823"พระศาสนจักร... ในสายตาของความเชื่อนั้น ศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด จริงแท้ พระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่ง
-ร่วมกับพระบิดาและพระจิต-ได้รับการประกาศว่า "ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียว" นั้น ได้ทรงรักพระศาสนจักรประดุจเป็นคู่สมรสของพระองค์ พระคริสต์ได้ทรงมอบองค์เพื่อพระศาสนจักร เพื่อให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์
พระองค์ทรงร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรประหนึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และได้โปรดประทานพระคุณแห่งพระจิตอย่างมากมายแก่พระศาสนจักร
เพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้า" (พระศาสนจักร ข้อ 39 เทียบ อฟ.5:25-26) ดังนั้น พระศาสนจักรจึงเป็น "ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า" (พระศาสนจักร ข้อ 12) และสมาชิกของพระศาสนจักรก็ได้ชื่อว่า "ศักดิ์สิทธิ์" (กจ.9:13; 1คร.6:1; 16:1)
824พระศาสนจักร -เมื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว- ก็ได้รับศักดิ์สิทธิภาพจากพระคริสต์ อาศัยพระคริสต์และในพระคริสต์
พระศาสนจักรก็กลายเป็นผู้ประสาทความศักดิ์สิทธิ์
"กิจการทั้งหลายทั้งปวงของพระศาสนจักร มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่มนุษย์ เพื่อการถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้า" (พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ข้อ 10) ในพระศาสนจักรนั้นเองที่ "บูรณภาพแห่งหนทางสู่ความรอด" (สากลสัมพันธภาพ ข้อ 3.5) ได้รับการฝากฝังไว้ ในพระศาสนจักรนั้นเองที่ "เราจะได้มาซึ่งศักดิ์สิทธิภาพ เดชะพระหรรษทานของพระเจ้า" (พระศาสนจักร ข้อ 48)
825"บนแผ่นดิน พระศาสนจักรได้รับการประดับประดาด้วยศักดิ์สิทธิภาพอันแท้จริง แม้จะยังไม่สมบูรณ์พร้อม" (พระศาสนจักร ข้อ 48.3) ในตัวสมาชิกของพระศาสนจักร
ความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ยังเป็นสิ่งที่จะต้องแสวงหาอยู่ "เพียบพร้อมด้วยหนทางสู่ความรอดอย่างล้นเหลือและยิ่งใหญ่นักหนา ฉะนี้แล้ว ทุกผู้ทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์ ไม่ว่าสภาพและสถานะชีวิตจะเป็นเช่นไร
ย่อมได้รับเรียกจากพระเจ้า -แต่ละคนบนเส้นทางของตนเอง- สู่ความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเมื่อสมบูรณ์พร้อม จะเป็นความสมบูรณ์พร้อมของพระบิดานั้นเอง" (พระศาสนจักร ข้อ 11.3)
826ความรัก คือวิญญาณแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทุกคนได้รับเรียกให้มุ่งไปสู่ "ความรักเป็นผู้ชี้นำหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิภาพ ทำให้หนทางเหล่านั้นมีชีวิตวิญญาณขึ้นมา
และนำไปสู่จุดหมายปลางทาง" (พระศาสนจักร ข้อ 42)
ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่า หากพระศาสนจักรมีร่างกายอันประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ กัน
ส่วนที่จำเป็นที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ย่อมไม่ขาดหายไป ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าพระศาสนจักรมีหัวใจ และหัวใจนั้นลุกโชนด้วยความรัก ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าความรักเท่านั้นที่ทำให้สมาชิกของพระศาสนจักรปฏิบัติงาน มาตรแม้นความรักดับลงเมื่อใด อัครสาวกทั้งหมดก็คงจะไม่ประกาศพระวรสารอีกต่อไป บรรดามรณสักขีก็จะปฏิเสธไม่ยอมหลั่งโลหิตของตน... ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าความรักรวมไว้ซึ่งกระแสเรียกทั้งมวล ความรักเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักครอบคลุมไปทุกกาลเวลาและทุกสถานที่... สรุปแล้ว ความรักนั้นนิรันดร (นักบุญเทเรซา แห่งลีซีเออ)
827"ในขณะที่พระคริสต์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ ไร้มลทิน เสด็จมาเพื่อใช้โทษบาปของประชากรทั้ง-หลาย โดยที่พระองค์เองไม่เคยทรงรู้จักบาปเลยนั้น
พระศาสนจักรซึ่งรวมคนบาปไว้มากมายในอ้อมอกของพระศาสนจักรเอง กลับมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์ และในเวลาเดียวกัน ก็ถูกเรียกมาให้ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ พร้อมทั้งติดตามพยายามใช้โทษบาป และฟื้นฟูตนเองใหม่อยู่ตลอดเวลา"
(พระศาสนจักร ข้อ 8.3 เทียบ สากลสัมพันธภาพ ข้อ 3,6 ฮบ.2:17; 7:26; 2คร.5:21) สมาชิกทุกคนของพระศาสนจักร รวมทั้งศาสนบริกรของพระศาสนจักรด้วย จักต้องยอมรับว่าตนเป็นคนบาป (เทียบ 1ยน.1:8-10) ในตัวคนทุกคน
ข้าวละมานแห่งบาปยังคงมีปะปนอยู่กับเมล็ดข้าวที่ดีของพระวรสาร จนถึงอวสานแห่งกาลเวลา (เทียบ มธ.13:24-30) ดังนั้น พระศาสนจักรจึงเป็นที่รวมของคนบาปทั้งหลาย ซึ่งความรอดของพระคริสต์ได้ช่วยไว้
แต่ก็ยังต้องปรับปรุงตนให้เดินไปบนเส้นทางแห่งศักดิ์สิทธิภาพอยู่เสมอ
พระศาสนจักรนั้นศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่มีคนบาปมากหลายอยู่ในอ้อมอก เพราะพระศาสนจักรเองไม่มีชีวิตอื่นใดเลย นอกจากชีวิตพระหรรษทาน
โดยการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยชีวิตของพระศาสนจักรนี้เอง ที่สมาชิกของพระศาสนจักรจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้น จากการหลีกเลี่ยงไม่ยอมดำเนินชีวิตตามพระ-ศาสนจักรนี้เอง ที่สมาชิกพวกนั้นจะตกในบาปและความยุ่งเหยิง
อันเป็นอุปสรรคต่อการกระจายแสงศักดิ์สิทธิภาพของตนออกไปรอบตัว ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงทุกข์ทรมานและใช้โทษบาปสำหรับความผิดเหล่านี้ ซึ่งพระศาสนจักรมีอำนาจรักษาลูกๆ ของพระศาสนจักรให้รอดพ้นได้
โดยอาศัยพระโลหิตของพระคริสต์ และพระคุณจากพระจิต (พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 CPG ข้อ 19)
828การประกาศให้ผู้มีความเชื่อบางคนเป็นนักบุญ ก็คือ ประกาศอย่างสง่าว่า สัตบุรุษดังกล่าวได้บำเพ็ญปฏิบัติคุณธรรมขึ้นวีรกรรม
และดำรงชีวิตอยู่ในความสัตย์ซื่อต่อพระหรรษทานของพระเจ้า ก็เท่ากับพระศาสนจักรยอมรับพระอานุภาพของพระจิตแห่งศักดิ์สิทธิ์สิทธิภาพที่ประทับอยู่ในพระศาสนจักร และช่วยค้ำจุนความไว้ใจของสัตบุรุษ
โดยการให้ท่านเหล่านี้เป็นแบบฉบับและผู้วิงวอนแทนชาวเรา (เทียบ พระศาสนจักร ข้อ 40,48-51) "นักบุญทั้งหลาย
ทั้งชายและหญิง ได้เป็นต้นธารและบ่อเกิดแห่งการฟื้นฟูเสมอมาในชั่วขณะอันยุ่งยากที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร" (CL 6,3) จริงแท้ "ศักดิ์สิทธิภาพคือท่อธารอันเร้นอยู่ และมาตรการอันไม่มีผิดพลาดแห่งกิจกรรมแพร่ธรรม และการโผผินสู่งานธรรมทูตของพระ-ศาสนจักรนั้นเอง" (CL 17,3)
829"ในองค์พระมารดา พรหมจารีมารีอา พระศาสนจักรได้ขึ้นถึงความสมบูรณ์พร้อมแล้ว ซึ่งทำให้พระศาสนจักรไร้มลทินหรือริ้วรอยใดๆ
ผู้สัตย์ซื่อต่อพระคริสต์ยังคงต้องใช้ความพยายามมากอยู่ เพื่อที่จะเติบโตขึ้นมาในศักดิ์สิทธิภาพ โดยอาศัยชัยชนะที่มีเหนือบาป ด้วยเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงช้อนสายตาขึ้นมองหาพระแม่" (พระศาสนจักร ข้อ 65 เทียบ อฟ.5:26-27)
ในพระมารดา พระศาสนจักรเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แล้วโดยสิ้นเชิง
|