หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

3. พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

441ในพันธสัญญาเดิม บุตรของพระเจ้า เป็นตำแหน่งที่ให้แก่เทวดา แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้ว แก่ลูกหลานชาวอิสราเอลและแก่กษัตริย์ของพวกเขา (เทียบ ฉธบ.14:1) หมายถึงการมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์สนิทสนมเป็นพิเศษระหว่างพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระองค์ เมื่อกษัตริย์-เมสสิยาห์ ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ได้รับการเรียกว่า "บุตรพระเจ้า" ก็มิได้มีนัยแสดงโดยจำเป็นว่าพระองค์เป็นยิ่งกว่ามนุษย์ ในความหมายตามตัวอักษรของตัวบทเหล่านั้น ผู้ที่กล่าวถึงพระเยซูเช่นนี้ ว่าเป็นพระเมสสิยาห์แห่งอิสราเอล อาจไม่ต้องการหมายถึงอะไรที่มากกว่านี้ก็เป็นไปได้ (เทียบ 1พศด.17:13; สดด.2:7; มธ.27:54; ลก.23:47)

442แต่สำหรับเปโตรไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเขายืนยันว่าพระเยซูคือ "พระคริสตเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ทรงชีวิต" (มธ.16:16) เพราะพระเยซูเจ้าได้ทรงตอบเขาอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า"นี่ไม่ใช่เลือดเนื้อที่เปิดเผยแก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาเจ้าสวรรค์" (มธ.16:16-17) เทียบขนานกับถ้อยคำนี้ เปาโลจะกล่าวถึงการกลับใจของเขาบนเส้นทางสู่กรุงดามัสกัสว่า "เมื่อพระเจ้าผู้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ต่างหากตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และได้ทรงเรียกข้าพเจ้ามาด้วยพระหรรษทานของพระองค์ ทรงพอพระทัยที่จะเผยแสดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรแก่คนต่างศาสนานั้น..." (กท.1:15-16) "แล้วจู่ๆ เขาก็ไม่ได้รีรอ ออกไปประกาศตามธรรมศาลาเรื่องพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า" (กจ.9:20) ตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อของอัครสาวก ซึ่งได้รับการประกาศยืนยันจากเปโตรก่อนใคร ในฐานะเป็นรากฐานแห่งพระศาสนจักร (เทียบ 1ทธ. 1:10; ยน.20:31; มธ.16:18)

443หากว่าเปโตรสามารถรู้ได้ถึงลักษณะเหนือธรรมชาติแห่งการเป็นบุตรพระเจ้า ของพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ ก็เป็นเพราะว่าพระเยซูพระองค์เองได้ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจน ต่อหน้าศาลสูงของพวกยิว เมื่อผู้กล่าวหาพระองค์ตั้งคำถามเอาว่า "ท่านคือบุตรของพระเจ้าหรือ?" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านพูดเองนะว่าเราเป็น" (ลก.22:70 เทียบ มธ.26:64; มก.14:61-62) ก่อนหน้านี้มาแล้ว พระองค์ได้แสดงพระองค์เองว่าเป็น "บุตร" ที่รู้จักพระบิดา ซึ่งแตกต่างจาก "ผู้รับใช้ทั้งหลาย" ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมายังประชากรของพระองค์ก่อนหน้านั้น และอยู่ในตำแหน่งสูงส่งกว่าเทพทั้งหลายด้วยซ้ำ (เทียบ มธ.11:27;21:34-38;24:36) พระองค์ได้แสดงความแตกต่างระหว่างการเป็นบุตรพระเจ้าของพระองค์กับการเป็นบุตรพระเจ้าของบรรดาสานุศิษย์ไว้ โดยการไม่เคยกล่าวเลยว่า "พระบิดาของเราทั้งหลาย" ยกเว้นเพื่อจะสั่งสานุศิษย์ทั้งปวงว่า "เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนา ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย" (มธ.6:9) และได้ทรงเน้นความแตกต่างอันนี้ โดยใช้คำว่า "พระบิดาของเรา (My Father) และพระบิดาของท่าน (Your Father)" (ยน.20:17)

444พระวรสารเล่าถึงเหตุการณ์ที่สง่าอย่างสำคัญอยู่สองตอน คือการรับพิธีล้างและการสำแดงพระองค์ในโรจนาการของพระคริสตเจ้า ว่ามีพระสุรเสียงของพระบิดาตรัสลงมาว่า พระเยซูคือ "บุตรสุดรัก" (เทียบ มธ.3:17) ของพระองค์ พระเยซูเจ้าก็ทรงเผยแสดงพระองค์เองว่าเป็น "พระเอกบุตร" (ยน.3:16) และโดยตำแหน่งนั้นก็ทรงยืนยันการดำรงอยู่อันนิรันดรของพระองค์ว่าเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว พระองค์ทรงเรียกร้องให้มีความเชื่อ "ในนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า" (ยน.3:18) การยืนยันความเชื่อของชาวคริสต์นี้ ปรากฏอยู่แล้วในคำอุทานของนายร้อยเมื่อเผชิญหน้ากับพระเยซูบนไม้กางเขน    "ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว" (มก.15:39)    ในธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาเท่านั้นที่ผู้มีความเชื่อสามารถบอกพิสัยขอบข่ายท้ายสุดของตำแหน่ง "บุตรพระเจ้า" ได้

445หลังการฟื้นคืนชีพของพระคริสตเจ้านั้นเอง ที่การเป็นบุตรพระเจ้าของพระองค์ปรากฏในอานุภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่ได้รับการเทิดทูนในโรจนาการ "โดยทางพระจิตเจ้า ผู้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ ทรงได้สถาปนาขึ้นให้เป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระชนม์" (รม.1:4) บรรดาอัครสาวกสามารถยืนยันได้ว่า "เราได้เห็นสิริมงคลของพระองค์ ซึ่งเป็นดังสิริมงคลของพระเอกบุตรของพระบิดา เราได้เห็นพระองค์เพียบพร้อมด้วยพระหรรษทานและความจริง" (ยน.1:14)