หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

การถ่อมตนรับใช้
(ลก 17:7-10 เทียบ ยน 13:4-5)

คำอธิบาย

เมื่อสานุศิษย์ 72 คน กลับจากการเทศนาสั่งสอนตามเมืองและตามหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี  พวกเขามีความปีติยินดีเพราะว่าพระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงมอบอำนาจมากมายให้แก่พวกเขา แม้แต่ปีศาจยังยอมแพ้ในนามของพระองค์ พวกเขากล่าว  พระอาจารย์เจ้าจึงติงพวกเข าไว้นิดหน่อยว่า  อย่าภาคภูมิใจจนเกินไป จงอย่าดีใจที่จิตมันนบนอบท่าน (ลก 10:20) เป็นของธรรมดาเหลือเกินที่บรรดาสานุศิษย์ซึ่งเพิ่งจะเริ่มติดตามพระเยซูคริสตเจ้าและเริ่มมีค วามเชื่อถูกล่อลวงให้มีความจองหองบ้างในฤทธิ์อำนาจที่พวกเขาได้รับ  แต่พวกเขาจะต้องพยายามหาทางชนะต่อการผจญชนิดขี้ นิทานเปรียบเทียบเรื่องต่อไปนี้จะเป็นเครื่องเตือนใ จว่า พวกเขาจะต้องพยายามฝึกหัดฤทธิ์กุศลความสุภาพอย่างแท้จริง บรรดาอัครธรรมทูตได้ภาวนาขอให้พระองค์เพิ่มพูนความเชื่อของพวกเขา (เทียบ 17:5) กล่าวคือ  ให้พระอง ค์บันดาลให้พวกเขามีความไว้วางใจในพระเป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น  พวกเขาจะต้องไม่อ้างสิทธิอะไรเลยในการทำงานเพื่อพระเป็นเจ้า เพราะพระองค์นั่นแหละบันดาลให้การงานของพวกเ ขาบังเกิดผล  และผลงานนั้นเป็นของพระเป็นเจ้ามากกว่าเป็นของพวกขา เพราะพระองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า  ปราศจากเรา  ท่านไม่สามารถทำอะไรได้สักนิดเดียว

คนไหนแต่ในพวกท่าน  เป็นวิธีพูดมากกว่า  ไม่จำเป็นจะต้องเข้าในว่าบรรดาอัครธรรมทูต หรือพวกสานุศิษย์มีคนใช้
ไถนาหรือเลี้ยงสัตว์  เป็นหน้าที่ประจำวันที่สำคัญของคนใช้ที่จะต้องทำในนาของนาย

เมื่อเขากลับมาจากทุ่งนา  สำหรับคนใช้หรือกรรมกรธรรมดา ตามปกติพวกเขาเลิกงานหรือกลับจากนาตอนเย็น ๆ แต่คนใช้ในนิ ทานเปรียบเทียบเป็นทาสไม่ใช่เป็นกรรมกรที่เขาจ้างมา  เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่มีสิทธิอันใดเลย เขาเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอย่างเด็ดขาด และจะต้องพร้อมเสมอที่จะทำตามคำสั่งสอนของนาย

ไปนั่งทานอาหาร สำหรับกรรมกรที่เขาจ้างมา เขาก็ต้องทำงานบ้าน เขาจะต้องเตรียมอาหารเย็นสำหรับนาย  ซึ่งเป็นงานที่ยุ่งไม่ใช่น้อย  เพราะอาหารมื้อเย็นเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด  และเขาจะต้องคอยรับใช้นายด้วย

ขณะที่ฉัน  กิน ดื่ม การเตรียมอาหาร จัดโต๊ะ  และรอนายทานอาหาร  กว่าจะเสร็จ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นชั่วโมง  แต่เขาก็ต้องรอคอยแม้จะหิวก็ตาม

หลังจากนั้น  เจ้าก็จะกิน ดื่ม ทาสจะทานของที่เหลือจากนาย เขาจะขอบใจคนใช้ ในสมัยนั้น การที่ทาสจะทำงานตามที่กล่าวมาแ ล้วเป็นของธรรมดา และไม่มีทาสคนไหนที่จะหวังให้นายแสกงความกตัญญูรู้คุณหรือขอบอกขอบใจ  และไม่มีนายคนไหนจะขอบคุณทาสด้วย

ท่านก็เป็นเช่นนี้ด้วย  พระเยซูคริสตเจ้าก็ได้ตรัสให้สานุศิษย์ประยุกต์นิทานเปรียบเทียบกับพวกเขาเองด้วย ณ  ที่นี้  ไม่ใช่พระอาจ ารย์ทรงเห็นดีเห็นชอบกับการมีทาส  หรือ  กับความใจแข็งของนาย พระองค์เพียงแต่ต้องการแต่เรื่องที่พวกสาวกเคยเห็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา  และพระองค์ต้องการจะสอนพวกเขา

เมื่อท่านได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่นายสั่งแล้ว ณ  ที่นี้  พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงสอนสานุศิษย์ให้เอาแบบฉบับของทาสซึ่งไม่หวังร างวัลหรือเรียกร้องอะไรตอบแทนจากนายเลย  เมื่อพวกเขาได้ทำตามที่พระองค์ทรงสั่งรวมทั้งอัศจรรย์ที่พระองค์ได้มอบอำนาจให้พวกเขา พวกเขาก็ควรจะกล่าวด้วยว่า

เราเป็นคนใช้ที่ใช้การไม่ได้  เราได้ทำอะไรเพิ่มขึ้นจนกระทั่งพระองค์ต้องเป็นหนี้บุญคุณเรา  เราได้ใช้พระคุณที่พระองค์ได้ทรงป ระทานให้เรามิใช่หรือ ฉะนั้น ผลงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ  ชื่อเสียง ฯลฯ  ก็ต้องเป็นของพระเป็นเจ้าทั้งนั้น  ความสามารถและอำนาจต่าง ๆ ที่เราใช้ต่างก็เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น

เราได้ทำสิ่งที่เราควรต้องทำ  เราเพียงแต่ทำตามพระบัญชาของพระองค์  เราเพียงแต่ใช้พระคุณของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงพ ระประสงค์เท่านั้น  อย่างไรก็ดี พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระทัยดีจะทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนใช้ที่สัตย์ซื่อ แม้ว่าไม่มีใครจะสามารถเรียกร้องจากพระองค์ก็ตาม  เพระพระเยซูคริสตเจ้าเองได้เคยตรัสไว้เช่นนั้น (เปรียบเทียบในนิทานเปรียบเทียบเรื่องกรรมกรในสว นองุ่น คนใช้ที่ตื่นเฝ้าอยู่เสมอ เงินปอนด์  เป็นต้น) แต่ว่าสานุศิษย์ที่แท้จริงต้องคำนึงเหมือนนักบุญปอลเสมอว่า ถ้าปล่อยเขาคนเ ดียวตามลำพัง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเลย  แต่ว่าเขาสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างในองค์พระเป็นเจ้าที่ทรงให้พละกำลังแก่เขา  กล่าวคือ  เขาจะต้องทำตนเป็นคนสุภาพเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าเสมอ

คำสอน


นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้  พระองค์ทรงพระประสงค์จะสอนบรรดาอัครสาวกและสานุศิษย์  เนื่องจากพวกเขาได้รับอำนาจและพระคุณเหนือธรรมชาติมากมายในการเผยแผ่พระศาสนจักรเมื่อตอนเริ่มแรก  พวกเขาอาจจะคิดว่านั่นเป็นผลงานของพวกเขาเอง  แทนที่จะคิดว่าเป็นของพระเป็นเจ้า  และพวกเขาก็จดจำคำของพระอาจารย์เจ้า  พวกเขายอมรับว่า พวกเขาเป็นแต่ความเปล่า และดังนี้  พระเป็นเจ้าจึงยกพวกเขาขึ้นในอาณาจักรสวรรค์

แต่นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ก็สอนเราด้วยพระคุณทั้งกายในต่างก็เป็นพระคุณที่พระเป็นเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เรา ในนิทานเปรียบเทียบ  นายก็คิดว่าเขาเป็นเจ้าของของทาสทั้งครบ  ทั้งกายใจ เพราะฉะนั้น  เขาก็หวังว่าทาสนั้นจะต้องใช้ความสามารถทั้งกายใจเพื่อรับใช้เขา  นี่เป็นความคิดของเจ้านายในสมัยนั้น  แม้ว่าจะเป็นความคิดที่ผิดก็ตาม  แต่ทุกคนก็มีความคิดแบบนี้   พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างเรามา  พระองค์ทรงเป็นเจ้านายเด็ดขาดของเรา  เพระว่าพระองค์ได้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เราทั้งกายใจ เรายอมรับความจริงข้อนี้หรือเปล่า??หรือว่าเราคิดว่าเรามีความสามารถเอง  คิดเอง  ทำเอง โดยที่พระเป็นเจ้าไม่มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องในกิจการของเรา??หรือว่าบางทีเราอาจจะดูถูกและประมาทพี่น้องร่วมโลกซึ่งไม่มีความสามารถเหมือนกับเรา เราได้ใช้พระคุณเพื่อพระเป็นเจ้าอย่างดีหรือเปล่า เราแสวงหาคำชมเชยจากเพื่อนมนุษย์ในเมื่อเราใช้พระคุณของพระองค์อย่างดีหรือเปล่า

มีมนุษย์ชายหญิงมากมายในโลกซึ่งเรียกร้องอาณาจักรสวรรค์เป็นบำเหน็จอย่างไม่มียางอาย และไม่เคยคิดเลยว่าพระเป็นเจ้าเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา มีคริสตชนจำนวนมากที่บ่นว่าพระเป็นเจ้าเมื่อพระองค์เรียกร้องให้ใช้เวลา หรือสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระองค์บ้าง  แทนที่เขาจะขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงโปรดให้เขามีโอกาสแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์บ้าง บางคนใช้พระคุณของพระเป็นเจ้าอย่างดี แต่เขาก็หวังคำชมเชยจากพระเป็นเจ้าและจากเพื่อนมนุษย์ ความจองหองนี้เองได้ทำให้การงานที่ดีงามทั้งหลายของพวกฟาริสีกลายเป็นการหาชื่อเสียงให้ตัวเอง  ไม่ใช่เพื่อเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า  พระอาจารย์เจ้าได้ทรงเตือนเราอย่าให้เราทำอะไรโดยเห็นแก่หน้าตามนุษย์ (มธ 6:1-8)นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ก็สอนเราทำนองนี้ สมมุติว่า  เราถวายกายใจแด่พระโดยยอมพลีชีพเพื่อพระองค์  เราก็ได้ได้ทำอะไรมากไปกว่าคืนชีวิตของเราให้แก่พระเป็นเจ้า การที่พระเป็นเจ้าให้เราทกงาน  เราจะต้องถือเป็นสิทธิพิเศษ  บรรดาอัครธรรมทูต  และนักบุญปอล  นักบูฟรังซิส  อัสซีซี นักบุญดอมินิก  และนักบุญฟรังซิส  เซเวียร์  ถึงกระนั้นก็ดี  พระเป็นเจ้าก็สามารถจะบันดาลให้วิญญาณมากมายกลับใจในทันที โดยไม่ต้องอาศัยการเทศนาของบรรดานักบุญเหล่านี้  ท่านนักบุญทั้งหลายทราบเรื่องนี้ดี

ถ้าหากว่าบรรดานักบุญของพระเป็นเจ้ามีความรู้สึกว่าการเสียสละการงานบนแผ่นดินนี้เล็กน้อยเหลือเกินและไม่มีความหมายอะไรเลย ทำไมเราจึงรู้สึกว่าเราทำงานมากมาย  ให้เราหันไปสำรวจชีวิตที่ผ่านมา  ในจำนวน 20, 30-50 ปี  ที่ผ่านมา เราได้ทำงานเพื่อพระเป็นเจ้าอาทิตย์ละกี่ชั่วโมง?และเขาใช้เวลากี่ชั่วโมงเพื่อความสุขและความเห็นแก่ตัว  ยิ่งกว่านั้นใช้ในการทำบาปผิดต่อพระเป็นเจ้า

พระอาจารย์เจ้าไม่ได้ตรัสว่า  กิจกรรมที่ดีงานของเราเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือไม่  เป็นที่พอพระทัยพระองค์  แต่ว่าเราอย่าคิดว่า กิจกรรมดีของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราทำทั้งหมด โดยที่พระเป็นเจ้าไม่มีส่วนร่วมด้วย และเราไม่มีสิทธิ์ที่จะทวงเอารางวัล และรางวัลนั้นก็เป็นพระเป็นเจ้าเองได้ทรงประทานให้เรา เพราะพระทัยเมตตาของพระองค์ ในเราขอบพระคุณด้วยความจริงใจที่ได้ประทานพระคุณเพื่อว่าเราจะได้สามารถร่วมงานกับพระองค์ในการช่วยเหลือมนุษย์ชาติให้รอด และเพื่อความรอดของเราเอง

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ