ตามปกติไม่มีใครชอบรำพึงหรือคิดถึงการทนทุกข์ตลอดทั้งชั่วนิรันดรในนรก ถึงกระนั้นก็ดี สำหรับคนอ่อนแอ และคนที่จะพลาดตกในบาปบ่อยๆ ง่ายๆ การรำพึงถึงนรกก็มีประโยชน์มาก พระจิตเจ้าแนะนำเราทางหนังสือ เอกเกลซีอาสตีกูล (บุตรสิรา) (7,40) ว่า จงคิดถึงวาระสุดท้ายของเจ้า และเจ้าจะไม่ทำบาปเลย ฉะนั้น นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ เตือนเราให้คิดถึงโศกนาฏกรรมที่รอคอยเราอยู่ ถ้าหากว่าเราไม่อยู่ในจำนวนผู้เลือกสรรในวันพิพากษาพร้อมกัน
เราอาจจะได้เคยฟังพระวรสาร เราอาจจะเป็นคริสตชน
เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า แต่นั่นไม่หมายความว่าาเราจะบรรลุถึงความสุขทั้งชั่วนิรันดรโดยอัติโนมัติ ในวันพิพากษาพร้อมกันจะมีหลายคนที่ได้รับศีลล้างบาป ได้รับความเชื่อ ได้รีบศีลศักดิ์สิทธิ์อื่น และพระหรรษทานมากมาย แต่จะต้องโทษนรกตลอดทั้งชั่วนิรันดร นี่แหละเป็นความคิดที่น่าสะดุ้งกลัว
แม้ว่าสำหรับพวกดำรงชีพอย่างศักดิ์สิทธิ์ พระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่ว่า ณ
ที่นั้นจะมีแต่ความคร่ำครวญและการขบฟันด้วยความขุ่นเคือง นั่นไม่ใช่เป็นการพูดเกินความจริง พระองค์ทรงทราบดีว่าพระองค์กำลังพูดอะไรออกไป และพระองค์ตั้งใจพูดอย่างนั้นจริงๆ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ามหาทรมานและความสูญหายนั้นเป็นใหญ่หลวงจริง พระองค์ยอมถ่อมตนลงมาเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อจะช่วยพวกเราให้พ้นภัยพิบัติประการนั้น
เป็นความจริงที่ว่า พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระทัยเมตตากรุณาได้ตักเตือนคนบาปอยู่เสมอ
ไม่ใช่เป็นน้ำใจของเราเลย
การที่คนบาปต้องพินาศไป แต่ว่าให้เขากลับใจและมีชีวิต (อสค 18:23) อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธหรือการไม่ยอมฟังคำตักเตือนของพระเป็นเจ้าบ่อยๆ อาจทำให้มโนธรรมของคนบาปตายด้าน และในที่สุดก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นการตักเตือนของพระเป็นเจ้า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนมากมายไปแล้วก็อาจเกิดขึ้นกับเราได้
เราพยายามตั้งใจรำพึงถึงนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ เราอาจจะอยู่ในทางที่ปลอดภัย เพราะเราเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรและเราพยายามดำรงชีพตามหลักพระวรสาร แต่เป็นไปได้ที่เราอาจจะเป็นปลาที่ใช้การไม่ได้ และไม่มีประโยชน์ในอวนนั้น และเทวดาก็กำลังจะโยนเราทิ้ง แต่เรายังเวลากลับใจและเราอาจจะเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร และรักใคร่และจะอยู่ในท่ามกลางปลาที่มีประโยชน์
|