ความปรีชาสุขุมแบบคริสตชน : ชีวิตนิรันดร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

33.เมื่อเชื่อถึงพระคริสตเจ้าและพระจิต คริสตชนก็ได้รับเกียรติเป็นลูกของพระเป็นเจ้า การมีชีวิตร่วมสนิทกับพระเป็นเจ้าในพระคริสตเจ้านี้ ก็คือชีวิตนิรันดรที่อยู่ในตัวเขาแล้ว เพ
ราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคริสตชน ต้องบำรุงและพัฒนาพระคุณนี้ จนกว่าจะเจริญเต็มที่ คริสตชนผู้ซื่อสัตย์สิ้นชีวิตลงเมื่อใด พระสัญญาของพระคริสตเจ้าก็เป็นอันสำเร็จไปเมื่อนั้น
ตามที่พระองค์ตรัสว่า น้ำพระทัยของพระบิดาคือให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและเชื่อในพระองค์ได้มีชีวิตนิรันดรและเราจะบันดาลให้เขากลับเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ผู้ใดเชื่อ ผู้นั้นมีชี
วิตนิรันดร (ยน.6.40-47) มีแต่ความตายทางฝ่ายร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงสภาพทางฝ่ายร่างกายได้ การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าจะไม่สิ้นสุดลงด้วยความตายเลย ตร
งกันข้ามจะกลับปรากฏให้เห็นสุกใสอย่างเต็มที่ เพราะมนุษย์ผ่านจากสิ่งที่ไม่ถาวรในโลกนี้ไปสู่การมีชีวิตฝ่ายจิตที่ดำรงอยู่นิรันดรในพระเป็นเจ้า
34.คำว่า สวรรค์ หรือ วิมานสวรรค์ หมายถึงการที่คนจากโลกนี้ไปเจริญชีวิ
ตอยู่กับพระเป็นเจ้า มนุษย์ไม่สามารถที่จะมีความคิดได้ถูกต้องว่า การมีชีวิตอยู่กับพระเป็นเจ้าเป็นอย่างไร เพราะนอกจากไม่รู้อย่างชัดแจ้งว่านิรันดรภาพคืออ
ะไรแน่แล้ว ยังรู้แต่เพียงเลือนลาง โดยการสันนิษฐานว่า พระเป็นเจ้าทรงสภาพอย่างไร และรู้แต่ในทางลบอย่างเดียวว่าตนเองจะเป็นอย่างไรเมื่อตายแล้ว เพราะฉะนั้น คริสตชนจึงเชื่อตามที่มีการไขแสดงว่าชีวิตที่อยู่กับพ
ระเป็นเจ้าคือชีวิตที่มีแต่ความสงบสุข ได้เห็นพระเป็นเจ้าอย่างเต็มที่ และได้ร่วมในสหพันธ์นักบุญตาม ที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ว่ แล้วดังนี้เราจะอยู่กับพระเป็นเจ้าเป็นนิจ ฉะนั้นขอให้ท่านปลอบใจกันและกันด้วยถ้อยคำเห
ล่านี้เถิด (1 ธส.4.17-18)
35.ข้อไขแสดงยังกล่าวว่า เมื่อเราตายแล้ว อาจมีอันเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือตกนรก ผู้ที่รู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ยอมรับพ
ระวาจาของพระคริสตเจ้า และไม่ยอมรับความรอดที่พระองค์นำมาโปรด หรือผู้ที่ได้รับพระวาจาของพระองค์แล้ว แต่ยังเจริญชีวิตและประพฤติฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์ หรือขัดต่อมโนธรรมของตนอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะไม่บรรลุถึงความสงบสุข
และจะต้องรับทุกข์ตรอมตรมอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้าตลอดกาล พระคัมภีร์เรียกสภาพเช่นนี้ด้วยคำอันน่าสะพึงกลัวว่า ตายครั้งที่สอง แน่นอนไม่มีมนุษย์คนใดจะตัดสินได้ว่ามีใครได้รับความทุกข์เช่นนี้หรือไม่ พระเป็นเจ้าเท่านั้นทรงทราบว่ามีค
นต้องรับทุกข์เช่นนี้หรือไม่ และเป็นผู้ใดบ้าง
36.ข้อไขแสดงยังพูดแย้มถึงสภาพอีกอย่างหนึ่ง คือ สภาพของคน ที่ไม่ถึงกับถูกแยกขาดจากพระเป็นเจ้าเมื่อ
ตายแล้ว แต่ยังไม่สมควรจะไปอยู่ร่วมสนิทกับพระองค์อย่างสมบูรณ์ สภาพเช่นนี้ เราเรียกว่า ไฟชำระ คือ สภาพที่ต้องชำระตัวให้สะอาด ก่อนที่จะได้มีชีวิตร่วมสนิทอย่างสมบูรณ์กับพระเป็นเจ้าคริสตชนภาวนาอุทิศแก่วิญ
ญาณเหล่านี้เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากความผิด
37.ที่สุด ตามแผนการของพระเป็นเจ้า ประวัติศาสตร์จะต้องสิ้นสุดลง พระเยซูคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาในโลกนี้อีกอย่างทร
งเกียรติรุ่งโรจน์และให้เราเห็นได้ ไม่มีใครทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาวันใดและเวลาใด เรื่องนี้เป็นความลับเกี่ยวกับเวลาในอนาคต ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถล่วงรู้ได้ แต่คริสตชนก็เชื่อมั่น และความลับนั้นกระตุ้นให้พระศาสนจักรคอยเฝ้าระวังอ
ยู่ตลอดเวลา คริสตชนต้องมีใจเร่าร้อน และพร้อมที่จะต้อนรับพระคริสตเจ้าอยู่ทุกวันเวลา
38.เวลานั้นแหละ มนุษย์จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของตนในพระเป็นเจ้า และจะบรรลุถึงเกียรติมงคลที่ตนได้ถูกสร้างม
าให้รับนั้นภาษาของมนุษย์ไม่สามารถที่จะบรรยายเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติมนุษย์ได้ แต่พระคัมภีร์ก็ได้อธิบาย โดยใช้ภาพพจน์และสัญลักษณ์หลายอย่าง เช่นอธิบายว่า มนุษย์ทุกคนจะกลับเป็นขึ้นมา และผู้ชอบธรรมจะอยู่ในสภาพรุ่งโรจน์เหมือนอย่า
งพระ
คริสตเจ้าผู้ทรงคืนพระชนม์ชีพ โดยจะมีร่างกายสุกใสเปล่งปลั่ง ไม่มีสิ่งขาดตกบกพร่องใดๆของชีวิตในโลกนี้ ทั้งจะแสดงบุคลิกลักษณะของแต่ละคนออกมาอย่างงามพร้อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับผู้ชอบธรรม ความชื่นชมยินดีและเกียรติมงคลจะ
มีมากน้อยตามส่วนที่เขาได้รับพระคุณของพระเจ้า และตามส่วนที่เขาได้สนองตอบพระคุณเหล่านั้น
เมื่อโลกซึ่งมีมลทินบาปและความตายดับสูญไปแล้ว จะมีฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ (วว.21.1) ความรุ่งโรจน์ของพระเป็นเ
จ้าจะส่องสว่างนครของพระองค์ (วว.21.23) และพระเป็นเจ้าจะเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน (1 คร.15.28)
|