หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

2. หนึ่งเดียวทั้งกายและวิญญาณ

362ตัวบุคคลผู้เป็นมนุษย์ ซึ่งสร้างขึ้นตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า เป็นตัวตนซึ่งมีทั้งกายและจิต บทเล่าในพระคัมภีร์แสดงความเป็นจริงอันนี้ด้วยภาษาสัญลักษณ์ เมื่อยืนยันว่า "พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยดินเหนียวจากพื้นปฐพี ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูก มนุษย์จึงกลายเป็นตัวตนที่มีชีวิต" (ปฐก.2:7) มนุษย์ทั้งตัวตนจึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้มีชีวิตขึ้น

363บ่อยครั้ง คำว่า "วิญญาณ" (soul) ในพระคัมภีร์หมายถึงชีวิตมนุษย์ หรือตัวบุคคลผู้เป็นมนุษย์ทั้งตัวตน (เทียบ มธ.16:25-26; ยน.15:13; กจ.2:41) และยังหมายถึงสิ่งที่เร้นอยู่อย่างลึกซึ้งที่สุดในตัวมนุษย์ (เทียบ มธ.10:28;26:38; ยน.12:27; 2มคบ.6:30) และทรงคุณค่าอย่างยิ่งในตัวมนุษย์อีกด้วย อาศัยเหตุนี้ มนุษย์จึงเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอย่างพิเศษยิ่งขึ้น คำว่า "วิญญาณ" หมายถึงหลักฝ่ายจิตในตัวมนุษย์

364กายของมนุษย์มีส่วนร่วมในศักด์ศรีของการเป็น "พระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า" ที่เป็นกายมนุษย์ก็เพราะว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยวิญญาณอันเป็นจิต และตัวบุคคลที่เป็นมนุษย์ทั้งตัวตนนี้แหละ ที่ถูกกำหนดมาให้เป็นพระวิหารของพระจิต ในพระกายของพระคริสต์ (เทียบ    1คร.6:19-20; 15:44-45)

แม้ว่ามนุษย์จะประกอบด้วยกายและวิญญาณ แต่ก็เป็นหนึ่งเดียว มนุษย์ในสภาพที่เป็นกาย รวบรวมเอาไว้ในตน ซึ่งปัจจัยทั้งหลายแห่งโลกเป็นสสาร ซึ่งในตัวมนุษย์ ปัจจัยเหล่านั้นก็ได้พบภาวะสุดยอดแห่งตน และสามารถสรรเสริญพระผู้สร้างได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงไม่อาจดูหมิ่นชีวิตฝ่ายกาย แต่ตรงกันข้าม ควรยกย่องและเคารพกายของตน ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้า และจักต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันสุดท้าย (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 14.1 เทียบ ดนล.3:57-80)

365ความเป็นหนึ่งเดียวของวิญญาณ (soul) และกาย (body) นี้ ลึกซึ้งเสียจนกระทั่งเราควรถือว่าวิญญาณคือ "รูป" (form) ของกาย (เทียบ สังคายนาแห่งเวียน (1312) : DS 902) กล่าวคือ อาศัยวิญญาณที่เป็นจิตนี้เอง ที่กายซึ่งประกอบขึ้นมาด้วยสสารได้เป็นกายของมนุษย์และทรงชีวิต จิตและสสาร ในตัวมนุษย์ มิใช่ธรรมชาติสองชนิดที่มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่การรวมเป็นหนึ่งเดียวของจิตและสสารนี้ ประกอบกันขึ้นเป็นธรรมชาติหนึ่งเดียว

366พระศาสนจักรสั่งสอนว่า วิญญาณอันเป็นจิตแต่ละวิญญาณ   ได้รับการสร้างขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดโดยพระเจ้า วิญญาณไม่ได้ "ผลิต" ขึ้นมาโดยผู้เป็นบิดามารดา พระศาสนจักรยังสอนเราดัวยว่าวิญญาณเป็นอมตะ วิญญาณไม่ตายเมื่อแยกออกจากกายแล้ว ยามที่มนุษย์สิ้นชีวิต และจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับกายใหม่เมื่อฟื้นคืนชีพในวาระสุดท้าย (เทียบ Humani generis, DS 3896; Paul VI)

367บางครั้ง ปรากฏว่าวิญญาณถูกแยกออกว่าเป็นคนละอย่างกับจิต เช่น นักบุญเปาโลภาวนาขอให้ "ตัวตนของเราทั้งหมดศักดิ์สิทธิ์ คือ "ทั้งจิตใจ (spirit) วิญญาณ และร่างกาย" ได้รับการรักษาไว้โดยปราศจากการถูกตำหนิติเตียนใดๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา (1ธส.5:23) พระศาสนจักรสั่งสอนว่าการแบ่งแยกดังกล่าวนั้น ไม่ก่อให้เกิดทวิภาวะขึ้นในวิญญาณ (เทียบ สังคายนาคอนสแตนติโนเปิล IV (870) : DS 657) "จิต" หมายถึงว่ามนุษย์ได้รับการวางระเบียบ ตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วให้ไปสู่จุดหมายสุดท้ายอันอยู่เหนือธรรมชาติ และวิญญาณของมนุษย์สามารถที่จะยกให้สูงขึ้นไป สู่การรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ ในลักษณะที่ "ได้เปล่า" (เทียบ สังคายนาวาติกันที่ 1 Dei Filius DS 3005)

368ธรรมประเพณีเรื่องจิตของพระศาสนจักรยังให้ความสำคัญแก่ใจ (heart) อีกด้วย ตามความหมายของพระคัมภีร์ ซึ่งหมายถึงส่วนลึกสุดแห่งตัวตน อันเป็นแหล่งซึ่งตัวบุคคลจะตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายพระเจ้าหรือไม่ (เทียบ ยรม.31:33; ฉธบ.6:5; 29:3; อสย.29:13; อสค.36:26; มธ.6:21; ลก.8:15; รม.5:5)