หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

ขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ และมุกอันประเสริฐ
(มธ 13:44-46)

คำอธิบาย


ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องก่อนๆ พระเยซูเจ้าทรงอธิบายพระราชัยในความสัมพันธ์กับป ระชากรทั้งหมดหรือกับโลก  พระราชัยเปรียบเหมือนต้นไม้ที่เจริญเติบโตและแผ่กิ่งก้านสาขาให้อาหารและที่กำบังแก่นานาชาติ พระราชัยเปรียบเหมือนเชื้อแป้งที่ให้ชีวิตใหม่แ ก่โลก  ในนิทานเปรียบเทียบที่เราได้อ่านมานั้น พระองค์ทรงพระประสงค์จะอธิบายอาณาจักรสวรรค์เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐทีสุด ที่เราสามารถแสวงหาเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ได้

เรื่องขุมทรัพย์และเรื่องไข่มุก เป็นสิ่งที่ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างดี ในประเทศเช่นปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นเมืองผ่าน เพราะมีอาณาจักรใหญ่ๆ อยู่รอบข้าง กล่าวคือ อียิปต์  อัสซีเรีย บาบิโล น  เปอร์เซีย และโรมัน  เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะมีศัตรูคอยบุกรุกและจู่โจมอยู่เสมอ ในเมื่ออาณาจักรใหญ่สู้รบและทำสงครามกัน ชาวปาเลสไตน์มักจะฝังเงินทองและของมีค่าไ ว้ในหลุมศพ ในถ้ำหรือตามท้องทุ่ง  เพราะถือว่าเป็นที่ปลอดภัยมากที่สุด (มธ 25:24) เมื่อเขาได้ข่าว่ามีศัตรูที่มาคุกคามประเทศ โดยหวังจะกลับมาเอาใหม่ บางครั้งเจ้าของเองก็ถูกฆ่า และไม่มีใครทราบว่าเขา ซ่อนทรัพย์สมบัติของเขาไว้ที่ไหน

(ในปี  ค.ศ. 1947 คนเลี้ยงแกะได้พบม้วนพระคัมภีร์ในถ้ำของพวกเจสเชเนสที่กุมราน ใกล้ๆ กับทะเลตาย เข้าใจว่าพวกเขา ซ่อนพระคัมภีร์และกฎวินัยของพวกเขาไว้ เมื่อได้ข่าวว่า แม่ทัพโรมันจะยกทัพมาตีเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 70) ในสมัยเรานี้ยังมี นักโบราณวัตถุที่กำลังขุดตามสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งในประเทศปาเลสไตน์ และในหลายประเทศในตะวันออกใกล้  เช่น ที่อียิปต์และซีเรีย เป็นต้น

พระเยซูเจ้าเล่าว่า ขุมทรัพย์นั้นได้มีคนขุดพบโดยบังเอิญในนาของผู้อื่น  ผู้ขุดพบรีบฝังขุมทรัพย์ไว้ตามเดิมเพราะกลัวว่าคนอื่ นอาจจะมาพบเข้า แล้วเขาก็จัดแจงขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อเอาเงินมาซื้อที่นานั้นจากชาวนา  และดังนี้เขาก็จะได้มีกรรม สิทธิ์ในที่นานั้น  เราทราบว่าเจ้าของเองคงไม่ได้ฝังขุมทรัพย์ไว้แน่  มิฉะนั้นเขาคงไม่ขายแน่  เมื่อเขาเป็นเจ้าของที่นาเขาก็เป็นเจ้าของขุมทรัพย์ด้วยตามกฎหมายยิว  และกฎหมายโรมัน

บางคนจะว่าคนที่ขุดพบนั้นโกงเจ้าของนา เพราะเมื่อพบแล้วก็อุบเงียบไว้แถมยังหาเงินมาซื้อที่นาด้วย ขอตอบว่าเขาคงคิดถึ งเรื่องความยุติธรรมอยู่เหมือนกัน เขาจึงได้หาเงินมาซื้อ  ถ้าหากเขาไม่คิดถึงเรื่องความยุติธรรมเขาคงจะขโมยไปแล้ว เพราะเจ้าของนาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

อย่างไรก็ดี  เราควรจะจำไว้ด้วยว่า  ไม่ใช่ทุกตอนในนิทานเปรียบเทียบเป็นบทเรียนที่เราจะต้องเอาอย่างเสมอ หรือเป็นสิ่งที่ผู้ พูดต้องการเน้น แต่เราจะต้องดูจุดสำคัญในการเปรียบเทียบนั้นว่า  พระองค์ต้องการเน้นอะไร  เป็นต้นทางด้านวิญญาณ

ถ้าหากเราจะเปรียบเทียบนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องนี้ เราจะเห็นว่ามีคำสอนที่เหมือนกันคือ อาณาจักรสวรรค์มีค่าหาขอ บเขตมิได้  พวกเขายินดีเวลาพบ และคนฉลาดก็ย่อมขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะได้เอาเงินมาซื้อมันให้ได้ แต่เราก็พบความแตกต่างในนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องนี้  คือ

กรรมกรที่ไถนานั้นพบขุมทรัพย์โดยบังเอิญ เขาไม่ได้ขุดดินเพื่อหาขุมทรัพย์  แต่พ่อค้านั้นพยายามแสวงหาไข่มุกนั้นด้วยความตั้งใจ

พระเยซูเจ้าขณะที่เล่านิทานเปรียบเทียบนั้นอาจจะคิดถึงคนต่างศาสนาที่พบอาณาจักรสวรรค์โดยบังเอิญ และพระองค์อาจจะคิ ดถึงชาวยิว ซึ่งกำลังแสวงหาพระราชัยด้วยความกระตือรือร้น  หรือคนอื่นๆ ที่กำลังแสวงหาความจริงอย่างขะมักเขม้น ในประ วัติศาสตร์พระศาสนจักร  เราเห็นว่ามีนักบุญหลายองค์ได้พบอาณาจักรสวรรค์โดยบังเอิญ เช่น นักบุญปอล  นักบุญเอากุสติน และนักบุญอิกญาซีโอ และก็มีอีกหลายองค์ได้พบอาณาจักรโดยพยายามแสวงหาด้วยใจเร่าร้อน เช่น อัครสาวก นักบุญฟรังซิส นักบุญดอมินิก  เป็นต้น และในปัจจุบันเราก็ยังคงพบคนทั้งสองจำพวกนี้เสมอ

คำสอน


จากนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องนี้เราได้บทเรียนว่า เราทุกคนถูกเชื้อเชิญให้เอาเยี่ยงอย่างของผู้ฉลาดทั้งสอง คือ เราจะต้องยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อเราจะได้ความบรมสุขตลอดนิรันดร เป็นกรรมสิทธิ์ในพระอาณาจักร ก้าวแรกที่เราทุกคนจะต้องตัดสินใจทำก็คือ เราจะต้องเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้น และในพระศาสนจักรเท่านั้นที่เราจะพบหนทางหรือวิถีทางที่จะนำเราไปสู่การยึดครองขุมทรัพย์อันประเสริฐนั้น

พระเยซูคริสตเจ้ามิได้แต่เพียงมอบแผนที่ให้แก่พระศาสนจักรที่แสดงหนทางที่ถูกต้องที่จะนำเราไปสู่ขุมทรัพย์อันประเสริฐนั้นเท่านั้น  แต่พระองค์ยังจัดพาหนะและความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อให้เราเดินทางไปถึงเป้าหมายด้วย  ถูกแล้วมีคนที่มีน้ำใจดีมากมายที่เพราะเหตุผลบางประการไม่สามารถจะก้าวเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกในพระศาสนจักรอย่างเปิดเผยได้ เราทราบว่าถ้าหากเขาแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจจริง พระองค์ก็จะประทานวิธีให้เขาบรรลุความจริงอันนั้น  แต่น่าเสียดาย ที่เราเห็นว่ามนุษย์เป็นจำนวนมาก  ที่ไม่ยอมเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า  เพราะความเห็นแก่ตัว เช่นเพราะเกียรติยศ  ชื่อเสียง เงินทอง  ความสะดวกสบาย เป็นต้น

ความรักต่อตัวเองนี้จะยังคงเป็นอุปสรรคที่คอยกีดกันไม่ให้คนมากมายบรรลุถึงขุมทรัพย์นิรันดร  แม้เขาได้ก้าวเข้ามาอยู่ในพระศาสนจักรแล้วก็ตาม

ในฐานะที่เป็นสมาชิกของอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสตเจ้าบนแผ่นดินนี้  เราต้องไม่ลืมว่าเรายังจะต้องเสียสละตัวเราเอง ถ้าหากเราต้องการจะซื้อขุมทรัพย์หรือความสุขชั่วนิรันดรนั้น พระเยซูคริสตเจ้าเองได้ทรงตรัสสอนเราว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่พูดกับเราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ต่างหากที่จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์” (มธ 7:21)

ฉะนั้น ไม่เป็นการเพียงพอเลยที่เราจะรับศีลล้างบาปและได้ชื่อว่าเป็นคาทอลิก    และรับรู้ว่าพระเยซู คริสตเจ้าเป็นผู้นำและพระเป็นเจ้าของเรา เราจะต้องดำรงชีพตามความเชื่อโดยถือตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า  และของพระศาสนจักรอย่างครบครัน  พูดง่าย ๆ เราต้องแบกกางเขนและเดินตามรอยพระบาทพระอาจารย์เจ้าทุกวัน

ความรักต่อตัวเราเอง  ความรักต่อร่างกาย ความรักต่อความสะดวกสบายและความสนุกสนานในโลกนี้ จะเป็นเครื่องกีดขวางและไม่ยอมให้เราทำตามการตัดสินใจของเราอย่างง่าย

พวกเราส่วนใหญ่ ยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่าง แต่มักจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญเท่าไร หลายคนอาจจะยอมเสียสละหลายสิ่งหลายอ่างและบางทีเป็นสิ่งที่สำคัญเสียด้วย แต่ในสมัยของเรามีน้อยคนเหลือเกินที่จะชอบเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้หรือกับมุกอันประเสริฐ

โปรดจำไว้ว่า กรรมกรและพ่อค้าที่ฉลาดนั้นได้ยอมสละสารพัดที่เขามี เพื่อสารพัดที่ประเสริฐกว่ามากนัก   การสละสารพัดหมายความว่า เราต้องสละโลกและสมัครเข้าอามรามถือศีลบนพรหมจรรย์ ความยากจน  และความนบนอบใช่ไหม

สวรรค์อยู่ในเอื้อมแขนของมนุษย์ทุกคนทั้งชาย-หญิง  แม้เขาจะดำรงชีพอยู่ท่ามกลางโลกด้วย  และเขาอาจจะลิ้มรสความสนุกสนานเพลิดเพลินในโลก  ถ้าหากว่าความสนุกสนานนั้นอยู่ในขอบเขตของพระบัญญัติพระเป็นเจ้า และถ้าเขาจะยึดสวรรค์เป็นเป้าหมายชีวิตของเขาอยู่เสมอ แต่การที่จะดำรงชีพอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือภายในขอบเขตของพระบัญญัติก็ไม่ใช่เป็นสิ่งง่ายนัก  แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำศีลบนความนบนอบ แต่เขาก็ต้องนบนอบต่อผู้ใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งโดยถูกต้อง เราอาจจะมีทรัพย์สมบัติโดยหามาอย่างถูกต้อง  แต่เราต้องใช้มันอย่างถูกต้องเพื่อพระนามของพระเป็นเจ้า และเพื่อมนุษย์ที่ยากจน และเราต้องดำรงชีพภายใต้กฎบัญญัติของพระเป็นเจ้า  ไม่ใช่ของง่ายสำหรับมนุษย์เรา  การเสียสละน้ำใจเป็นการเสียสละที่แท้จริง กรรมกรผู้นั้นและพ่อค้าคนนั้นที่พระเยซูเจ้าเล่าในนิทานเปรียบเทียบก็ต้องเสียสละไม่ใช้นิดหน่อยเลย ในเมื่อเขาจะต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับของที่เขาจะได้รับแล้ว  ของเขาสูญเสียก็เป็นเรื่องขี้ผง

ในเวลาที่เรามีจิตใจผ่องใสและทำตามเหตุผล เรายอมรับว่าความสุขชั่วนิรันดรนั้นมีคุณค่ามากกว่าอาณาจักรของโลกนี้  แต่ถึงกระนั้นก็ดี หลาย ๆ คนก็เอามันไปแลกกับความสนุกอันต้องห้ามชั่วครู่ชั่ววยาม แลกกับผลกำไรที่ได้มาทางทุจริต ในศตวรรษที่ 20 ของเรานี้ เราเห็นว่ามนุษย์ทุกคนมุ่งแต่หาความสะดวก  ความสนุกทางฝ่ายเนื้อหนัง พวกเขาไม่สู้จะมีเวลาคิดถึงวิญญาณของเขา หรือคุณค่าทางด้านวิญญาณนัก และแม้แต่พวกที่เชื่อว่าหลังจากความตายแล้วยังมีชีวิตนิรันดร ถึงกระนั้นก็ดี  เขาก็ยังไม่ดำรงชีพตามความเชื่อนั้น  ตัวอย่างไม่ดีมากมายเหล่านี้เราก็ไม่สามารถเอาเป็นข้อแก้ตัวหรือประพฤติตามได้  พระบัญญัติของพระเป็นเจ้าผูกมัดเราและเราจะต้องถือตาม แม้ว่ามีคนเป็นอันมากไม่ยอมถือในสมัยนี้ก็ตาม ในวันพิพากษา พระองค์จะไม่ถามเราว่า  คนอื่นๆ เขาทำอะไรกัน แต่พระองค์จะถามเราว่า “เจ้าทำอะไร” ถ้าหากเราต้องสูญเสียมุกอันล้ำค่า  กล่าวคือ  อาณาจักรสวรรค์  หรือความสุขชั่วนิรันดร  ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา เราอย่าไปโทษผู้อื่น  แต่จะต้องโทษตัวเราเอง เพราะเราไม่ยอมเสียสละความรักต่อตัวเราเอง พระอาจารย์เจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก” (มธ 10:39)
 

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ