หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

3. พระตรีเอกภาพในหลักคำสอนเรื่องความเชื่อ

การก่อรูปแห่งข้อความเชื่อเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพ

249ความจริงที่เผยแสดงแล้วเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพ นับได้ว่าเป็นรากแก้วแห่งความเชื่ออันทรงชีวิตของพระศาสนจักรมาแต่แรกเริ่มเดิมที ส่วนใหญ่โดยอาศัยศีลล้างบาป ความจริงดังกล่าวนี้ แสดงออกอยู่ในกฎแห่งความเชื่อในพิธีศีลล้างบาป ซึ่งกำหนดไว้ในบทเทศน์ ในการสอนคำสอนและในบทภาวนาของพระศาสนจักร ถ้อยคำที่กำหนดขึ้นเหล่านี้มีปรากฏอยู่แล้วในข้อเขียนของอัครสาวก ดังที่เห็นได้จากคำตอบรับต่อไปนี้ ซึ่งมีการนำไปใช้อยู่ในพิธีกรรมเฉลิม-ฉลองศีลมหาสนิท "ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของพระจิตเจ้า สถิตอยู่กับทุกท่านเทอญ" (2คร.13:14

250ระหว่างคริสตศตวรรษแรกๆ ของพระศาสนจักร ได้พยายามที่จะกำหนดถ้อยคำเกี่ยวกับความเชื่อในพระตรีเอกภาพออกมาให้ชัดแจ้ง ทั้งเพื่อให้ตนเองสามารถเข้าใจความเชื่อได้อย่างลึกซึ้ง และเพื่อป้องกันความเชื่อให้พ้นจากความผิดพลาดทั้งหลาย ที่จะทำให้ความเชื่อแปรรูปไป นี่คืองานของสภาสังคายนาทั้งหลายในสมัยโบราณ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านเทววิทยาจากบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักร และได้รับการค้ำจุนจากสำนึกในความเชื่อของประชากรคริสตชนทั้งหลาย

251สำหรับการกำหนดถ้อยคำของข้อความเชื่อเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพ พระศาสนจักรจำต้องคิดศัพท์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ อาศัยความช่วยเหลือจากข้อคิดเห็นที่มีต้นกำเนิดมาจากวิชาปรัชญา เช่น คำว่า "พระสภาวะ (substance หรือพระธรรมชาติ)" "พระบุคคล (person หรือ hypostasis)" "ความสัมพันธ์ (relation)" ฯลฯ ในการกระทำดังนี้ พระศาสนจักรมิใช่ว่าจะลดความสำคัญของความเชื่อลงไปให้อยู่ต่ำกว่าปรีชาญาณของมนุษย์ แต่ได้ให้ความหมายใหม่ - ซึ่งไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเลย - แก่ศัพท์เหล่านี้ ซึ่งนับแต่นั้นมา ก็ได้นำมาใช้หมายถึงธรรมล้ำลึกอันเหลือที่จะพรรณนาอีกด้วย     "โพ้นทุกสิ่งที่เราจะสามารถเล็งเห็นในฐานะมนุษย์อย่างมากมาย" (พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6) 252พระศาสนจักรใช้ศัพท์ว่า "พระสภาวะ" (บางครั้งก็ใช้ว่า "essence" หรือ "พระธรรมชาติ" (nature)) เพื่อบ่งบอกการดำรงอยู่ของพระเจ้าในเอกภาพของพระองค์ ใช้คำว่า "พระบุคคล" (หรือ hypostasis) เพื่อหมายถึงพระบิดา พระบุตร และพระจิต ในลักษณะที่แตกต่างจากกันอย่างแท้จริง ใช้คำว่า "ความสัมพันธ์" เพื่อบ่งบอกข้อเท็จจริงที่ว่า ความแตกต่างระหว่างทั้งสามพระองค์นั้นอยู่ที่การอ้างอิงซึ่งกันและกัน

ข้อความเชื่อเรื่องพระตรีเอกภาพ

253พระตรีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว เราไม่ได้ประกาศยืนยันว่าพระเจ้ามีสามองค์ แต่ยืนยันว่าพระเจ้ามีองค์เดียว ในสามพระบุคคล คือ "พระตรีเอกภาพร่วมพระธรรมชาติเดียว" (DS 530:26) พระบุคคลผู้เป็นพระเจ้า มิได้แบ่งปันพระเทวภาพหนึ่งเดียวระหว่างกันแต่ -แต่ละพระบุคคล- เป็นพระเจ้าครบบริบูรณ์ "พระบิดาทรงเป็นเช่นที่พระบุตรทรงเป็น พระบุตรเองทรงเป็นเช่นที่พระบิดาทรงเป็น พระบิดาและพระบุตรเองทรงเป็นเช่นที่พระจิตทรงเป็น กล่าวคือ เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวโดยธรรมชาติ" (อฟ.1:4-5,9; รม.8:15,29) สังคายนาลาเตรัน ที่ 4 (1215)    กล่าวว่า "แต่ละพระบุคคลในสามพระบุคคลนั้น คือความเป็นจริงอันนี้ คือมีพระสภาวะแก่นแท้ หรือพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า"

254พระบุคคลพระเจ้านั้น แตกต่างจากกันอย่างแท้จริง "พระเจ้ามีหนึ่งเดียว แต่มิได้โดดเดี่ยว" (DS 71) "พระบิดา" "พระบุตร" "พระจิต" มิได้เป็นเพียงชื่อที่บ่งบอกลักษณะรูปแบบเฉพาะแห่งการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น เพราะทั้งสามพระองค์แตกต่างจากกันอย่างแท้จริง "องค์ที่เป็นพระบุตรไม่ใช่พระบิดา และองค์ที่เป็นพระบิดาก็ไม่ใช่พระบุตรและพระจิตก็ไม่ใช่องค์ที่เป็นพระบิดาหรือพระบุตร" (DS 530:25) ทั้งสามพระองค์แตกต่างระหว่างกันจากความสัมพันธ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม "พระบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด พระบุตรเป็นผู้ที่ได้รับการให้กำเนิด พระจิตเป็นผู้สืบเนื่องมา" (สังคายนาลาเตรัน ที่ 4 DS 804) เอกภาพแห่งพระเจ้าเป็นตรีคูณ

255พระบุคคลพระเจ้ามีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน เนื่องจากความแตกต่างอย่างแท้จริงระหว่างพระบุคคลทั้งสาม ไม่เป็นการแบ่งแยกเอกภาพของพระเจ้า ความแตกต่างดังกล่าวนั้นจึงอยู่ที่ความสัมพันธ์ซึ่งทำให้แต่ละพระบุคคลต่างอ้างอิงซึ่งกันและกันแต่อย่างเดียว "ในพระนามที่สัมพันธ์กันระหว่างพระบุคคล พระบิดาก็อ้างอิงถึงพระบุตร พระบุตรก็อ้างอิงถึงพระบิดา พระจิตก็อ้างอิงถึงพระบิดาและพระบุตรทั้งสองพระองค์ เมื่อเราพูดถึงทั้งสามพระบุคคล โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถึงอย่างไร เราก็ยังเชื่อในพระธรรมชาติเดียว หรือพระสภาวะเดียว" (DS 528) จริงแท้ "ทุกสิ่งเป็นหนึ่ง (ในทั้งสามพระองค์) ณ จุดที่เราไม่พบข้อขัดแย้งในเรื่องความสัมพันธ์" (DS 1331) "เพราะเอกภาพนี้เอง พระบิดาจึงสถิตอย่างครบถ้วนอยู่ในพระบุตร และครบถ้วนอยู่ในพระจิต พระบุตรสถิตอยู่อย่างครบถ้วนในพระบิดา และครบถ้วนในพระจิต พระจิตสถิตอยู่อย่างครบถ้วนในพระบิดา ครบถ้วนอยู่ในพระบุตร" (DS 1331)

256นักบุญเกรโกรีแห่งนาเซียน ผู้ที่เราขนานนามว่า "นักเทววิทยา" ด้วย ได้มอบหมายบทสรุปเรื่องความเชื่อในพระตรีเอกภาพไว้แก่ผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปที่คอนสแตนติโนเปิล

ก่อนอื่นใดทั้งสิ้น พวกท่านจงรักษาสิ่งดีที่ข้าพเจ้ามอบหมายไว้นี้ให้จงดี เพราะข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่และต่อสู้มาก็เพื่อสิ่งนี้ ปรารถนาจะตายพร้อมกับสิ่งนี้ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ายอมรับทนต่อสิ่งร้ายทุกชนิด และดูถูกความสำเริงสำราญทุกประเภท ข้าพเจ้าหมายถึงการยืนยันความเชื่อในพระบิดาและพระบุตรและพระจิต ข้าพเจ้าขอมอบไว้แก่ท่านในวันนี้ อาศัยการยืนยันความเชื่อดังกล่าวนี้แหละ ที่อีกสักครู่ข้าพเจ้าจะจุ่มตัวท่านลงไปในน้ำ และยกท่านขึ้นมาจากน้ำนั้น ข้าพเจ้ายกการยืนยันความเชื่อนี้ให้ท่านเพื่อให้ไปเป็นเพื่อน และองค์อุปถัมภ์ตลอดชีวิตของท่าน ข้าพเจ้าขอมอบพระเทวภาพ และพระอานุภาพหนึ่งเดียวให้แก่ท่าน เป็นพระเทวภาพที่ดำรงอยู่หนึ่งเดียวในสามพระบุคคล และมีพระบุคคลทั้งสามพระองค์อยู่ในลักษณะต่างกันอย่างชัดแจ้ง เป็นพระเทวภาพที่ปราศจากความไม่เสมอกันในพระสภาวะหรือพระธรรมชาติ ปราศจากระดับบนที่เชิดชูให้สูงขึ้นไป หรือระดับล่างที่กดให้ต่ำลง เป็นการมีพระธรรมชาติร่วมกันอย่างไม่มีสิ้นสุดของสามองค์ "อนันตา" เป็นพระเจ้าครบถ้วนโดยที่แต่ละพระบุคคลมีลักษณะเฉพาะของพระองค์เอง... พระเจ้าทั้งสามพระบุคคลที่เรามองรวมกัน... ข้าพเจ้าเริ่มนึกถึงพระเอกภาพยังไม่ทันไร พระตรีเอกภาพก็อาบตัวข้าพเจ้าไว้ในประกายอันรุ่งโรจน์ ข้าพเจ้าเริ่มนึกถึงพระตรีเอกภาพ ยังไม่ทันไร พระเอกภาพก็กลับมาครอบงำข้าพเจ้า... (น.เกรโกรีแห่งนาเซียน PG 36,417)