หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

พืชที่เจริญเติบโตขึ้นเอง
(มก 4:26-29)

คำอธิบาย


นักบุญมาระโกผู้เดียวเท่านั้นที่เล่าเรื่องนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าเล่านิทานเป รียบเทียบเรื่องเมล็ดพืชที่เจริญเติบโตอย่างเงียบๆ เพื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งเจริญเติบโตอย่างเงียบๆ และโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น และใช้เวลานานด้วย

อาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้าเปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพืช หลังจากที่ชาวนาไถนาแล้ว  เขาก็หว่านข้าวแล้วก็ไถกลบ เสร็จแล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ  เขาไม่ค่ อยเฝ้าดูว่ามันจะงอกเมื่อไร และอย่างไร เขากลับไปทำหน้าที่ของเขาตามปกติ

ธรรมชาติที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างเริ่มทำงานอย่างมหัศจรรย์และอย่างเงียบๆ กล่าวคือ  เมล็ ดเริ่มงอก  เจริญเติบโต ออกรวง และที่สุดมีเมล็ดเต็มรวง

หลังจากนั้นชาวนาก็เริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง  คือเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว  เขาก็เกี่ยวข้าวใส่ยุ้งฉาง

คำสอน


พระเยซูเจ้าต้องการสอนสานศิษย์และผู้ติดตามพระองค์ว่า  การเจริญเติบโตหรือความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนจักรบนแผ่นดินนั้น  ค่อยทีค่อยไปทีละเล็กทีละน้อย  แทบมองไม่เห็น ในขณะที่มนุษย์เราก็ทำธุระตามปกติ แต่ว่าฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้าทำงานในธรรมชาติ   และพระองค์บันดาลให้เกิดผล พระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระเป็นเจ้าโดยเปรียบเทียบพระองค์เองเหมือนกับชาวนาผู้หว่านข้าวหลังจากได้เตรียมดินแล้ว กล่าวคือ พระองค์เทศนาข่าวดีให้แก่โลก  และพระองค์สัญญากับผู้ติดตามพระองค์ว่า จะได้เก็บเกี่ยวผลอย่างแน่นอนจนที่สุด แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ เช่น จากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ และอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ จากฝ่ายผู้ฟังและแม้จากสานุศิษย์ของพระองค์ และจากคำสอนของพระองค์เอง เช่น พวกฟาริสี ซึ่งพยายามจะลบล้างคำสอนของพระองค์เสมอ

ทำไมพระองค์ปราบศัตรูของพระองค์ให้หมดสิ้นสักที โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ (ยากอบและยอห์นต้องการให้พระองค์ทำอัศจรรย์ให้ฟ้าผ่า) หมู่บ้านชาวสะมาเรียซึ่งไม่อยากต้อนรับพระองค์ (ลก 9:54) แต่พระองค์ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ก็ไม่ได้มาอย่างเอิกเกริก  ไม่แปลกอะไรที่บรรดาอัครธรรมทูตเข้าใจว่าพระองค์ก็ล้มเหลว และศัตรูของพระองค์ได้รับชัยชนะเมื่อพระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิต  แต่ว่านี่แหละเป็นการเจริญเติบโตอย่างเงียบๆ ของเมล็ดข้าว การที่พระเยซูคริสตเจ้าถูกมัดในสวนมะกอกนั่นแหละ บันดาลให้โซ่ตรวนที่บาปผูกมัดมนุษย์อยู่ให้ขาดสะบั้นไป การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้นแหละเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตนิรันดรสำหรับมนุษยชาติ  เมล็ดพืชที่หว่านไว้ในนา และดูเหมือนว่าเจ้าของได้ลืมแล้ว  ได้งอกงามขึ้นเมื่อถึงเวลาของมัน และได้ออกเมล็ดเต็มรวง  บรรดาอัครธรรมทูตเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างดีหลังจากที่เขาได้รับพระจิตในวันฉลองพระจิตเจ้าเสด็จลงมา  เพราะพวกเขาเช่นเดียวกับที่เคยอ่อนแอมาแล้ว และได้วิ่งหนีเอาตัวรอดในวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์  ก็ได้ยอมพลีชีพอย่างกล้าหาญเพื่ออาณาจักรสวรรค์ เพื่อว่าผู้ที่ฟังพวกเขาจะได้มีชีวิตชั่วนิรันดร

แม้ว่าในสมัยของเรานี้จะไม่มีคริสตังที่สงสัยในพระญาณสอดส่องและพระปรีชาญาณของพระเป็นเจ้าในการสถาปนาพระศาสนจักรบนแผ่นดิน  แต่คริสตังเป็นอันมากก็ยังมองไม่เห็นพระญาณที่อาทรอันปรีชาฉลาดของพระเป็นเจ้าในชีวิตส่วนตัวของพวกเขา

เขายอมรับว่าพระคริสตเจ้าจำต้องรับทนทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อจะได้ไถ่พวกเขา  แต่เขาก็ยังลืมคำสั่งของพระองค์ที่สั่งให้เขาแบกกางเขนทุกๆ วัน ถ้าเขาปรารถนาจะมีชีวิตชั่วนิรันดร  พวกเขาหมดความเพียรและรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อเห็นว่าหนทางสวรรค์ดูเหมือนจะตันเพราะอุปสรรคต่างๆ เนื่องจากความอ่อนแอของเขาเองหรือความบกพร่องของเพื่อนมนุษย์ เขามักจะตั้งปัญหาถามพระองค์ว่า  พระองค์ยังเอาใจใส่ต่อเขาเองหรือเปล่า  หรือว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งเขาตามยถากรรม พระองค์ได้หว่านพืช  และได้ประทานความเชื่อแก่พวกเขาและได้เรียกเขาเป็นพิเศษให้ทำหน้าที่ที่พระองค์ต้องการ  แต่ดูเหมือนว่าพระองค์ไปติดธุระอย่างอื่น  และดูเหมือนลืมเขาแล้ว

ถ้าหากเมล็ดพืชสามารถหาเหตุผลได้  มันคงจะคิดว่าทันถูกทอดทิ้งแล้ว  ชาวนาทิ้งมันแล้ว  และไปทำธุระอื่น แต่การละทิ้งนั้นเองก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเขารู้ว่าเมื่อเขาทำหน้าที่ของเขาแล้ว  ก็เป็นหน้าที่ของธรรมชาติที่พระทรงสร้างจะทำงานต่อไป  และเขาก็มั่นใจในความสำเร็จ  ผลก็คือว่าเขาเป็นคนฉลาด

พระเป็นเจ้าทรงปฏิบัติต่อวิญญาณเช่นเดียวกัน บางครั้งเรารู้สึกว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งเขา พระหรรษทานของพระองค์ก็ทำงานเงียบๆ ภายในจิตใจ  เพื่อช่วยเหลือเขาให้ชนะอุปสรรค  และให้เขาสามารถทนความยากลำบากหรือความเสียใจที่กำลังจะขบกลืนเขา เหมือนกับเมล็ดพืชเมื่อถึงเวลาอันสมควร  ก็จะงอกจากพื้นดินที่กลบมันอยู่  และจะได้รับน้ำค้างและแสงแดด และที่สุดก็จะบังเกิดผล

ฉะนั้น ในยามตกทุกข์ได้ยาก ให้เรามีความไว้วางใจอย่างมั่นคงในพระปรีชาญาณ ความรักอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้า เราอาจจะไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไม หรือเพราะเหตุไร  เราจึงต้องประสบเคราะห์ร้ายหรือต้องรับทุกข์ถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ดี  ขอให้เรามั่นใจได้ว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เป็นไปตามเหตุการณ์ของพระเป็นเจ้าที่ทรงรักเรา และพระองค์เองได้จัดไว้สำหรับเรา

ถ้าหากว่าเราจะรอคอยให้พระองค์เสด็จมาช่วยเราด้วยความพากเพียร  โดยพยายามทำทุกสิ่งที่เราสามารถโดยเต็มที่และวางใจในพระองค์ เราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลที่จะตามมา

เหมือนกับพระอาจารย์เจ้าที่เราสมัครใจติดตาม   เราจะผ่านสวนเกทเสเมนีและเนินกัลวารีโอ  แต่เราจะกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์เพื่อรับมงกุฎตลอดชั่วนิรันดร  หากเราไม่รีบสลัดกางเขนออกจากบ่าของเรา

เวลาเก็บเกี่ยวจะมาถึง  ฉะนั้นรอให้เรามีความพากเพียรอย่าใจร้อนที่จะได้เห็นผลเร็วๆ ในกิจการของเรา  ธรรมชาติไม่กระโดด  แต่ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติ  ไม่มีชาวนาคนใหม่ที่หลังหว่านเสร็จก็จะได้เก็บเกี่ยวทันที และเราจะต้องมีความหวัง เราอยู่ในสมัยที่มีบรรยากาศค่อนข้างจะหมดหวัง  สังคมเสื่อม พระศาสนจักรกำลังประสบกับวิกฤตการณ์  แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่เชื่อในพระเป็นเจ้า  เรายังเห็นแสงแห่งความหวังอยู่เสมอ เพราะพระองค์เป็นผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์
 

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ