พระศาสนจักรคือการร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู
787นับแต่แรกเริ่ม พระเยซูเจ้าได้ทรงโปรดให้สานุศิษย์ของพระองค์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์
พระองค์ได้ทรงเผยแสดงธรรมล้ำลึกแห่งพระอาณาจักรให้พวกเขาได้ทราบ พระองค์ได้ทรงโปรดให้พวกเขามีส่วนในพันธกิจของพระองค์ ในความชื่นชมยินดี และในพระทรมานของพระองค์ (เทียบ มก.1:16-20; 3:13-19; มธ.13:10-17;
ลก.10:17-20; 22:28-30) พระเยซู-เจ้ายังตรัสถึงการร่วมเป็นหนึ่งเดียวที่สนิทชิดใกล้ยิ่งกว่านั้นอีกระหว่างพระองค์ และคนทั้งหลายที่จะมาติดตามพระองค์ "จงอยู่ในเราเหมือนกับที่เราอยู่ในท่าน...
เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง" (ยน.15:4-5) และพระองค์ได้ทรงประกาศถึงการร่วมเป็นหนึ่งเดียวอันล้ำลึกและจริงจังระหว่างพระกายของพระองค์เองและกายของเรา "ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา
ก็อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในเขา" (ยน.6:56)
788เมื่อบรรดาสานุศิษย์ไม่สามารถมองเห็นการปรากฏพระองค์ของพระเยซูได้ด้วยตาอีกต่อไปแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงปล่อยพวกเขาไว้ให้เป็นกำพร้า
พระองค์ได้ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับพวกเขาจนถึงที่สุดแห่งกาลเวลา และได้ทรงส่งพระจิตของพระองค์มาให้พวกเขา (เทียบ ยน.14:18; 20:22; มธ.28:20; กจ.2:33) การร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู
เรียกได้ว่ามีลักษณะเข้มข้นยิ่งขึ้น
"ในการสื่อพระจิตให้แก่พี่น้อง ซึ่งพระองค์ทรงรวบรวมเข้ามาจากทุกประเทศชาติ พระองค์ก็ได้ทรงสถาปนาพวกเขาอย่างลึกล้ำสุดที่จะเข้าใจได้ให้เป็นพระกายของพระองค์" (พระศาสนจักร ข้อ 7)
789การเปรียบเทียบพระศาสนจักรกับพระกาย
เท่ากับเป็นการสาดความสว่างลงมาบนสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระศาสนจักรและพระคริสต์ พระศาสนจักรมิเพียงแต่รวมตัวกันอยู่รอบๆ พระคริสต์เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งเดียวกันในพระองค์ คือในพระกาย โฉมหน้าสามด้านของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์ ที่สมควรยกขึ้นมากล่าวโดยเฉพาะ คือ เอกภาพของสมาชิกทุกคนระหว่างกันโดยอาศัยการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระ-คริสต์ผู้เปรียบเสมือนเศียรของพระกาย พระศาสนจักรในฐานะที่เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์
เป็นกายเดียว
790ผู้มีความเชื่อที่สนองตอบพระวาจาของพระเจ้า และกลายเป็นสมาชิกแห่งพระกายของพระคริสต์ ย่อมมีความเป็นหนึ่งเดียวอย่างใกล้ชิดกับพระคริสต์
"ในพระกายนั้น ชีวิตของพระคริสต์หลั่งไหลผ่านผู้มีความเชื่อทั้งหลาย ซึ่งศีลศักดิ์สิทธิ์รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ผู้ทรงรับทรมานและได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
ด้วยวิธีการอันลึกล้ำและจริงจัง" (พระศาสนจักร ข้อ 7) เรื่องนี้เป็นความจริง โดยเฉพาะสำหรับศีลล้างบาป
ซึ่งเราได้อาศัยในการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์ และกับศีลมหาสนิท ซึ่งอาศัยศีลประการนี้ "โดยการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงกับพระกายของพระคริสต์" "เราก็ได้รับการเชิดชูขึ้นสู่การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และระหว่างเรากันเอง" (พระศาสนจักร ข้อ 7 เทียบ รม.6:4-5; 1คร.12:13)
791เอกภาพแห่งกายมิได้ลบล้างความหลากหลายของบรรดาสมาชิก "ในการเชิดชูพระกายของพระคริสต์ให้สูงขึ้นไปนี้ มีสมาชิกจำนวนมากมายหลายหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่
ที่หาใดเทียบ-เทียมอีกมิได้แล้ว คือพระจิตผู้ทรงแจกจ่ายพระคุณนานาประการ เพื่อคุณประโยชน์ของพระศาสนจักร ให้พอเหมาะกับสิ่งที่พระศาสนจักรมีอยู่ และความเร่งรัดแห่งบริการ" (พระศาสนจักร
ข้อ 7.3) สุดท้าย เอกภาพแห่งพระรหัสกายมีชัยเหนือการแตกแยกทั้งปวงในหมู่มนุษย์ "จริงแท้ ท่านทั้งหลายที่ได้รับศีลล้างแล้วในพระคริสต์ ท่านได้สวมชีวิตพระคริสต์ จะไม่มียิวหรือกรีก จะไม่มีทาสหรือไท
จะไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระคริสตเยซู" (กท.3:27-28)
พระคริสตเจ้าคือศีรษะแห่งพระกายนี้
92พระคริสต์ "ทรงเป็นศีรษะแห่งร่างกาย คือพระศาสนจักร" (คส.1:18)
พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งสร้างทั้งมวลและการไถ่กู้ เมื่อได้รับการเชิดชูขึ้นสู่โรจนาการของพระบิดาแล้ว "พระองค์ทรงเป็นองค์ปฐม เป็นเอกในสิ่งทั้งปวง" (คส.1:18) โดยเฉพาะเหนือพระศาสนจักรซึ่งพระองค์ได้อาศัยในการขยายพระราชัยออกไปเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
793พระองค์ทรงรวมเราเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับปัสกาของพระองค์ สมาชิกทุกคนจักต้องพยายามบำเพ็ญตนให้คล้ายคลึงกับพระองค์
"จนกว่าพระคริสต์จะปรากฏอยู่ในท่านอย่างชัดเจน"
(กท.4:19) "ด้วยจุดหมายอันนี้เองที่เราได้รับการนำเข้าสู่ธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตของพระองค์ ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ทรมานของพระองค์ เช่นเดียวกับกายมีส่วนร่วมกับศีรษะ และร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาทรมานของพระองค์ เพื่อจะได้เข้าร่วมในโรจนการของพระองค์" (พระศาสนจักร ข้อ 7.4 เทียบ ฟป.3:21; รม.8:17)
794พระองค์ทรงจัดการบำรุงเลี้ยงให้เราได้เจริญเติบโต เพื่อให้เราเติบโตขึ้นสู่พระองค์ศีรษะของเรา คือพระคริสต์ (เทียบ คส.2:19; อฟ.4:11-16)
ได้ทรงจัดเตรียมของประทานและบริการทั้งหลายไว้ในพระกายของพระองค์ คือพระศาสนจักร เพื่อว่าเราจะได้อาศัยสิ่งเหล่านั้นมาช่วยกันและกันบนเส้นทางแห่งความรอด
795พระคริสต์และพระศาสนจักร จึงเท่ากับเป็น "พระคริสต์ครบบริบูรณ์" (Christus totus) พระศาสนจักรเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า
บรรดานักบุญมีมโนสำนึกที่ไวมากเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวดังกล่าวนี้
ดังนั้น ให้เราภูมิใจในตัวเราเอง และโมทนาคุณพระที่ทรงโปรดให้เราได้มาเป็น มิเพียงคริสตชนเท่านั้น แต่ยังเป็นพระคริสต์พระองค์เองอีกด้วย เข้าใจบ้างไหม
พี่น้อง ถึงพระหรรษทานที่พระเจ้าโปรดแก่เรา โดยการประทานพระคริสต์ให้มาเป็นศีรษะหรือหัวหน้าของเรา จงชื่นชมและยินดีเถิด เราได้กลายเป็นพระคริสต์แล้ว แท้จริง ในเมื่อพระองค์คือศีรษะ และเราคือองค์พยาน มนุษย์ทั้งตัวตน ก็คือพระองค์และเราทั้งหลาย... ดังนั้น บูรณภาพของพระคริสต์ ก็คือศีรษะและองค์พยาน ซึ่งหมายถึงสิ่งใดเล่า ศีรษะและองค์พยาน ก็คือพระคริสต์และพระศาสนจักรนั้นเอง (น.ออกัสติน In ev. Jo. 21,8:PL 35,1568)
องค์พระผู้ไถ่ของเรา ได้ทรงแสดงพระองค์ในฐานะเป็นพระบุคคลหนึ่งเดียว
และคนเดียวกับพระศาสนจักรที่พระองค์ได้ทรงรับไว้ (น.เกรโกรี่ Moralia in Job, praef. 1,6,14:PL 75,525A.)
ศีรษะและสมาชิก เรียกได้ว่าเป็นรหัสบุคคลหนึ่งเดียวและคนเดียวกัน (น.โทมัส อไควนัส Sth III,48,2)
ถ้อยคำของนักบุญโยอันนาแห่งอาร์ค ที่กล่าวแก่ผู้พิพากษาคดีของเธอ เป็นข้อสรุปความเชื่อของบรรดาปราชญ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ดี
และแสดงถึงสำนึกอันถูกต้องของผู้มีความเชื่อ "เรื่องพระเยซูคริสต์และพระศาสนจักร ฉันเชื่อว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก" (Acts of the Trial of Joan of Arc)
พระศาสนจักรคือเจ้าสาวของพระคริสต์
796ความเป็นหนึ่งเดียวของพระคริสต์และพระศาสนจักร -ศีรษะและส่วนประกอบแห่งกาย- ยังมีนัยแสดงถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้ด้วยในความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
รูปการด้านนี้มักแสดงออกบ่อยครั้งด้วยภาพลักษณ์ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ความนึกคิดเรื่องพระคริสต์คือคู่สมรสของพระศาสนจักรนี้ ได้มีการเตรียมล่วงหน้าโดยบรรดาประกาศก และประกาศโดยนักบุญยอห์น บัปติสต์ (ยน.3:29)
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงระบุพระองค์เองว่าเป็น "เจ้าบ่าว" (มก.2:19) นักบุญเปาโลอัครสาวก เสนอพระศาสนจักรและสัตบุรุษแต่ละคน -ผู้เป็นสมาชิกแห่งพระกายของพระองค์-
ในฐานะเป็นเจ้าสาว "คู่หมั้น" ของพระคริสต์ผู้เป็นเจ้า เพื่อร่วมเป็นจิตเดียวกับพระองค์ (เทียบ มธ.22:1-14; 25:1-13; 1คร.6:15-17; 2คร.11:2) พระศาสนจักรคือเจ้าสาวนิรมลแห่งองค์ชุมพานิรมล (เทียบ วว.22:17; อฟ.1:4; 5:27) ซึ่งพระคริสต์ได้ทรงรักและได้ทรงมอบพระองค์เพื่อเจ้าสาวผู้นี้เพื่อทำให้เธอศักดิ์สิทธิ์ (อฟ.5:26) เป็นผู้ที่พระองค์ทรงเข้าร่วมโดยอาศัยพันธสัญญานิรันดร และซึ่งพระองค์ไม่เคยหยุดยั้งที่จะเอาใจใส่ดูแลประดุจเป็นพระกายของพระองค์เอง (เทียบ อฟ.5:29)
นี่คือพระคริสต์ครบบริบูรณ์ ทั้งศีรษะและกาย เป็นองค์เดียวที่ประกอบขึ้นด้วยคนเป็นจำนวนมาก... ไม่ว่าศีรษะจะเป็นผู้พูด หรือสมาชิกเป็นผู้พูด
ก็พระคริสต์นั่นเองที่เป็นผู้ตรัส พระองค์ตรัสในบทบาทของผู้เป็นศีรษะ หรือมิฉะนั้นก็ในบทบาทของผู้เป็นกาย ตามที่มีบันทึกไว้ "เขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน นี่แหละธรรมล้ำลึกอันยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าหมายถึงในส่วนที่เกี่ยวกับพระคริสต์และพระศาสนจักร" (อฟ.5:31-32) และพระเยซูเจ้าพระองค์เองก็ตรัสไว้ในพระวรสารว่า "เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน" (มธ.19:6)
ดังที่ท่านได้เห็นแล้ว
แท้จริง มีสองบุคคลแตกต่างกัน กระนั้นก็ดี เขาทั้งสองก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในอ้อมกอดแห่งชีวิตสมรส... ในฐานะเป็นศีรษะ พระองค์ทรงเรียกพระองค์ว่า "เจ้าบ่าว" ในฐานะเป็นกาย ทรงเรียกพระองค์เองว่า "เจ้าสาว" (น.ออกัสติน En. in Ps. 74,4:PL 36,948-949)
|