หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

3. พระเจ้าแท้และมนุษย์แท้

464เหตุการณ์หนึ่งเดียวและประหลาดทีเดียวแห่งการรับธรรมชาติมนุษย์ของพระบุตรแห่งพระเจ้า มิได้หมายความว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าส่วนหนึ่ง และเป็นมนุษย์อีกส่วนหนึ่ง หรือเป็นผลแห่งการคละเคล้าอันสับสนระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ พระองค์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พร้อมๆ กับที่ยังคงเป็นพระเจ้าอยู่อย่างแท้จริง พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ความจริงอันเป็นข้อความเชื่อนี้ พระศาสนจักรจะต้องปกป้องและอธิบายให้กระจ่างอยู่ตลอดเวลาศตวรรษแรกๆ เมื่อต้องเผชิญกับลัทธิเฮเรติกนอกรีต ที่พยายามบิดเบือนความจริงข้อนี้ให้ผิดไป

465ลัทธิเฮเรติกในยุคแรกๆ ได้ปฏิเสธพระเทวภาพของพระคริสต์ น้อยกว่าการเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์ (Gnostic Docetism) ตั้งแต่ยุคของอัครสาวกมาแล้ว ความเชื่อของคริสตังได้เน้นอยู่ที่การรับธรรมชาติมนุษย์อย่างแท้จริงของพระบุตรพระเจ้า ซึ่ง "เสด็จมาเพื่อรับธรรมชาติมนุษย์" (เทียบ 1ยน.4:2-3; 2ยน.7)   แต่พอถึงคริสตศตวรรษที่สาม พระศาสนจักรก็จำต้องยืนยันค้าน เปาโล แห่ง ซาโมซาต ในสภาสังคายนาที่อันทิโอก ว่าพระเยซูคริสตเจ้าคือพระบุตรของพระเจ้าโดยธรรมชาติ และมิใช่โดยการรับเป็นบุตรบุญธรรม สภาสังคายนาสากลครั้งแรกที่นิเช ใน ค.ศ. 325 ก็ได้ยืนยันในบท "ข้าพเจ้าเชื่อ"ว่าพระบุตรของพระเจ้าได้ "บังเกิดมา และมิได้ถูกสร้างขึ้นมา จากพระธรรมชาติเดียวกันกับพระบิดา" และประณามอาริอุส (Arius) ผู้ยืนยันว่า "พระบุตรของพระเจ้าออกมาจากความว่างเปล่า และจากธรรมชาติอื่นซึ่งมิใช่ของพระบิดา" (สังคายนาแห่งนิเช I (325) : DS 130,126)

466ลัทธิเฮเรติกแบบเนสโตริอุสมองว่า ในองค์พระคริสตเจ้ามีพระบุคคลที่เป็นมนุษย์ร่วมอยู่กับพระบุคคลของพระบุตรที่เป็นพระเจ้า เมื่อเผชิญกับลัทธินี้ นักบุญซิริลแห่งอเล็กซานเดรีย และสภาสังคายนาสากลครั้งที่ 3 ซึ่งประชุมกันที่เอเฟซัส ใน ค.ศ. 431 ได้ประกาศยืนยันว่า "พระวจนาตถ์ ในการรวมธรรมชาติมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจขึ้นมาจากวิญญาณอันกอปรด้วยเหตุผล ก็ได้ทรงเป็นมนุษย์" (DS 250) การเป็นมนุษย์ของพระคริสตเจ้านั้นไม่มีบุคคลอื่น นอกจากพระบุคคลแห่งพระบุตร ซึ่งเป็นพระเจ้า ผู้ซึ่งได้รับสภาพความเป็นมนุษย์  และรับสภาพนั้นมาเป็นของพระองค์  ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ เพราะเหตุนี้สภาสังคายนาสากลแห่งเอเฟซัสจึงได้ประกาศใน ค.ศ.431 ว่าพระนางมารีอาได้กลายมาเป็นพระมารดาของพระเจ้าอย่างแท้จริง จากการปฏิสนธิเยี่ยงมนุษย์ของพระบุตรพระเจ้าในครรภ์ของพระนาง "พระ-มารดาของพระเจ้า มิใช่เพราะว่าพระวจนาตถ์ของพระเจ้าได้รับพระธรรมชาติของพระเจ้ามาจากพระนาง แต่เพราะว่าจากพระนางนั้นเองที่พระวจนาตถ์ได้รับพระกายศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกอปรด้วยวิญญาณอันมีเหตุผล ซึ่งเมื่อได้ทรงรวมเอาพระกายนี้ไว้ในพระบุคคลแล้ว พระ-วจนาตถ์ก็กล่าวได้ว่า ได้ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์" (DS 251)

467ผู้ที่เชื่อในลัทธิโมโนฟิซิสม์ ยืนยันว่าธรรมชาติมนุษย์มิได้มีอยู่อีกต่อไปในลักษณะนั้น ในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อได้ถูกรับเข้าไว้โดยพระบุคคลของพระบุตรผู้เป็นพระเจ้าแล้ว เมื่อเผชิญกับความคิดของเฮเรติกแบบนี้ สภาสังคายนาสากลครั้งที่ 4 ที่คัลชิโดเนีย ก็ได้ประกาศยืนยัน ใน ค.ศ. 451 ว่าดังนี้

ตามแบบฉบับของบรรดาปิตาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์   เราสั่งสอนเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศยืนยันว่าพระบุตรมีเพียงองค์เดียว คือองค์พระคริสตเยซูผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวกันนั้นเอง ผู้สมบูรณ์พร้อมในพระเทวภาพ และสมบูรณ์พร้อมในภาวะการเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ องค์เดียวกันนั้น ประกอบด้วยวิญญาณอันเปี่ยมด้วยเหตุผลและกาย ร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดาตามพระเทวภาพ และร่วมสภาวะเดียวกับเราในความเป็นมนุษย์ "เหมือนกับเราทุกอย่าง ยกเว้นในเรื่องบาป" (ฮบ.4:15) ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกัปก่อนกัลป์ตามพระเทวภาพ ในช่วงหลังๆ นี้ -เพื่อเราและเพื่อความรอดของเรา- ทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีอา ผู้เป็นพระมารดาของพระเจ้าตามสภาวะมนุษย์ (DS 301)

เรายืนยันว่า พระคริสตเจ้าองค์เดียวกันนี้เอง  ผู้เป็นพระเจ้าและเป็นพระเอกบุตรที่เราจะต้องยอมรับในสองพระธรรมชาติโดยไม่ปะปนสับสน ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แบ่งแยก ไม่พรากจากกัน ความแตกต่างระหว่างสองธรรมชาตินี้ มิได้ถูกตัดออกไป เพราะการเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียว แต่จะเป็นในลักษณะที่ว่า คุณสมบัติของแต่ละพระธรรมชาตินั้น ได้รับการพิทักษ์รักษาไว้  และรวมกันอยู่ในคนๆ เดียว และในพระบุคคลเดียว (DS 302)

468หลังการประชุมสภาสังคายนาสากลแห่งคัลชิโดเนีย คนบางคนก็ถือว่าพระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้านั้น เป็นเรื่องส่วนพระองค์ สภาสังคายนาสากลครั้งที่ 5 ที่คอนสแตนติ-โนเปิล ใน ค.ศ. 553 ได้ประกาศยืนยันคัดค้านคนเหล่านี้ "พระบุคคลมีเพียงพระบุคคลเดียวที่เป็นพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของเรา เป็นหนึ่งเดียวในพระตรีเอกภาพ" (สังคายนาแห่งคอนสแตนติโนเปิล II (553) : DS 424) ทุกสิ่งในสภาวะมนุษย์ของพระคริสตเจ้า จึงควรยกให้เป็นของพระบุคคลผู้เป็นพระเจ้า เช่นเดียวกับเป็นเรื่องของพระองค์โดยเฉพาะ มิเพียงในเรื่องการทำอัศจรรย์ แต่ยังในการรับทรมาน และแม้กระทั่งการสิ้นพระชนม์อีกด้วย "องค์พระผู้ซึ่งพระกายถูกตรึงกางเขน พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้าของเรา คือพระเจ้าแท้ทรงเป็นเจ้าแห่งสิริโรจนาและเป็นหนึ่งในพระตรีเอกภาพ" (สังคายนาแห่งคอนสแตนติโนเปิล II (553) : DS 432 สังคายนาแห่งเอเฟซัส DS 255)

469พระศาสนจักรยืนยันด้วยประการฉะนี้  พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้อย่างแยกกันไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าโดยแท้ ผู้เสด็จมาเป็นมนุษย์ เป็นพี่ชายของเรา และทรงเป็นดังนี้ โดยมิได้ยุติที่จะเป็นพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของเรา

"พระองค์ยังทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็น พระองค์ทรงรับเอาสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงเป็น" พิธีกรรมโรมันขับร้องว่าดังนั้น และพิธีกรรมของนักบุญยอห์น คริสโซสโตม ก็ประกาศและขับร้องว่า  "โอ พระบุตรองค์เดียวและพระวจนาตถ์ของพระเจ้า  แม้จะทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์จากพระนางมารีอาผู้เป็นพรหมจารีเสมอ (PL 54,191-192) -เพื่อช่วยเราให้รอด- พระองค์ได้ทรงเป็นมนุษย์ โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และได้ทรงถูกตรึงกางเขน โอ พระคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า ผู้ได้ทรงบดขยี้ความตายด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์   พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งในพระตรีเอกภาพ  ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระจิต โปรดทรงช่วยเราให้รอด" (พิธีกรรมของนักบุญยอห์น คริสโซสโตม)