หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

ประวัติคริสตศาสนา : พระเยซูคริสตเจ้า
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ


1.คริสตศาสนามีกำเนิดขึ้น โดยพระเยซูคริสตเจ้าเป็นผู้ตั้งพระองค์ทรงเป็นชนชาติยิว เรารู้ว่าพระองค์ทรงประสูติ ดำรงพระชนม์ชีพ และสิ้นพระชนม์ในประเทศปาเลสไตน์โบราณ อันเป็นที่ที่ 3 ทวีป และวัฒนธรรม 3 แบบมาบรรจบพบกัน คือ ทวีปเอเชีย ท วีปแอฟริกา และทวีปยุโรปคริสตศักราชซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันเกือบทั่วโลกนั้น เริ่มนับตั้งแต่ปีที่คำนวณว่าเป็นปีสมภพของพระเยซูคริสตเจ้า

2.พระเยซูเจ้าประสูติ ณ เมืองเบธเลเฮม ทรงถือกำเนิดจากชนชาติอิสราเอล พระนางมารีอา พระมารดาของพระองค์เป็นหญิงพรหมจารี ได้ปฏิสนธิ์อย่างมหัศจรรย์ ด้วยพระฤทธานุภาพของพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เวลาในพระชนม์ชีพเกือบทั้งหมดอย่างเงีย บๆและทรงทำงานแบบสามัญชนธรรมดาในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ชื่อ นาซาเร็ธ


3.เมื่อทรงพระชนม์ได้ 30 พรรษา พระองค์ทรงเริ่มออกประกาศเทศนาแก่คนชาติเดียวกันในที่สาธารณะ เช่น ตรัสว่า “พระเป็นเจ้าทรงเร่งรัดท่านทั้งหลายให้กลับใจ ให้เชื่อถึงพระองค์ และเข้าในพระราชัยของพระองค์” (มธ.4.17)

การประกาศเทศนาของพระองค์เป็นการรบเร้าเชิญชวนให้มนุษย์รื้อฟื้นเปลี่ยนจิตใจ และยังเป็นการสัญญาจะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้ นจากทุกข์มาพบความสุขด้วย การที่พระเป็นเจ้าใช้พระเยซูเจ้ามานั้นเท่ากับเป็นการสำแดงองค์ให้มนุษย์รู้จัก และเรียกมนุษย์ให้มาร่วมชิดสนิทกับพระองค์ เพื่อจะได้ความสุขครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ปรารถนา

4.พระเยซูทรงประกาศว่า ผู้ต่ำต้อยน้อยศักดิ์ ผู้มีใจบริสุทธิ์และน้ำใสใจจริง ผู้มีใจเมตตาเที่ยงธรรมและรักสันติ เป็นผู้มีบุญ พระองค์ทรงเรียกร้องให้มนุษย์ละทิ้งความบาปทุกชนิด แม้จะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง ตามที่พระองค์ตรัสว่า “จะเป็นประโยชน์อันใดแก่มนุษย์ แม้จะได้โลกทั้งโลกเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ต้องเสียวิญญาณของตน” (มธ.16.26) พระองค์ทรงเรียกร้องใ ห้ศิษย์ของพระองค์อภัยความผิดกัน เหมือนดังที่พระเป็นเจ้าทรงอภัยบาปให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้ ก็เท่ากับพระองค์ทรงนำความหวังมาให้ทุกคน ทำให้สามารถมองพระเป็นเจ้าได้ด้วยความไว้ใจ

5.พระองค์ได้ทรงสู้ทนความทุกข์และความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทรงสอนให้ถือการทำงานและชีวิตในครอบครัวเป็นสิ่งมีเกียรติควรยกย่อง ทรงประกาศว่าชายและหญิงเท่าเสมอกัน พระองค์รักเด็กๆเป็นพิเศษ ทรงรักมิตรสหายและซื่อตรงต่อปร ะเทศชาติ ก่อนจะสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงสรุปคำสั่งสอนของพระองค์ โดยตรัสแก่สานุศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันเหมือนดังที่เรารักท่านทั้งหลายเถิด มนุษย์ทั่วไปจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ก็เมื่อเห็นว่าท่านรักกันและกัน” (ย น.13.34-35)

6.เพราะทรงเวทนาผู้ที่ได้รับทุกข์ทรมาน และเพราะทรงปรารถนาจะแสดงว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่ในพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำสิ่ งมหัศจรรย์เป็นอันมาก เช่น รักษาคนตาบอด คนพิการ และคนง่อยและยังทำให้คนตายกลับเป็นขึ้นมา เมื่อทรงกระทำดังนี้ พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเป็นเจ้าทรงใช้พระองค์ให้มาหามนุษย์อย่างแท้จริง

7.พระเยซูเจ้าทรงสอนสานุศิษย์ เกี่ยวกับพระองค์เอง และภารกิจของพระองค์ เฉพาะเท่าที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ แต่พระองค์ได้ทรงสัญญาว่า ภายหลังจะทรงใช้พระจิตมาดลใจเขาให้รู้เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

พระเยซูเจ้าทรงเรียกพระเป็นเจ้าว่า พระบิดา และเรียกพระองค์เองว่า พระบุตร ที่พระบิดาทรงใช้มาและมีฤทธิ์อำนาจเท่าเสมอ กับพระบิดาทุกประการ พระองค์ทรงประกาศว่า พระองค์พร้อมอยู่เสมอที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระบิดา และ “อาหาร” ของพระองค์ก็คือการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า

8.ชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์ จุดรวมมุ่งไปอยู่ที่ภารกิจของพระองค์ ภารกิจนั้น พระองค์ได้ทรงปฏิบัติด้วยจิตตารมณ์ของความรักและความเคารพเชื่อฟัง พระองค์ทรงประกาศว่า พระองค์ได้เสด็จมา “มิใช่เพื่อให้คนอื่นรับใช้ แต่เพื่อรั บใช้ผู้อื่นและพลีชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่มนุษย์ทั้งหลาย” (มธ.20.28) พระองค์ทรงเรียกพระองค์เองเป็นนายชุมพาบาลที่ดี ผู้ “อุทิศชีวิตเพื่อแกะของตน” (ยน.10.11)และยังเปรียบการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่าเหมือนกับเมล็ดข้าวสาลีที่ตกลงในดิน แล้วก็เน่าเปื่อยไป เพื่อจะงอกขึ้นมาเป็นต้นพืชใหม่ที่จะออกผลมากมาย

9.พระวาจาและพระจริยาของพระองค์ ได้ทำให้พวกหัวหน้าฝ่ายศาสนาผู้หยิ่งทะนงถือตัวในประเทศของพระองค์เกลียดชังคั่งแค้น เขาจึงตัดสินใจจะกำจัดพระองค์เสีย ข้อนี้พระเยซูเจ้าทรงทราบดี แต่ไม่พยายามหลีกเลี่ยงอันตรายที่คุกคามชีวิตของพระองค์ใ นที่สุด พระองค์ทรงถูกจับกุม และถูกนำไปมอบให้แก่ปอนซีโอ ปีลาโต ข้าหลวงชาวโรมัน ที่เป็นคนอ่อนแอและมีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง เขาอยากเอาใจประชาชนชาวยิว จึงตัดสินลงโทษให้พระองค์ต้องถูกทรมานจนสิ้นพระชนม์อย่างน่าอดสูด้วยการถูกตรึงก างเขนขณะที่ถูกตรึงอยู่บนกางเขนก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ทรงมอบฝากตัวพระองค์กับพระบิดา และได้ประทานอภัยให้แก่เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตพระองค์ นายทหารชาวโรมันซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการประหาร เมื่อเห็นพระองค์สิ้นพระชมน์แล้ว ได้ร้อง ประกาศว่า “จริงแล้ว ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (มธ.27.54)

10.ศิษย์ของพระเยซูเจ้าบางคน ได้ขออนุญาตข้าหลวงชาวโรมัน เชิญพระศพของพระองค์ไปฝัง พระคูหามีทหารเฝ้าอย่างเข้มแข็ ง แต่ถึงกระนั้น สามวันหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เขาได้พบว่าพระคูหาว่างเปล่า พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับเป็นขึ้นมาจากค วามตาย ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้และยังได้สำแดงพระองค์ให้พวกสานุศิษย์เห็นประจักษ์ชัดแจ้งในโอกาสต่างๆกันหลายครั้ง ดังนั้นพวกสานุศิษย์จึงประกาศยืนยันว่าได้เห็นพระองค์ด้วยตาตนเอง และได้จับต้องพระองค์ด้วยมือตนเอง ต่อมาวันหนึ่งพระอง ค์ได้เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขา จนหายลับสายตาไป หลังจากได้ปฏิบัติภารกิจในโลกสำเร็จแล้ว เมื่อสิ้นพิภพ พระองค์จะปฏิบัติตา มที่ทรงสัญญาไว้ คือจะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่งอย่างมีเกียรติรุ่งโรจน์ เพื่อเกี่ยวพืชผลที่พระองค์ได้ทรงหว่านไว้ และเพื่อปูนบำเหน็จหรือลงโทษแล้วแต่มนุษย์แต่ละคนได้เจริญชีวิตอย่างไร

11.พฤติการณ์สำคัญๆในพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า กับถ้อยคำสั่งสอนของพระองค์นั้น สานุศิษย์ของพระองค์ได้ถ่ายทอดให้ตกมาถึงในหนังสือพระวรสารสี่เล่ม ซึ่งคริสตศาสนิกชนถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในภาคพันธสัญญาใหม่(1) พระวรสารสี่เล่มนี้บรรจุข้อความที่พวกอัครธรรมทูตประกาศและยืนยันถึงพระเยซูเจ้า ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ตอนนี้ก็ยังตั้งปัญหาถาม มนุษย์ในโลกเหมือนกับที่พระเยซูเจ้าถามพวกสานุศิษย์ว่า “ส่วนพวกท่านเล่าว่า เราเป็นใคร” (มธ.16.15)             
รายชื่อหนังสือพันธสัญญาใหม่

1.มัทธิว (มธ)15.ทิโมธี ฉบับที่ 1-2 (1-2 ทธ)
2.มาระโก (มก)17.ทิตัส (ทต)
3.ลูกา (ลก)18.ฟิเลโมน (ฟม)
4.ยอห์น (ยน)19.ฮีบรู (ฮบ)
5.กิจการอัครสาวก (กจ)20.ยากอบ (ยก)
6.โรม (รม)21.เปโตร ฉบับที่ 1-2 (1-2 ปต)
7.โครินธ์ ฉบับที่ 1-2 (1-2 คร)23.ยอห์น ฉบับที่ 1-3 (1-3 ยน)
9.กาลาเทีย (กท)26.ยูดา (ยด)
10.เอเฟซัส (อฟ)27.วิวรณ์ (วว)
11.ฟิลิปปี (ฟป)
12.โคโลสี (คส)
13.เธสะโลนิกา ฉบับที่ 1-2 (1-2 ธส)