์พระชุมพา" (วว.21:14)