หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 คนงานในสวนองุ่น
(มธ 20:1-16)

คำอธิบาย

พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงว่า  รางวัล ตลอดทั้งชั่วนิรันดรสำหรับมนุษย์เป็นของประทานของพระเป็นเจ้า เป็นของขวัญอันล้ำค่าซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะได้รับ  โดยอาศัยความสามารถของมนุษย์แต่อย่างเดียว แม้มนุษย์จะพยายามอย่างไรก็ตาม  พวกฟาริสีมีความ คิดว่าพวกเขาเท่านั้นที่เป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์นี้ ในฐานะที่เป็นประชากรของพระเป็นเจ้า  และพวกเขาคัดค้านคำสั่งสอนของพระเยซูคริสตเจ้าที่สอนว่า คนบาปและคนเก็บภาษีก็มีโอกาสเข้าในอาณาจักรสวรรค์ของพวกเขาด้วย

อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านที่ออกไปจ้างกรรมกรตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานในสวนองุ่น

ในสมัยนั้นในปาเลสไตน์และแม้ในสมัยนี้ด้วย เช่นในประเทศอินเดีย  คนที่ต้องการทำงานจะต้องเข้าไปในเมืองหรือตามหมู่บ้ านแล้วก็ไปรวมกันในที่สาธารณะ หรือตามย่านชุมชนเพื่อรอให้คนอื่นเขาจ้างไปทำงานตามที่เขาต้องการ การจ้างนั้นจะตกลงกันเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์หรือรายวันก็ได้ ส่วนค่าจ้างก็ตกลงกันเองตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย

เมื่อได้ตกลงกันกับกรรมกรแล้ว เจ้าของสวนในนิทานเปรียบเทียบได้เลือกกรรมกรไว้กลุ่มหนึ่ง  และจ้างเป็นรายวัน โดยจะให้ค่าจ้างวันละ 1 เหรียญ  ซึ่งเป็นอัตราค่าแรงตามปกติในสมัยนั้น

เขาได้ออกไปในโมงที่สาม ที่หก  และที่เก้า  ชาวโรมันแบ่งเวลากลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง คือ  ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โม งเย็น  และในสมัยพระเยซูคริสตเจ้า ชาวยิวก็ถือตามนี้  เพราะฉะนั้น เจ้าของสวนก็ได้ออกไปจ้างกรรมกรครั้งแรกตอน 6 โมงเช้า  ต่อมาก็ 9 โมง เที่ยง

บ่าย 3 โมง และตอนเย็น 6 โมง ตามลำดับ ที่เขาจ้างในเวลาไม่พร้อมกันอาจจะเป็นเพราะว่าครั้งแรกเขาคงคำนวนไม่ดี  แล ะกลัวว่างานคงจะไม่เสร็จอีก จึงต้องจ้างกรรมกรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   แต่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงประดิษฐ์ขึ้น เพื่อจะเป็นคำสอนของพระองค์มากกว่าก็เป็นได้

ฉันจะให้ค่าจ้างตามความยุติธรรม เจ้าของเสนอค่าจ้างที่ยุติธรรม  และยิ่งทียิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ ดีไม่ดีอาจไม่มีใครว่าจ้างก็ได้

แต่ประมาณเวลา 5 โมง  เจ้าของได้จ้างกรรมกรอีกพวกหนึ่งตอนเย็นมากแล้วให้ไปทำงานในสวนองุ่น เขาถามพวกนั้นว่า ท ำไมยืนอยู่เฉย ๆ แทนตลอดทั้งวัน พวกเขาตอบว่าไม่มีใครจ้าง เจ้าของจึงได้ให้พวกเขาไปทำงาน  โดยไม่ได้ตกลงราคากันไ ว้ ส่วนพวกกรรมกรก็ไม่ได้ถามถึงค่าจ้างเช่นเดียวกัน เพราะว่ามีเวลาทำงานเหลือเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น  สู้ปล่อยให้นายจ้า งทำตามความใจดีของเขาดีกว่า จงไปเรียกพวกกรรมกรมา พอ 6 โมงเย็น ทุกคนก็เลิกงาน เจ้าของจึงสั่งให้คนใช้ไปเรียก พวกกรรมกรมารวมกันเพื่อจะได้รับค่าจ้าง  โดยเรื่มจ่ายให้แก่พวกที่มาที่หลังสุดก่อน  การจัดแบบนี้จำเป็นสำหรับคำสอนในนิท านเรื่องนี้  เพราะถ้าหากพวกแรกได้รับเงินก่อน พวกเขาก็คงจะกลับบ้าน และคงไม่ทราบว่าพวกที่มาที่หลังได้รับเท่าไร

พวกที่มาทำงานตอน 5 โมงเย็น ต่างก็ได้รับคนละ 1 เหรียญ  เจ้าของไม่ตกลงกับพวกเขาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เท่าไร  แต่เนื่องจ ากเขาเป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารี เขาจึงให้ค่าแรงเท่ากับ 1 วันเต็ม ๆ   และเขาก็ให้พวกที่มาทำงานตอนบ่าย 3 โมง ต อนเที่ยง และตอน 9 โมง คนละ 1 เหรียญ  เหมือนกันหมด  ไม่มีปัญหาอะไร  เพราะทุกคนก็พอใจ  เพราะพวกเขาได้รับค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาหวังจะได้รับเสียอีก

แต่เมื่อพวกแรกเข้ามา พวกเขาก็ได้รับคนละ 1 เหรียญ  ตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่พวกเขาก็บ่นแสดงความไม่พอใจทันที ทำไมพวกที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวจึงได้รับค่าจ้างเท่ากับพวกเขาซึ่งต้องทำงานหนักตลอดวัน  พวกเขาคิดว่านี่เป็นการอยุติธรรม  แต่เป็นความอยุติธรรมจริง ๆ หรือ

นี่เพื่อน  ผมไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่พวกคุณ ผมได้จ่ายให้พวกคุณคนละ 1 เหรียญ  ตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อเช้า  ที่ผมให้คนอื่น ๆ คนละ 1 เหรียญ นั่นเป็นเรื่องของผม  ผมจะใช้เงินตามใจผมไม่ได้หรือ

คุณอิจฉาตาร้อนที่เห็นผมใจดีหรือ เนื่องจากพวกคุณรู้สึกอิจฉาริษยา  พวกคุณจึงเห็นว่าความใจกว้างของผมกลา ยเป็นความอยุติธรรมไป เจ้าของสวนยุติธรรมที่สุด เพราะเขาได้ทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ทุกประการ  ถ้าหากเขาได้จ่ายให้คนอื่น ๆ คนละเหรียญเท่ากัน  เขาก็ไม่ผิดความยุติธรรมต่อพวกแรก  แต่เขาเป็นคนมีเมตตาจิตต่าง หาก  พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงประทานความสุขตลอดทั้งชั่วนิรันดร ก็คล้าย ๆ กับเจ้าของสวนจ่ายค่าแรงกรรมกรนั่นเอง บางคนบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยการทรมานกายทรมานใจใช้โทษบาปเสียนาน  บางคนกลายเป็นนักบุญใช้เ วลาเพียงไม่กี่ปี บางทีไม่กี่วันด้วยซ้ำ  เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดพระหรรษทานเป็นพิเศษแก่เขา  สำหรับทุกคนที่บรรลุถึงอา ณาจักรสวรรค์ พวกเขาย่อมทราบอยู่ดีว่า  รางวัลนั้นใหญ่หลวงเกินกว่าที่เขาจะคิดหรือหวัง นักบุญปอลกล่าวว่า ?ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในโลกของเรานี้ ไม่สมที่จะไปเปรียบเทียบกับสิริมงลในโลกหน้า? (รม 8:18) เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไ รจากพระเป็นเจ้า  ฉะนั้น  เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามพระองค์ว่า  ทำไมพระองค์ทรงพระทัยดีต่อคนนั้น ต่อคนนี้ ฯลฯ  ทั้งนักบุ ญปอล ซึ่งเคยได้สู้ทนความยากลำบากนานกว่า 30 ปี เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสตเจ้า และโจรที่กลับใจซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าไ ด้ทรงสัญญาว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์ในวันนั้นเองที่เขากลับใจ  ต่างก็ได้รับความยินดีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์  โดยอาศัยพระเมตต าของพระเยซูคริสตเจ้าด้วยกันทั้งคู่ และสำหรับทั้งสองคน พวกเขาก็ได้รับบำเหน็จรางวัลที่มากกว่าที่เขาจะได้รับทั้งคู่

ดังนี้พวกสุดท้ายจะกลายเป็นพวกแรก และพวกแรกจะเป็นพวกสุดท้าย  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ไม่มีใครจะเรียกร้องอะไรจา กพระเป็นเจ้าได้  เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้ใคร สำหรับคนบางประเภท  พวกฟาริสีที่คิดว่าพวกเขามีสิทธิ์ก่อนคนอื่น ๆ ในอา ณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า จนกระทั่งว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์นั้น  พระเยซูคริสตเจ้าก็ทรงสอนเขาว่าพระเป็นเจ้าจะกระทำต่อพว กเขาตามความยุติธรรม (1) พวกเขาอาจจะไปสวรรค์ได้ ถ้าหากพวกเขาประพฤติตนเหมาะสม แต่พวกเขาไม่มีหน้าที่ที่จะไป ห้ามพระเป็นเจ้า  พระองค์ก็อิสระและพระองค์จะให้ใครไปสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นพระองค์อาจจะให้ตำแหน่งเท่ากันหรือว่ าสูงกว่าพวกฟาริสีแก่คนอื่น ๆ ก็ได้ คนบาปที่สำนึกผิด ลูกล้างผลาญที่กลับใจ ก็เป็นที่รักใคร่ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ไม่แพ้ลูกคนโตที่อยู่บ้านและไม่ต้องการกลับใจเหมือนกัน

คนเป็นอันมากได้ถูกเรียกแต่น้อยคนถูกเลือก ประโยคนี้คงไม่ใช่อยู่ตอนนี้  แต่เป็นการเติมและเอามาจาก มธ 22:14

คำสอน

การเรียกเข้ามาทำงานในสวนองุ่นโดยอาศัยพระคุณของพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงประทานความเชื่อและศีลล้างบาป เป็นพระคุณที่เราไม่สามารถจะขอบคุณพระเป็นเจ้าได้เพียงพอเลย ตราบใดที่เรอยู่ในสวนองุ่นและทำงานอย่างสัตย์ซื่อ  กล่าวคือ  ถ้าหากเราร่วมงานกับพระหรรษทานปัจจุบันของพระเป็นเจ้าที่ทรงโปรดประทานให้แก่เราเสมอ  เราก็มั่นใจได้ว่า เราจะเพิ่มพูนพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกรในตัวเรา  และสมจะได้รับบำเหน็จในสวรรค์

งานที่เราจะต้องทำในสวนองุ่นก็คือ เราจะต้องทำหน้าที่ประจำวันตามสถานะของเรา เช่น ถ้าหากเราเป็นนักบวช  ก็ต้องทำหน้าที่ของนักบวช  ถ้าหากเราเป็นครู  ก็ต้องทำหน้าที่ของครูอย่างดี  ถ้าหากเราเป็นพ่อบ้านแม่เรือน  เราก็ต้องพยายามปฏิบัติตามหน้าที่พ่อบ้านแม่เรื่อนอย่างครบครัน  ด้วยความสัตย์ซื่อและจริงใจ ถ้าหากเราเป็นนักเรียน  เราก็จะต้องทำหน้าที่ของนักเรียนอย่างดี  เพราะนั่นแหละเป็นการทำตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า  ซึ่งเป็นหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเราจะได้บำเหน็จรางวัล กิจการงานส่วนใหญ่ในโลกเราก็เป็นงานตามธรรมดา (2) ที่ทุกคนจะต้องทำไม่ว่าเขาจะเป็นคริสตชนหรือคนต่างศาสนา  แต่การงานต่าง ๆ เหล่านั้น ถ้าหากเราทำในขณะที่เราอยู่ในสถานะพระหรรษทาน  หรือเมื่อเราทำด้วยความรักต่อพระเป็นเจ้า  กิจการต่าง ๆ เหล่านั้นก็บันดาลให้เกิดผลบุญกุศล  ซึ่งมีคุณค่าสำหรับชีวิตนิรันดร (1) อาศัยศีลล้างบาปที่พระเป็นเจ้าได้ประทานให้แก่เรา  เราจึงกลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจ้า มีส่วนร่วมในชีวิตเหนือธรรมชาติของพระองค์  เราจำจะต้องขอบพระคุณและรำลึกถึงพระคุณประการนี้เสมอ  ศีลล้างบาปทำให้เราเกิดใหม่ ?เราขอบอกท่านอย่างจริงใจว่า  ถ้าหากมนุษย์ไม่เกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้าแล้ว เขาก็ไม่สามารถจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เลย? (ยน 3:5)

เพื่ออาณาจักรสวรรค์  พระองค์อาจจะให้เราต้องทำงานอย่างหนักด้วยความเหน็ดเหนื่อย  หรือพระองค์อาจจะให้เราต้องทรมานกายทรกรรมใจทำการใช้โทษบาปของเรา  ถึงกระนั้นก็ดี  สวรรค์ก็เป็นบำเหน็จอันล้ำค่าเสมอ  แต่ที่พระองค์ทรงพอพระทัยให้เราดำรงชีพแบบธรรมดาท่ามกลางความยินดีระหว่างพ่อแม่ ญาติพี่น้องและมิตรสหาย (2) เราจะหาความสนุกอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมที่ดีงามและอยู่ในขอบเขตของกฎหมายเท่านั้น (3) และใจชีวิตแบบง่าย ๆ นี้  เรายังมีโอกาสเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ ถ้าหากเรามีชีวิตพระหรรษทาน นักบุญปอลได้กล่าวว่า ?ไม่ว่าท่านจะกิน  จะดื่ม  ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ก็ขอให้ท่านทำเพื่อสิริมงคลของพระเป็นเจ้า? (1คร 10:31)

ถ้าหากเราจะหวนไปดูชีวิตในอดีต  เราจะเห็นว่าเราได้ใช้เวลาเพื่ออาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้าน้อยจริง ๆ  นับตั้งแต่เรารู้ความ  เข้าเรียน ประกอบอาชีพ  เข้าอาราม และมีชีวิตอยู่ ในปัจจุบันนี้  เราอาจจะทำงานหมกมุ่นทั้งวันเกี่ยวกับธุระกิจของเรา เกี่ยวกับการค้า  เรียน หุงข้าว หุงปลา แต่ว่าเราคิดถึงพระเป็นเจ้าน้อยเหลือเกิน (4) ในชีวิตที่ผ่าน ๆ มา  เราอาจจะ  ?อยู่เฉย ๆ???ตลอดเวลาก็ได้  นิทานเปรียบเทียบของพระเยซูคริสตเจ้าบทนี้น่าจะให้กำลังใจเรา  ชีวิตของเราในขณะนี้อาจจะถึงตอน 9 โมงเช้า  ตอนเที่ยง บ่าย 3 โมง และบางคนอาจจะถึงตอน 5 โมงเย็นแล้ว  และมีเวลาทำงานเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ภายในชั่วโมงเดียว ถ้าหากเราทำงานด้วยความขยันและจริงจัง เราก็ยังมีโอกาสได้รับค่าแรงงานอย่างมากมาย  เกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ด้วย

เราอาจจะไม่เหมือนกับพวกฟาริสีที่อิจฉาตาร้อน  และเราคงไม่บ่นว่าพระเป็นเจ้าว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม เท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม พระองค์ไม่เรียกร้องอะไรมากกว่านี้หรือ ไม่มีพี่น้องของเราที่ยังหางานไม่ได้อยู่รอบข้างเราดอกหรือ และเราไม่มีโอกาสช่วยเหลือพวกเขาได้เลย

หรือ ถ้าหากเรารู้จักคุณค่าของอาณาจักรสวรรค์แล้ว  เราคงจะพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกให้เขาได้มีโอกาสเข้ามาทำงานอยู่ในสวนของพระบิดาเจ้า แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่าไรก็ตาม

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ