หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

ความปรีชาสุขุมแบบคริสตชน : ความปรีชาสุขุมของคริสตชน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

1.มนุษย์มักจะตั้งปัญหาถามตัวเอง เพราะมนุษย์เป็น นักค้นหาที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจะดำ รงชีวิตอยู่ มนุษย์ต้องการรู้ว่าต้องทำอย่างไรและทำไมต้องทำอย่างนั้น ดังนั้น แม้เมื่อมีความรู้ทางวิชาการ พอแก่ความต้องการทางวัตถุของชีวิตแล้ว มนุษย์ยังคิดจะขบปัญหาเรื่องชีวิตของตน ต่อไป หมายความว่ามนุษย์นั้นหมกมุ่นจมอยู่ในโลกอันมีขอบเขต แต่มีความใฝ่ฝันไปถึงสิ่งอันไม่มีขอบเขต

มนุษย์มักถามตัวเองว่า ชีวิตมีจุดหมายอะไรและมีความหมายอะไร ทำไมจึงมีความดีกับความ ชั่ว ความทุกข์กับความตายมาจากไหน และมีความหมายประการใด มีทางที่จะบรรลุถึงความสุขแท้หรือไม่มีใครตอบปัญหาที่ทรมานจิตใจเหล่านี้ได้ มีแต่ความเงียบงันและความไม่ยินดียินร้ ายของจักรวาลกระนั้นหรือ ตั้งแต่เกิดมาและในส่วนลึกของตนเอง มนุษย์ทั่วทั้งโลกพยายามจะรู้ว่า ทำไมตนจึงเกิดมา

2.พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลก ได้ตรัสอย่างมีอำนาจว่า “เราคือหนทาง ความจริง และชีวิต ผู้ที่เดินตามเราย่อมไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.14.6) อัครธรรมทูตเปาโลอธิบายว่า “พระคริสตเจ้าทรงเป็นความปรีชาสุขุมความศักดิ์สิทธิ์ และความรอดของเรา” (1 คร.1.30) ถ้าเช่นนั้นความปรีชาสุขุมของคริส ตังก็คือองค์พระคริสตเจ้า พระองค์ทรงเป็นสะพานที่ทอดให้มนุษย์ ร่วมชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า เป็นพระวาจาอันทรงชีวิต ซึ่งอาศัยพ ระวาจานั้น มนุษย์จึงรู้จักพระเป็นเจ้าพระบิดาของตน และสามารถติดต่อกับพระองค์เยี่ยงบุตร ธรรมล้ำลึกต่างๆ ซึ่งครอบคลุมชิวิตของมนุษย์ ย่อมสุกใสประจักษ์แจ้งด้วยความสว่างของพระคริสตเจ้า

เอกสารที่แสดงความปรีชาสุขุมของคริสตชน

3.ความปรีชาสุขุมของคริสตชนไม่ได้เกิดจากการค้นคว้าของมนุษย์ หรือจากการคิดหาเหตุผลของนักปรัชญาเมธี แต่เป็นผลที่เกิด จากการไขแสดงของพระเป็นเจ้า อัครธรรมทูตเปาโลเขียนว่า “หลายต่อหลายวาระมาแล้วในอดีตและหลายต่อหลายวิธีด้วยกัน พระเป็นเจ้าได้ตรัสแก่บรรบุรุษของเราโดยทางประกาศกครั้นมาถึงสมัยของเราอันเป็นวาระสุดท้าย พระองค์ตรัสทางพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์” (ฮบ.1.1-2)

ข้อไขแสดงที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์ ก่อนพระคริสตเจ้าประสูติมานั้น มีบันทึกอยู่ในหนังสือ 46 เล่มของพระคัมภีร์เดิม (พัน ธสัญญาเดิม) ส่วนข้อไขแสดงที่พระคริสตเจ้านำมาเผยนั้น บรรจุอยู่ในหนังสือ 27 เล่มของพระคัมภีร์ใหม่ (พันธสัญญาใหม่)

คริสตชนถือว่า หนังสือรวมกันทั้งหมดนี่เป็นพระธรรมลิขิตหรือพระคัมภีร์ที่พึงเคารพและศึกษาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย หนังสือพร ะคัมภีร์ที่เขียนเหล่านี้แต่งโดยผู้ประพันธ์ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือพิเศษที่เรียกว่า “การดลใจ” ของพระเป็นเจ้า เพราะเรื่องที่เขากล่า วถึงนั้นมีความสำคัญยิ่ง การรักษาข้อไขแสดงของพระเป็นเจ้าไว้ให้ถูกต้องเที่ยงแท้ กับการอธิบายตีความข้อเขียนที่บรรจุข้อไขแส ดงนั้น เป็นภาระหน้าที่ของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระเยซูเจ้าได้ตั้งไว้ สำหรับเป็น “พระนิเวศของพระเป็นเจ้าและเป็นหลักค้ำจุนควา มจริง” (1 ทธ.3.15) การที่พระศาสนจักรถ่ายทอดและสอนข้อไขแสดงแก่มนุษย์อย่างมีอำนาจนี้แหละ ที่เราเรียกว่า ธรรมประเพณีของคริสตชน (Tradition)

4.การไขแสดงของพระเป็นเจ้านั้น ถ้ากล่าวโดยหลักสำคัญก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวถึงพฤติการณ์และคำสอนที่กล่าวถึงการปฏิบัติของพร ะเป็นเจ้าต่อมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ไม่สามารถจะเข้าใจพฤติการณ์และคำสอนเหล่านั้นโดยลำพังตนเองได้เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชีวิตที่เกินสติปัญญา มนุษย์จึงสามารถเห็นแต่สิ่งที่จะใช้เป็นแนวทางเจริญชีวิตและคิดได้เพียงรางๆเท่านั้น โดยนัยนี้ความจริงแห่ง พระคริสตศาสนาหลายข้อจึงเป็น “ธรรมล้ำลึก” หมายความว่าเป็นข้อความจริงศักดิ์สิทธิ์และเร้นลับ ซึ่งเราสามารถรู้ได้อย่างคลุมเครือและอาศัยการไขแสดง ด้วยความเชื่อที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์

พระคัมภีร์ทั้งหมดซึ่งได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า
จึงเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอนตักเตือน แก้ความหลงผิดและอบรมให้บรรลุถึงความชอบธรรม เพื่อให้คนของพระเป็นเจ้าเป็นผู้ครบครัน พร้อมที่ประกอบกิจการอันดีงามทุกอย่าง
(2 ทธ.3.16-17)