หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

การเจริญชีวิตแบบคริสตชน : ความประพฤติของคริสตชน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

33.สำหรับคริสตชน “เชื่อ” หมายความว่าเจริญชีวิตตามแนวความเชื่อถึงพระเป็นเ จ้า ความประพฤติของคริสตชนกำหนดตามพันธะที่ผูกมัดเขาไว้กับสังคม และโดยพันธะที่เขามีต่อพระเยซูคริสตเจ้า เขารู้ว่าพระเยซูเจ้าได้มาร่วมสนิทกับมนุษย์แต่ละคน และสิ่งที่เขาทำต่อคนที่ต่ำต้อยที่สุด ก็ถือว่าเขาได้ทำร่วมกับพระเยซูคริสตเจ้าเ อง ความรักต่อผู้อื่นนั้นเป็นการแสดงว่าคริสตชนรักพระเป็นเจ้าด้วย ตามที่นักบุญยอห์นกล่าวว่า “ผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนซึ่งมองเห็นได้ จะรักพระเป็นเจ้าซึ่งมองไม่เห็นได้อย่างไร” (1ยน.4.20) เพราะความรักนี้แหละ เขาย่อมให้อภัยความผิดแก่ผู้อื่น และถึงกับทำดีต่อศัตรูของตนเอง ตามที่พระเยซูเจ้าสอนในพระวรสารว่า “ถ้าท่านยกความผิดให้แก่มนุษย์ พระบิดาขอ งท่านในสวรรค์ก็จะยกความผิดให้แก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดให้แก่มนุษย์ พระบิดาก็จะไม่อภัยความผิดให้แก่ท่านด้วย

34.คริสตชนถือต่อตนเองโดยเหมาะสมแก่สภาพความเป็นจริง คือเป็นคนถ่อมตนและมีสติ ที่ ว่าเป็นคนถ่อมตนนั้น ก็เพราะสำนึกว่าตนมีความสามารถน้อยและอ่อนแอ และรู้ว่าความหยิ่งทะนงเป็นแต่การหลอกลวงตน ด้วยว่าพระเป็นเจ้าประทานทุกสิ่งให้เปล่า คริสตชนพึ่งพระเป็นเจ้าตลอดเวลา เพราะขัดสนและอ่อ นแอ เพื่อขอพระองค์ประทานพละกำลังและอภัยความผิด และที่ว่าเป็นคนมีสติ ซึ่งหมายความว่าเป็นนายบังคับกาย ความรู้สึกและความลำเอียงไปข้างความสนุกสบายนั้น ก็เพราะรู้ว่ามีความไม่เป็นระเบียบแอบแฝงอยู่ในตน และมักถูกประจญให้หันเหไปทาง ความสนุกต่างๆทางโลก

เพราะเหตุนี้ คริสตชนจึงเป็นคน (ตื่น) เฝ้าระวังระไว เพื่อเป็นคนดีพร้อมเท่าที่จะเป็นได้ตามพระฉบับแบบของพระคริสตเจ้า รบสู้ กับความโลภและความอิจฉาแม้จะเป็นแต่ความรู้สึกภายใน ถือการอดเนื้อและการอดอาหาร พยายามเป็นคนใจกว้าง เพื่อพร้อมยิ่งขึ้นที่จะปฏิบัติตามการดลใจของพระจิตให้ถือชีวิตภาวนาและความรัก

35.ในฐานะเป็นเอกชน คริสตชนเป็นคนถือความสุจริตแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆเป็นคนถือกฎศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวอย่างเคร่งครัด ยกย่องญาติพี่น้อง เคารพคู่ครองถือเท่าเสมอตน และอบรมลูกให้เป็นคนที่มีเสรีภาพ ในฐานะเป็นพลเมือง คริสตชนถือหน้าที่ต่ อสังคม “โดยส่งให้แก่ซีซาร์สิ่งซึ่งเป็นของซีซาร์” ตามที่พระคริสตเจ้าสอนหลีกเลี่ยงการใช้กำลังบังคับและพยายามอยู่อย่างสามัคคีปรองดองกับทุกๆคน เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพที่จะทำตามมโนธรรมของตน

36.คริสตชนไม่ชอบอยู่เปล่า นักบุญเปาโลกล่าวว่า “คนที่ไม่ทำงาน ไม่ควรกิน” (2ธส.3.10) คริสตชนถือว่าการทำงานเป็นการที่มนุษย์ร่วมมือกับพระเป็นเจ้า เป็นวิธีทำให้ตนครบสมบูรณ์และเป็นประโยชน์แก่ประชาคมมนุษย์ เวลาทำงานก็เท่ากับมนุษย์ ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าในการเนรมิตสร้าง ความสามารถและความสุจริตในวิชาชีพเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทำให้เขาเป็นคนดีพร้อม

37.คริสตชนไม่ใช่คนอยู่โดดเดี่ยวในหมู่มนุษย์
แต่เป็นดังกิ่งไม้กิ่งหนึ่งหรืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย จึงถือตนเป็นส่วนหนึ่งในพระศาสนจักร ซึ่งเป็นประชาคมมีชีวิตของคริสตชนแล้วร่วมเข้าในชีวิตพระศาสนจักรอย่างเปิดเผย มีส่วนร่วมในวันฉลอง ซึ่ งเป็นเวลาแสดงความชื่นชมยินดี หรือการใช้โทษบาปเพื่อประกาศความเชื่อ และแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพี่น้องร่วมศา สนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีส่วนในพิธีบูชามิสซา เพราะเขามีหน้าที่ต้องร่วมซึ่งในพิธีนั้น เขามีส่วนร่วมในการถวายบูชาของพระคริสตเจ้า ร่วมกับประชาคมทั้งหมดและมีความสามัคคีปรองดองกับทุกคน

38.การให้อภัยและอยู่เป็นปรกติสุขนั้น ไม่หมายความว่าอยู่นิ่งเฉย ตรงกันข้ามคริสตชนรู้ว่าตนมีหน้าที่ต้องส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม สันติภาพและเสรีภาพ เพราะมนุษยชาติต้องดียิ่งขึ้นและพัฒนาจนถึงที่สุด ซึ่งมีแต่พระเป็นเจ้าเ ท่านั้นที่ทรงทราบในสังคมที่มืดมัวไปเพราะความอยุติธรรมและความหน้าซื่อใจคดนั้น คริสตชนย่อมต่อต้านการแสวงหาผลประโยชน์ การเบียดเบียนข่มเหงและอคติทุกแบบ ลงมือทำการส่งเสริมผู้อื่นด้วยตนเอง การทำงานเพื่อส่งเสริมมนุษยชาตินั้น

คริสตชนถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่มีผลในตัวของมันเองและเขาทำงานนั้น โดยร่วมมือกับบุคคลอื่นๆอีกเป็นอันมากที่มีความเชื่อถือไม่เหมือนกัน แต่คริสตชนจะพอใจแต่เพียงได้อุตสาห์ทำให้โลกมีมนุษยธรรมเท่านี้หาได้ไม่ เพราะเขาเป็นส มาชิกของพระศาสนจักรซึ่งมีหน้าที่ต้องประกาศให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่าพระเป็นเจ้ารักเขา และได้ทรงใช้พระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์มาแจ้งให้เขาทราบถึงความรักของพระองค์

39.คริสตชนได้เห็นพระเยซูคริสตเจ้าเป็นแบบฉบับความซื่อตรง และจริงใจในคำพูดและในความประพฤติทั่วไป แต่พระองค์ยังเป็นแบบฉบับความสงบและความยินดีภายในด้วย โดยที่รู้ว่าพระเป็นเจ้าเป็นพระบิดา คริสตชนไม่กระวนกระวายใ จและไม่หวาดกลัว เมื่อประเชิญกับอำนาจแห่งความชั่ว เมื่อทำความดีเขาก็ทำเพราะมีความรักเยี่ยงบุตร และความรักนั้นย่อมขับไล่ความกลัวและทำให้มีแต่ความชื่นชมยินดี คริสตชนเป็นผู้มีอิสระในการใช้สิ่งของทางฝ่ายกายและวิญญาณ ตามที่นักบุญเป าโลสอนว่า “ทุกสิ่งเป็นของท่าน ท่านเป็นของพระคริสตเจ้า และพระคริสตเจ้าเป็นของพระเป็นเจ้า (1 คร.3.22-23)

40.คริสตชนเป็นผู้ที่มีความหวังตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ เพื่อคอยเร่งให้อนาคตซึ่งพระเป็นเจ้าแย้มให้เขาเห็นด้วยกา รไขแสดงเป็นอันสำเร็จไป ชีวิตของคริสตชนคอยขะมักเขม้นรับใช้ให้เป็นไปตามแผนการของความรักซึ่งพระเป็นเจ้ามีต่อมนุษย์ และคำภาวนาของคริสตชนเป็นการสวดขอทุกวันให้ได้ชีวิตที่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาว่า “ขอพระราชัยของพระองค์จงมาถึง”

41.เมื่อเชื่อมั่นดังนี้แล้ว แม้จะประสบความทุกข์เข็ญอย่างแสนสาหัส คริสตชนก็ยังสามารถรักษาใจให้แจ่มใสและสงบเขารู้ว่าพระเป็นเจ้าไม่ปรารถนาให้มีความทุกข์และความเจ็บปวด แต่ที่มีความทุกข์และความเจ็บปวดในหมู่มนุษย์นั้น เพราะเป็นผลของบ าป ฉะนั้นคริสตชนต่อสู้กับความทุกข์ทรมานอย่างเต็มที่และพยายามบรรเทาความทุกข์ทรมานนั้นด้วยวิชาความรู้ทุกวิถีทาง แ ต่เขาก็รู้ด้วยว่าความทุกข์ทรมานจะต้องมีอยู่เสมอในชีวิตของมนุษยชาติที่ได้ทำบาปดังนั้นเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้าที่ได้รักษาบ รรเทาผู้เจ็บป่วย แต่ก็ทรงยอมรับทนทรมานลำบากโดยไม่บ่นว่าและร่วมสนิทกับพระคริสตเจ้า เมื่อมีส่วนในความทุกข์ลำเค็ญของพระองค์ เขาก็จะมีส่วนในการกลับเป็นขึ้นมาของพระองค์ด้วย

42.ดังนี้ เมื่อคิดถึงความตาย คริสตชนย่อมไม่หวาดกลัว ความตายเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับเขาเหมือนสำหรับมนุษย์ทุกคนก็ จริงแต่เพราเขามีความเชื่อ ความตายกลับเป็นเครื่องกระตุ้นให้เขาถือซื่อสัตย์และมีความหวัง เขารู้ว่าเขายืนหยัดอยู่ในความเชื่ อและความรักต่อพระเป็นเจ้าจนวาระสุดท้ายในชีวิตนี้ เขาจะตายโดยร่วมสนิทกับพระคริสตเจ้า ที่จะนำไปเสวยบรมสุขกับพระเป็นเจ้าตลอดไป เมื่อนั้นแหละ เขาจะดำรงอยู่ในความสนิทใกล้ชิดกับ พระบิดา พระบุตร และพระจิต เขามีความหวังดังนี้ทุกครั้งที่ ทำเครื่องหมายกางเขนบนตัวพลางออกพระนามพระตรีเอกภาพ