302สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มีความดีและความสมบูรณ์พร้อมอยู่ในตัว แต่มิได้ออกมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าในลักษณะสำเร็จรูป
แต่สร้างขึ้นมาในสภาพกำลังดำเนินไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมขั้นสุดท้ายที่ยังจะต้องไปให้ถึง อันเป็นขั้นที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้สำหรับสิ่งสร้างนั้น
เราเรียกข้อกำหนดซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการนำสิ่งสร้างของพระองค์ไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมนี้ว่า "พระญาณที่อาทรของพระเจ้า"
พระเจ้าทรงรักษาและปกครองทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา โดยอาศัยพระญาณที่อาทร"โดยไปให้ถึง อาศัยพลังจากปลายสุดหนึ่งไปยังอีกปลายสุดหนึ่ง
และจัดระเบียบทุกสิ่งด้วยความอ่อนโยน" (ปชญ.8:1) เนื่องจากว่า "สรรพสิ่งอยู่ในสภาพเปลือย และเปิดเผยอยู่ต่อสายพระเนตรของพระองค์" (ฮบ.4:13)
แม้กระทั่งสรรพสิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นก็เป็นไปโดยการกระทำอันอิสระของผู้สร้าง (สังคายนาวาติกันที่ 1 DS 3003 เทียบ ปชญ.8:1 ฮบ.4:13)
303ประจักษ์พยานในพระคัมภีร์ล้วนเป็นเอกฉันท์ ความห่วงใยแห่งพระญาณที่อาทรของพระเจ้านั้น แสดงออกในเชิงรูปธรรมและอย่างทันทีทันใด
พระญาณที่อาทรดูแลทุกอย่าง จากสิ่งเล็กน้อยที่สุดไปจนถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกและในประวัติศาสตร์หนังสือศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ยืนยันอย่างแข็งขันถึงความเป็นองค์อธิปัตย์อย่างเด็ดขาดของพระเจ้า
ในกระแสแห่งเหตุการณ์ "พระเจ้าของเราทั้งหลาย ในสวรรค์และบนแผ่นดิน สิ่งใดที่พระองค์พอพระทัย พระองค์ก็ทรงกระทำ" (สดด.115:3) และเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า ก็มีกล่าวไว้ว่า "หากพระองค์ทรงเปิด
จะไม่มีผู้ใดปิด และหากพระองค์ทรงปิด จะไม่มีผู้ใดเปิด" (วว.3:7) "มีความคิดมากมายอยู่ในใจมนุษย์ แต่แผนการของพระเจ้าเท่านั้นจะสำเร็จไป" (สภษ.19:21)
304ดังนี้ เราจึงเห็นพระจิตเจ้า ผู้ประพันธ์องค์สำคัญแห่งพระคัมภีร์ ทรงยกกิจการทั้งหลายบ่อยครั้งให้เป็นเรื่องของพระเจ้า โดยไม่ทรงเอ่ยถึงมูลเหตุรองๆ ลงมาแต่อย่างใด
นี่ไม่ใช่ "วิธีพูด" แบบโบราณ แต่เป็นวิธีการอันลึกซึ้งเพื่อจะเตือนให้รำลึกถึงความเป็นเอกของพระเจ้า และความเป็นเจ้าเป็นนายอย่างเด็ดขาดของพระองค์เหนือประวัติศาสตร์และโลก (เทียบ อสย.10:5-15;45:5-7; ฉธบ.32:39;
บสร.11:14) และเพื่อสอนมนุษย์ให้ไว้วางใจในพระองค์ด้วยประการฉะนี้ คำภาวนาในบทสดุดีคือสถานศึกษาอันยิ่งใหญ่ ให้รู้จักมีความไว้วางใจดังกล่าว (เทียบ สดด.22:32,35,103,138)
305พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เรามอบตนฉันบุตรไว้ในพระญาณที่อาทรแห่งพระบิดาในสวรรค์ ผู้ทรงดูแลแม้ความต้องการที่เล็กน้อยที่สุดของบุตรของพระองค์ "ดังนั้น อย่ากังวล
และกล่าวว่า เราจะกินอะไร? หรือจะดื่มอะไร?... พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งเหล่านี้ให้" (มธ.6:31-33)
พระญาณที่อาทรและมูลเหตุรองลงมา
306พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายสูงสุดในแผนการของพระองค์ แต่ในการกระทำให้แผนการนั้นสำเร็จไป พระองค์ยังโปรดให้สิ่งสร้างของพระองค์ได้มีส่วนเข้ามาให้ความร่วมมือช่วยเหลืออีกด้วย
นี่ไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ แต่เป็นเครื่องหมายของความยิ่งใหญ่ และความมีพระทัยดีของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เนื่องจากพระองค์มิเพียงโปรดให้สิ่งสร้างของพระองค์ได้มีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
แต่ยังประทานศักดิ์ศรีให้รู้จักประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง รู้จักที่จะเป็นมูลเหตุและหลักการให้แก่กันและกัน และให้ความร่วมมือในการทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จไปด้วยประการฉะนี้
307พระเจ้ายังประทานแม้กระทั่งความสามารถแก่มนุษย์ที่จะมีส่วนอย่างอิสระ ในพระญาณที่อาทรของพระองค์ โดยทรงมอบหมายความรับผิดชอบแก่มนุษย์ ให้ "ปราบ"
แผ่นดินให้ราบคาบและมีอำนาจเป็นใหญ่อยู่เหนือแผ่นดิน (เทียบ ปฐก.1:26-28) ดังนี้ เท่ากับพระเจ้าโปรดให้มนุษย์เป็นมูลเหตุทางปัญญาอย่างอิสระ เพื่อที่จะปฏิบัติกิจการสร้างสรรค์ของพระองค์ให้สำเร็จบริบูรณ์
ให้เกิดความผสานกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ เพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่มนุษย์และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสืบไป มนุษย์นั้น แม้ว่าบ่อยครั้ง จะเป็นผู้ร่วมมือไปโดยไม่รู้ตัวในสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
แต่มนุษย์ก็สามารถเข้าสู่แผนการของพระเจ้าได้โดยเจตนา อาศัยกิจการ การภาวนา รวมทั้งความทุกข์ทรมานของตนด้วย (เทียบ คส.1:24) ในลักษณะนั้น นับได้ว่ามนุษย์เป็น "ผู้ร่วมงานกับพระเจ้า"
และผู้ร่วมงานแห่งอาณาจักรของพระองค์ (1คร.3:9; 1ธส.3:2; คส.4:11)
308นี่เป็นข้อความจริงที่แยกไม่ได้จากความเชื่อในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้าง พระเจ้าทรงมีส่วนในกิจการทุกอย่างที่สิ่งสร้างของพระองค์ทรงกระทำ
พระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุซึ่งปฏิบัติการอยู่ใน และโดยอาศัยมูลเหตุรองๆ เหล่านั้น "เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำงานอยู่ในท่าน เพื่อให้ท่านมีทั้งความปรารถนาและความสามารถที่จะทำงานตามพระประสงค์" (ฟป.2:13) แทนที่จะลดศักดิ์ศรีของสิ่งสร้างลง ความจริงข้อนี้ กลับยกศักดิ์ศรีของสิ่งสร้างให้สูงขึ้น ศักดิ์ศรีของสิ่งสร้างนั้น เมื่อบังเกิดจากความว่างเปล่าโดยอาศัยพระฤทธานุภาพ พระปรีชาญาณ และพระทัยกรุณาของพระเจ้า ย่อมจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย หากถูกตัดเสียจากต้นกำเนิดแห่งตน เนื่องจากว่า "สิ่งสร้างที่ปราศจากพระผู้สร้าง ย่อมจะอันตรธานหายไป" (พระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ 36.3) ยิ่งจะไปให้ถึงจุดหมายสุดท้ายด้วยแล้ว ยิ่งทำไม่ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระหรรษทาน (เทียบ มธ.19:26; ยน.15:5; 14:13)
พระญาณที่อาทรและความน่าอดสูแห่งความชั่วร้าย
309หากว่าพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ ผู้ทรงสร้างโลกอย่างมีระเบียบและดี และคอยดูแลสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ ไฉนความชั่วร้ายจึงยังคงมีอยู่
ต่อคำถามอันนี้ซึ่งทั้งเร่งเร้าและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเจ็บปวดพอๆ กับลึกล้ำ คำตอบใดๆ อย่างรวดเร็วย่อมจะไม่เพียงพอ มวลรวมแห่งความเชื่อในคริสตศาสนานั้นเองที่ประกอบกันขึ้นเป็นคำตอบต่อปัญหาอันนี้ ความดีของสิ่งสร้าง
ความร้ายแรงน่ากลัวแห่งบาป ความรักอันเพียรทนของพระเจ้าผู้เสด็จมาต้อนรับมนุษย์ด้วยพันธสัญญาของพระองค์ ด้วยการส่งพระบุตรมาทรงรับธรรมชาติมนุษย์เป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาป ด้วยพระคุณแห่งพระจิต ด้วยการรวมพระศาสนจักรเข้าด้วยกัน
ด้วยพลังแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการเรียกเข้าสู่ชีวิตอันบรมสุข ซึ่งสิ่งสร้างที่อิสระได้รับเชิญล่วงหน้าให้ยินยอมเข้าสู่ชีวิตดังกล่าว
แต่ซึ่งสิ่งสร้างก็สามารถหลบหลีกไปได้ล่วงหน้าเช่นกันจากชีวิตนั้น โดยอาศัยธรรมล้ำลึกอันน่าสะพรึงกลัว ไม่มีลักษณะใดสักลักษณะเดียวในสารของคริสตศาสนา ที่มิได้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบต่อปัญหาเรื่องความชั่วร้ายนั้น
310เพราะเหตุใด พระเจ้าจึงมิได้ทรงสร้างโลกให้สมบูรณ์พร้อมถึงขนาดที่ความชั่วร้ายใดๆ ก็มิอาจมีอยู่ได้ในโลกนี้ จากการที่พระเจ้าทรงอานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้
พระองค์ย่อมจะทรงสามารถสร้างอะไรที่ดีกว่านี้ได้เสมอ (เทียบ น.โทมัส อไควนัส) อย่างไรก็ดี ด้วยพระปรีชาญาณ และพระมหากรุณาอันหาที่สุดมิได้ พระเจ้าก็ทรงปรารถนาที่จะสร้างโลกอย่างอิสระ "ในสภาพที่กำลังดำเนินไป"
สู่ความสมบูรณ์พร้อมขั้นสุดท้าย ในแผนการของพระเจ้า การดำเนินไปนี้ประกอบขึ้นด้วยการปรากฏตัวของบางตัวตน การหายไปของบางตัวตน ทั้งที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด และที่สมบูรณ์น้อยที่สุด พร้อมทั้งการก่อตัวของธรรมชาติ
และการทำลายอีกด้วย ดังนั้น พร้อมๆ กับความดีเชิงกายภาพ จึงมีความร้ายเชิงกายภาพอยู่ด้วย นานตราบเท่าที่สิ่งสร้างยังขึ้นไม่ถึงสภาพสมบูรณ์พร้อม (เทียบ น.โทมัส อไควนัส)
311เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งสร้างที่กอปรด้วยภูมิปัญญาและเป็นอิสระ จักต้องดำเนินไปสู่ชะตากรรมสุดท้ายของตน โดยการเลือกอย่างเสรี และด้วยความรักตามความพอใจของตน
เทวดาและมนุษย์จึงอาจออกนอกลู่นอกทางไปได้ ตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์ก็ได้ทำบาป ฉะนี้แหละ ความร้ายในเชิงจริยธรรมจึงได้เข้ามาในโลก โดยไม่มีมาตรอันใดร่วมกัน ที่จะมาวัดได้ว่าหนักหนากว่าความร้ายเชิงกายภาพ
ไม่ว่าในแง่ใด พระเจ้ามิใช่ต้นเหตุแห่งความร้ายเชิงจริยธรรม (เทียบ น.ออกัสติน) ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม อย่างไรก็ดี พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้น
โดยเคารพต่อเสรีภาพของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา และทรงรู้วิธีที่จะดึงความดีออกมาจากความร้ายนั้น
เนื่องจากว่าพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ... ในเมื่อทรงมีพระทัยดีอย่างล้ำเลิศ ย่อมจะไม่มีวันทรงปล่อยความชั่วร้ายใดๆ ให้มีอยู่ในกิจการของพระองค์
หากว่าพระองค์มิได้ทรงมีอานุภาพและมีพระทัยดีเพียงพอที่จะทรงทำให้ความดีออกมาจากความชั่วร้ายนั้นเอง (น.ออกัสติน)
312ดังนี้ พร้อมกับการผ่านไปของกาลเวลา เราจะสามารถค้นพบว่าพระเจ้า -อาศัยพระญาณที่อาทรอันทรงสรรพานุภาพ-
ทรงสามารถดึงเอาสิ่งดีออกมาจากผลที่สืบเนื่องมาจากความชั่วร้าย แม้ในเชิงจริยธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะสิ่งสร้างของพระองค์ "โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า มิใช่พี่ที่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา...
พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก" (ปฐก.45:8; 50:20) จากความชั่วร้ายเชิงจริยธรรมที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีผู้เคยกระทำมาคือการปฏิเสธและการฆาตกรรมพระบุตรของพระเจ้า อันเป็นการกระทำที่เกิดจากบาปของมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้า อาศัยพระหรรษทานที่ประทานมาอย่างล้นเหลือ (เทียบ รม.5:20) ได้ทรงดึงเอาความดียิ่งใหญ่ที่สุดออกมา นั่นคือการถวายสิริมงคลแด่พระคริสตเจ้าและการไถ่กู้เราให้รอด กระนั้นก็ตาม ความชั่วร้ายก็มิใช่จะกลายเป็นความดีขึ้นมาได้
313"พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์" (รม.8:28) การเป็นประจักษ์พยานของบรรดานักบุญ มิได้หยุดยั้งที่จะยืนยันความจริงข้อนี
ดังนี้ นักบุญแคธรีนแห่งเซียนา กล่าวแก่ผู้ที่รู้สึกว่าทนไม่ได้ และอยากจะลุกขึ้นต่อต้าน เพราะสิ่งที่เกิดแก่ตัวเขา ว่า "ทุกสิ่งเนื่องมาแต่ความรัก
ทุกสิ่งที่ได้รับการจัดระเบียบไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ ไม่ว่าพระเจ้าจะทำสิ่งใด ก็ด้วยความมุ่งหมายอันนี้เท่านั้น"
และนักบุญโทมัส มอร์ ก่อนการเป็นมรณสักขีของท่านไม่นาน ก็ได้ปลอบโยนบุตรีของท่านว่า "ไม่มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงปรารถนาให้เป็นไป ดังนั้น
ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ ไม่ว่าสำหรับเราจะดูว่าเลวร้ายอย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับเราอยู่นั่นเอง"
และเลดี้ จูเลียนแห่งนอริช ก็พูดว่า "เดชะพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า ดิฉันเรียนรู้ว่าตนเองจำต้องยึดมั่นในความเชื่อ และเชื่อด้วยความมั่นคงไม่น้อยไปกว่า
ว่าทุกสิ่งจะดี... และเธอจะได้เห็นว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดี"
314เราเชื่ออย่างมั่นคงว่าพระเจ้าคือเจ้าแห่งโลกและประวัติศาสตร์ แต่วิถีทางแห่งพระญาณที่อาทรมักจะไม่เป็นที่รู้จักแก่เรา จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
เมื่อความรู้เพียงบางส่วนของเราจบลง และเราได้เห็นพระเจ้าเหมือน "พระองค์อยู่ต่อหน้าเรา" (1คร.13:12) นั่นแหละ เราจึงจะรู้ถึงวิถีทางเหล่านั้นอย่างเต็มที่ ซึ่งอาศัยวิถีทางเหล่านี้
แม้จะต้องผ่านความน่าสะพรึงกลัวแห่งความชั่วร้ายและบาป พระเจ้าก็จะทรงนำสิ่งสร้างของพระองค์ไปสู่การพักผ่อนแห่งวันสับบาโต (เทียบ ปฐก.2:2) สุดท้าย ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินก็ด้วยจุดหมายอันนี้จนสำเร็จ
|