พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงว่า รางวัล
ตลอดทั้งชั่วนิรันดรสำหรับมนุษย์เป็นของประทานของพระเป็นเจ้า เป็นของขวัญอันล้ำค่าซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะได้รับ โดยอาศัยความสามารถของมนุษย์แต่อย่างเดียว แม้มนุษย์จะพยายามอย่างไรก็ตาม พวกฟาริสีมีความ
คิดว่าพวกเขาเท่านั้นที่เป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์นี้ ในฐานะที่เป็นประชากรของพระเป็นเจ้า และพวกเขาคัดค้านคำสั่งสอนของพระเยซูคริสตเจ้าที่สอนว่า คนบาปและคนเก็บภาษีก็มีโอกาสเข้าในอาณาจักรสวรรค์ของพวกเขาด้วย
อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านที่ออกไปจ้างกรรมกรตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานในสวนองุ่น
ในสมัยนั้นในปาเลสไตน์และแม้ในสมัยนี้ด้วย เช่นในประเทศอินเดีย คนที่ต้องการทำงานจะต้องเข้าไปในเมืองหรือตามหมู่บ้
านแล้วก็ไปรวมกันในที่สาธารณะ หรือตามย่านชุมชนเพื่อรอให้คนอื่นเขาจ้างไปทำงานตามที่เขาต้องการ การจ้างนั้นจะตกลงกันเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์หรือรายวันก็ได้ ส่วนค่าจ้างก็ตกลงกันเองตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย
เมื่อได้ตกลงกันกับกรรมกรแล้ว เจ้าของสวนในนิทานเปรียบเทียบได้เลือกกรรมกรไว้กลุ่มหนึ่ง และจ้างเป็นรายวัน โดยจะให้ค่าจ้างวันละ 1 เหรียญ ซึ่งเป็นอัตราค่าแรงตามปกติในสมัยนั้น
เขาได้ออกไปในโมงที่สาม ที่หก และที่เก้า ชาวโรมันแบ่งเวลากลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง คือ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โม
งเย็น และในสมัยพระเยซูคริสตเจ้า ชาวยิวก็ถือตามนี้ เพราะฉะนั้น เจ้าของสวนก็ได้ออกไปจ้างกรรมกรครั้งแรกตอน 6 โมงเช้า ต่อมาก็ 9 โมง เที่ยง
บ่าย 3 โมง และตอนเย็น 6 โมง ตามลำดับ ที่เขาจ้างในเวลาไม่พร้อมกันอาจจะเป็นเพราะว่าครั้งแรกเขาคงคำนวนไม่ดี แล
ะกลัวว่างานคงจะไม่เสร็จอีก จึงต้องจ้างกรรมกรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงประดิษฐ์ขึ้น เพื่อจะเป็นคำสอนของพระองค์มากกว่าก็เป็นได้
ฉันจะให้ค่าจ้างตามความยุติธรรม เจ้าของเสนอค่าจ้างที่ยุติธรรม และยิ่งทียิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ ดีไม่ดีอาจไม่มีใครว่าจ้างก็ได้
แต่ประมาณเวลา 5 โมง เจ้าของได้จ้างกรรมกรอีกพวกหนึ่งตอนเย็นมากแล้วให้ไปทำงานในสวนองุ่น เขาถามพวกนั้นว่า ท
ำไมยืนอยู่เฉย ๆ แทนตลอดทั้งวัน พวกเขาตอบว่าไม่มีใครจ้าง เจ้าของจึงได้ให้พวกเขาไปทำงาน โดยไม่ได้ตกลงราคากันไ
ว้ ส่วนพวกกรรมกรก็ไม่ได้ถามถึงค่าจ้างเช่นเดียวกัน เพราะว่ามีเวลาทำงานเหลือเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น สู้ปล่อยให้นายจ้า
งทำตามความใจดีของเขาดีกว่า จงไปเรียกพวกกรรมกรมา พอ 6 โมงเย็น ทุกคนก็เลิกงาน เจ้าของจึงสั่งให้คนใช้ไปเรียก
พวกกรรมกรมารวมกันเพื่อจะได้รับค่าจ้าง โดยเรื่มจ่ายให้แก่พวกที่มาที่หลังสุดก่อน การจัดแบบนี้จำเป็นสำหรับคำสอนในนิท
านเรื่องนี้ เพราะถ้าหากพวกแรกได้รับเงินก่อน พวกเขาก็คงจะกลับบ้าน และคงไม่ทราบว่าพวกที่มาที่หลังได้รับเท่าไร
พวกที่มาทำงานตอน 5 โมงเย็น ต่างก็ได้รับคนละ 1 เหรียญ เจ้าของไม่ตกลงกับพวกเขาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เท่าไร แต่เนื่องจ
ากเขาเป็นคนมีใจเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารี เขาจึงให้ค่าแรงเท่ากับ 1 วันเต็ม ๆ และเขาก็ให้พวกที่มาทำงานตอนบ่าย 3 โมง ต
อนเที่ยง และตอน 9 โมง คนละ 1 เหรียญ เหมือนกันหมด ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนก็พอใจ เพราะพวกเขาได้รับค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาหวังจะได้รับเสียอีก
แต่เมื่อพวกแรกเข้ามา พวกเขาก็ได้รับคนละ 1 เหรียญ ตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่พวกเขาก็บ่นแสดงความไม่พอใจทันที
ทำไมพวกที่ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวจึงได้รับค่าจ้างเท่ากับพวกเขาซึ่งต้องทำงานหนักตลอดวัน พวกเขาคิดว่านี่เป็นการอยุติธรรม แต่เป็นความอยุติธรรมจริง ๆ หรือ
นี่เพื่อน ผมไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่พวกคุณ ผมได้จ่ายให้พวกคุณคนละ 1 เหรียญ ตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อเช้า ที่ผมให้คนอื่น ๆ คนละ 1 เหรียญ นั่นเป็นเรื่องของผม ผมจะใช้เงินตามใจผมไม่ได้หรือ
คุณอิจฉาตาร้อนที่เห็นผมใจดีหรือ เนื่องจากพวกคุณรู้สึกอิจฉาริษยา พวกคุณจึงเห็นว่าความใจกว้างของผมกลา
ยเป็นความอยุติธรรมไป เจ้าของสวนยุติธรรมที่สุด เพราะเขาได้ทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ทุกประการ ถ้าหากเขาได้จ่ายให้คนอื่น ๆ คนละเหรียญเท่ากัน เขาก็ไม่ผิดความยุติธรรมต่อพวกแรก แต่เขาเป็นคนมีเมตตาจิตต่าง
หาก พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงประทานความสุขตลอดทั้งชั่วนิรันดร ก็คล้าย ๆ กับเจ้าของสวนจ่ายค่าแรงกรรมกรนั่นเอง
บางคนบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยการทรมานกายทรมานใจใช้โทษบาปเสียนาน บางคนกลายเป็นนักบุญใช้เ
วลาเพียงไม่กี่ปี บางทีไม่กี่วันด้วยซ้ำ เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดพระหรรษทานเป็นพิเศษแก่เขา สำหรับทุกคนที่บรรลุถึงอา
ณาจักรสวรรค์ พวกเขาย่อมทราบอยู่ดีว่า รางวัลนั้นใหญ่หลวงเกินกว่าที่เขาจะคิดหรือหวัง นักบุญปอลกล่าวว่า ?ข้าพเจ้าคิดว่า
ความทุกข์ทรมานในโลกของเรานี้ ไม่สมที่จะไปเปรียบเทียบกับสิริมงลในโลกหน้า? (รม 8:18) เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไ
รจากพระเป็นเจ้า ฉะนั้น เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามพระองค์ว่า ทำไมพระองค์ทรงพระทัยดีต่อคนนั้น ต่อคนนี้ ฯลฯ ทั้งนักบุ
ญปอล ซึ่งเคยได้สู้ทนความยากลำบากนานกว่า 30 ปี เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสตเจ้า และโจรที่กลับใจซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าไ
ด้ทรงสัญญาว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์ในวันนั้นเองที่เขากลับใจ ต่างก็ได้รับความยินดีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ โดยอาศัยพระเมตต
าของพระเยซูคริสตเจ้าด้วยกันทั้งคู่ และสำหรับทั้งสองคน พวกเขาก็ได้รับบำเหน็จรางวัลที่มากกว่าที่เขาจะได้รับทั้งคู่
ดังนี้พวกสุดท้ายจะกลายเป็นพวกแรก และพวกแรกจะเป็นพวกสุดท้าย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีใครจะเรียกร้องอะไรจา
กพระเป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้ใคร สำหรับคนบางประเภท พวกฟาริสีที่คิดว่าพวกเขามีสิทธิ์ก่อนคนอื่น ๆ ในอา
ณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า จนกระทั่งว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์นั้น พระเยซูคริสตเจ้าก็ทรงสอนเขาว่าพระเป็นเจ้าจะกระทำต่อพว
กเขาตามความยุติธรรม (1) พวกเขาอาจจะไปสวรรค์ได้ ถ้าหากพวกเขาประพฤติตนเหมาะสม แต่พวกเขาไม่มีหน้าที่ที่จะไป
ห้ามพระเป็นเจ้า พระองค์ก็อิสระและพระองค์จะให้ใครไปสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นพระองค์อาจจะให้ตำแหน่งเท่ากันหรือว่
าสูงกว่าพวกฟาริสีแก่คนอื่น ๆ ก็ได้ คนบาปที่สำนึกผิด ลูกล้างผลาญที่กลับใจ ก็เป็นที่รักใคร่ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ไม่แพ้ลูกคนโตที่อยู่บ้านและไม่ต้องการกลับใจเหมือนกัน
คนเป็นอันมากได้ถูกเรียกแต่น้อยคนถูกเลือก ประโยคนี้คงไม่ใช่อยู่ตอนนี้ แต่เป็นการเติมและเอามาจาก มธ 22:14
|