หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

โดยสรุป

315โดยการสร้างโลกและมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงวางองค์พยานแรกแห่งความรักอันทรงสรรพานุภาพของพระองค์ ตลอดจนพระปรีชาญาณของพระองค์ไว้ให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วสากล เป็นการประกาศครั้งแรกถึง "แผนการอันเอื้ออารี" ของพระองค์   ซึ่งมีจุดสุดท้ายอยู่ที่การสร้างครั้งใหม่ในพระ-คริสตเจ้า

316แม้ว่ากิจการสร้างสรรค์จะถูกยกให้เป็นของพระบิดาโดยเฉพาะ แต่ก็เป็นข้อความจริงที่จะต้องเชื่อเช่นกันว่า พระบิดา พระบุตร และพระจิต คือหลักสำคัญหนึ่งเดียวและแบ่งแยกมิได้ของการสร้างสรรค์นั้น

317พระเจ้าผู้เดียวได้ทรงสร้างจักรวาลอย่างอิสระ   โดยตรงและโดยปราศจากความช่วยเหลือแต่อย่างใด

318ไม่มีสิ่งสร้างใดที่มีอานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้ อันจำเป็นแก่การ "สร้าง" ในความหมายโดยตรงของคำนี้ คือการผลิตและให้ตัวตน (การดำรงอยู่) แก่สิ่งที่มิได้เคยมีแต่อย่างใด (เรียกมาสู่การมีชีวิตอยู่ "จากความว่างเปล่า") (เทียบ DS 3624)

319พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกเพื่อสำแดงและสื่อพระสิริมงคลให้เป็นที่รู้จัก ขอให้สิ่งสร้างของพระองค์ได้มีส่วนในความจริง ความดีและความงามของพระองค์ นี่คือสิริมงคลซึ่งพระเจ้ามีพระประสงค์จะมอบให้แก่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา

320พระเจ้าผู้ได้ทรงสร้างจักรวาล ธำรงรักษาจักรวาลให้ดำรงอยู่ โดยอาศัยพระวจนาตถ์ "พระบุตรผู้ทรงค้ำจุนจักรวาลไว้ด้วยพระวาจาอันทรงอานุภาพของพระองค์" (ฮบ.1:3) และโดยอาศัยพระจิตสร้างสรรค์ผู้ประทานชีวิต

321พระญาณที่อาทรของพระเจ้าคือข้อกำหนดทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าทรงใช้เพื่อทรงนำสิ่งสร้างทั้งปวงด้วยพระปรีชาญาณและความรัก ไปจนกระทั่งถึงจุดหมายสุดท้าย

322พระคริสต์ทรงเชื้อเชิญเรา ให้มอบตนฉันบุตร ไว้ในพระญาณที่อาทรของพระบิดาในสวรรค์ (เทียบ มธ.6:26-34) และนักบุญเปโตรอัครสาวกก็ได้กล่าวย้ำ   "จงละความกระวนกระวายใจทั้งหมดของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงดูแลท่าน" (1ปต.5:7; เทียบ สดด.55:23)

323พระญาณที่อาทรของพระเจ้ายังปฏิบัติงาน โดยอาศัยการประพฤติปฏิบัติของสิ่งสร้างทั้งหลายอีกด้วย พระองค์ทรงโปรดให้มนุษย์ได้มีส่วนร่วมงานอย่างอิสระกับแผนการของพระองค์

324การที่พระเจ้าทรงยินยอมให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น ทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงจริยธรรมนั้น เป็นธรรมล้ำลึกซึ่งพระเจ้าประทานความสว่างมา โดยผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์ ผู้สิ้นพระชนม์และฟื้นคืนชีพเพื่อพิชิตความชั่วร้าย ความเชื่อทำให้เรามั่นใจว่าพระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นเลย หากพระองค์ไม่ทรงกระทำให้ความดีออกมาจากความร้ายนั้นเอง โดยวิถีทางซึ่งเราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เฉพาะในชีวิตนิรันดร