หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

ประวัติคริสตศาสนา:
ประวัติแห่งความรอดก่อนพระเยซูคริสตเจ้าจะเสด็จมา

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

18.พวกอัครสาวกได้ป่าวประกาศว่า พระเยซูคริสตเจ้าเป็นพระผู้กอบกู้มนุษยชาติ ที่มนุษย์ร อคอยมาช้านาน เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว ชนชาติอิสราเอลก็ได้สมความปรารถนาตามที่เขาเตรียมตัวรอคอยมาอย่างอดทน พวกอัครสาวกประกาศเช่นนี้ด้วยความมั่นใจ เพราะทราบ จากพระคัมภีร์ซึ่งพระเยซูเจ้าอธิบายให้เขาฟังและภายหลังศาสนิกชนหมู่แรกก็เช่นเดียวกัน เมื่อมาถือความเชื่อ เขารู้สึกงงงวยต่อเหตุการณ์ประการหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าเกิดขึ้นในประวัติศาส ตร์ของมนุษย์ก็เหลือวิสัยที่มนุษย์จะเข้าใจแจ่มแจ้งได้ พวกยิวที่กลับใจ ยอมรับว่า เรื่องต่างๆที่พระเป็นเจ้าทรงสัญญากับบรรพบุรุษของเขา ได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ส่วนพวกที่มิใช่ยิวเขาได้รับความเมตตาปรานีจากพระเป็นเจ้าอย่างล้นเหลือ และความเมตตาปรานีนั้น บัดนี้ได้แสดงให้ประจักษ์อย่างเต็มที่ งานของพระคริสตเจ้ากับองค์พระคริสตเจ้ า ซึ่งเป็นหัวใจของแผนการที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดนั้น ปรากฏว่าได้ครอบคลุม และทำให้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดมีความหมายตั้งแต่ต้นจนอวสานของโลก

19.พระเป็นเจ้า พระผู้เนรมิตสร้างจักรวาลและมนุษย์ ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลสิ่งสร้างของพร ะองค์ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกชนหรือชาติใดคอยชักจูงเขาด้วยความรักใคร่เยี่ยงบิดาให้ไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน

แม้ว่าการขัดสู้พระเป็นเจ้าและบาปต่างๆซึ่งมีผลทำให้เกิดความทุกข์ทรมานและความตาย ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษ ย์ตั้งแต่ปฐมกาลมาก็ตาม(4) พระเป็นเจ้าก็ยังมิได้ทรงเลิกรักมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมา และยังทำให้มนุษย์สำนึกรู้จักด้วย งานของพระองค์ “ประทานชีวิต ลมหายใจและของทุกสิ่งแก่ทุกคน” (กจ.17.25) พระคัมภีร์ตอนหนึ่งบรรยายถึงความรักอันไม่รู้ จักเหนื่อยหน่ายของพระเป็นเจ้าต่อมนุษยชาติ อย่างเร้ารึงตรึงใจที่สุดว่า “แผ่นดินทั้งแผ่นดินเปี่ยมเต็มไปด้วยความรักของพระอ งค์” (สดด.33.5) และอีกตอนหนึ่งว่า “ท่านจงสืบพันธุ์และแพร่ขยายออกไป จงไปอยู่ให้เต็มโลกและปราบมันให้อยู่ในอำนาจ…ท่านได้รับฝากทุกสิ่งในโลก” (ปฐก.1.28)

ในพันธสัญญาเดิม ผู้ปรีชาคนหนึ่งภาวนาเป็นความว่าโลกทั้งโลกวางอยู่ต่อหน้าพระองค์ ไม่หนักไปกว่าเม็ดหนึ่งที่อยู่ในเครื่องชั่ง หรือน้ำค้างหยดหนึ่งบนพื้นดินเวลาเช้า แต่พระองค์ทรงพระเมตตาต่อมนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกสิ่ง และพระองค์ทรงปิดพระเนตรไม่มองบาปของมนุษย์เพื่อเขาจะได้สำนึกผิดด้วยว่าพระองค์ทรงรักสิ่งที่มีตัวตนทุกอย่าง และไม่ทิ้งขว้า งสิ่งใดที่พระองค์ได้สร้างมา จริงทีเดียวถ้าพระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งใด ก็คงมิได้สร้างมา สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร ถ้าพร ะองค์ไม่ประสงค์ให้มันอยู่แต่เมื่อพระองค์ทรงเอาพระทัยดูแลทุกสิ่ง เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงรักชีวิตทั่วไป ลมปราณอันไม่รู้จักเสื่อมเสียของพระองค์จึงแทรกซึมเข้าไปในสิ่งเหล่านั้น (เทียบ ปชญ.11:17-26)

พระญาณสอดส่องของพระเป็นเจ้าสำแดงฤทธิ์ให้ปรากฏ เมื่อเริ่มกำเนิดของทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม และทุกประเพณีนิยมทางศา สนา เพราะพระเป็นเจ้าทรงสำแดงองค์ให้มนุษย์รู้จักโดยอาศัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยในธรรมชาติ และอาศัยมโนธรรมสะกิดใจเขา “เพื่อให้เขาสามารถแสวงหาพระองค์และพยายามที่จะพบพระองค์เหมือนกับคลำเอาก็ว่าได้” (กจ.17.27) เมื่อปฏิบัติภ ารกิจในโลกพวกอัครสาวกก็เหมือนกับเข้าไปในสถานที่ปฏิบัติงานของพระเป็นเจ้าเอง และสถานที่ปฏิบัติงานนี้พวกอัครสาวกพบเห็นเครื่องหมายนับไม่ถ้วน แสดงว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่แม้ว่ามนุษย์ที่ตกเป็นทาสของบาปและแสดงความเห็นแก่ตัวและประพ ฤติผิดนอกลู่นอกทางก็ตาม เพราะเหตุนี้แหละนักบุญเปาโลจึงเรียกยุคในประวัติแห่งความรอดก่อนพระคริสตเจ้าเสด็จมาว่าเป็น “ยุคที่พระเป็นเจ้าทรงเพียรอดทน”

20.แต่มนุษย์ทุกคนไม่ได้เจริญชีวิตอยู่ในสภาพเดียว กันทั้งหมด ก่อนพระคริสตเจ้าเสด็จมา พวกอัครสาวกรู้ข้อนี้ดี ในอดีตพระเ ป็นเจ้าได้ทรงปฏิบัติการพิเศษบางอย่างต่อมนุุุุษย์ พระองค์ได้ทรงเลือกเอาชนหมู่หนึ่ง เพื่อปฏิบัติให้สำเร็จไปตามแผนการของพ ระองค์ คือ ประมาณ 2000 ปี ก่อนพระคริสตเจ้าจะเสด็จมา พระเป็นเจ้าได้ทรงเลือก อับบราฮัม ซึ่งเป็นคนเชื้อสายเซมิติกผู้ชอบธรรมและสุจริต ให้เป็นผู้ตั้งประชากรของพระองค์ พระเป็นเจ้าทรงทำพระสัมพันธไมตรีกับท่านและครอบครัวของท่าน พระอง ค์ได้ขออับบราฮัมให้สมัครใจรับข้อผูกมัดทางใจข้อหนึ่ง กับให้เคารพเชื่อฟังพระองค์และเพื่อเป็นการตอบแทน พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพรแก่ท่านซึ่งพรนั้นจะสืบต่อไปถึงลูกหลานทั้งหมด และอาศัยลูกหลานเหล่านั้นจะสืบต่อไปจนถึงชาติทุกชาติในโล กด้วย

อาศัยสัมพันธภาพพิเศษซึ่งพระองค์ได้ตั้งขึ้นกับอับราฮัมนี้พระเป็นเจ้าได้ทรงพระดำริสอดแทรกเข้ามาในประวัติศาสตร์ของชาติ มนุษย์ เพื่อปฏิบัติให้สำเร็จไปตามแผนการของพระองค์ที่จะช่วยชนทุกชาติให้รอด ตามที่พระองค์ตรัสแก่อับราฮัมว่าอาศัยบุตรหลานของท่าน ชนทุกชาติจะได้รับพระพร” (เทียบ ปฐก.12.3)

21.หลายศตวรรษต่อมา โมเสสได้ทำให้ลูกหลานของอับราฮัมสำนึกถึงความเป็นชาติ ซึ่งความเป็นชาตินั้นตั้งขึ้นได้ก็เพราะพระเป็นเจ้าแสดงความโปรดปรานต่างๆต่อเขา และได้ทรงทำพระสัมพันธไมตรีกับเชื้อสายของอับราฮัมทั้งหมด ทำให้เขาเป็น “ประ ชาชาติศักดิ์สิทธิ์ประชาชาติสงฆ์” (อพย.19.6) เพื่อประกาศพระนามของพระเป็นเจ้าต่อหน้านานาชาติ การเชื่อมพระสัมพันธไมตรีใหม่นี้เกิดขึ้นด้วยการถือพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งพระเป็นเจ้าได้มอบฝากแก่โมเสส โดยถือเป็นการแสดงน้ำพระทัยของพ ระองค์

บัญญัติสิบประการนั้นคือ “1.อย่ามีพระอื่นนอกจากเรา 2.อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ 3.อย่าลืมถือวันสับบาโตให้เป็ นวันศักดิ์สิทธิ์ 4.จงนับถือบิดามารดา 5. อย่าฆ่า 6.อย่าล่วงประเวณี 7.อย่าลักขโมย 8.อย่ากล่าวเท็จต่อเพื่อนมนุษย์ 9.อย่านึกปรารถนาในภรรยาของผู้อื่น 10.อย่ามักได้ทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่น” (เทียบ อพย 5:1-21)

22. เหตุผลและจุดหมายของการที่พระเป็นเจ้า ทรงสอดแทรกเป็นพิเศษเช่นนี้ ก็คือ พระองค์ใคร่จะตั้งชนชาติหนึ่งซึ่งจะประกาศพระองค์ในโลก เพื่อทำพระสัมพันธไมตรีในที่ทั่วไปกับเพื่อเปิดเผยไขแสดงอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึง กำหนดเวลาโดยใช้พระเมสสิยาห์เสด็จมา (คำ”เมสสิยาห์" เป็นศัพท์ฮีบูรแปลว่าผู้ได้รับการเจิม ผู้ได้รับการอภิเษก”)

ลักษณะพิเศษของพระสัมพันธไมตรีใหม่ ก็คือเรื่องพระเป็นเจ้าสถิตใกล้ชิดในหมู่มนุษย์กับเรื่องความเข้าใจและความรักต่อพระเป็นเจ้าแพร่ขยายไปทั่วโลก ในหนังสือของประภาษกเยเรมีย์ มีข้อความสำคัญยิ่งตอนหนึ่งทำนายไว้ว่า “วันหนึ่งข้างหน้า พระเ จ้าตรัส เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาชนชาวอิสราเอล…เราจะใส่บัญญัติของเราไว้ในเขา เราจะเขียนบัญญัตินั้นไว้ในหัวใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา…เขาจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนเล็กที่สุด จนถึงคนใหญ่ที่สุด” (ยร ม.31.31-34) ในหนังสือประภาษกเอเสเคียล มีความเพิ่มเป็น ทำนองคล้ายคลึงว่า “เราจะเอาจิตใจของเราใส่ลงไปในตัวพวกท่าน และทำให้ท่านถือบัญญัติของเรา” (อสค.11.19-20)

23.พระสัมพันธไมตรีใหม่นี้แหละ ที่พระเป็นเจ้าได้สถาปนาขึ้นในพระเยซูคริสตเจ้า อัครธรรมทูตเปาโลได้กล่าวส รุปเหตุการณ์ยิ่งใหญ่สำคัญนี้ว่า “เมื่อถึงเวลากำหนดพระเป็นเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากสตรีผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้บัญญัติ (บัญญัติของโมเสส) เพื่อช่วยให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม” (กท.4.4-5) ดังนี้พระสัมพัน ธไมตรีของพระเป็นเจ้ากับประชากรชาวยิวได้เจริญงอกงามอย่างเต็มที่ในพระสัมพันธไมตรีใหม่ ซึ่งมุ่งขยายไปทั่วทุกแห่ง พระเยซูคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระ-มนุษย์ คนกลางแห่งความรอดและพระผู้ไถ่มนุษย์ทุกคนเป็นจุดศูนย์กลางแห่งพระสัมพันธไมตรีใหม่ นี้ อาศัยพระองค์พระเป็นเจ้าสถิตอยู่ในหมู่มนุษย์ ประทานพระวจนะและความสว่างซึ่งสามารถจะเปลี่ยนแปลงมนุษย์ไปถึงพระองค์