ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องก่อนๆ พระเยซูเจ้าทรงอธิบายพระราชัยในความสัมพันธ์กับป
ระชากรทั้งหมดหรือกับโลก พระราชัยเปรียบเหมือนต้นไม้ที่เจริญเติบโตและแผ่กิ่งก้านสาขาให้อาหารและที่กำบังแก่นานาชาติ พระราชัยเปรียบเหมือนเชื้อแป้งที่ให้ชีวิตใหม่แ
ก่โลก ในนิทานเปรียบเทียบที่เราได้อ่านมานั้น พระองค์ทรงพระประสงค์จะอธิบายอาณาจักรสวรรค์เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐทีสุด ที่เราสามารถแสวงหาเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ได้
เรื่องขุมทรัพย์และเรื่องไข่มุก เป็นสิ่งที่ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างดี ในประเทศเช่นปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นเมืองผ่าน เพราะมีอาณาจักรใหญ่ๆ อยู่รอบข้าง กล่าวคือ อียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโล
น เปอร์เซีย และโรมัน เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะมีศัตรูคอยบุกรุกและจู่โจมอยู่เสมอ ในเมื่ออาณาจักรใหญ่สู้รบและทำสงครามกัน ชาวปาเลสไตน์มักจะฝังเงินทองและของมีค่าไ
ว้ในหลุมศพ ในถ้ำหรือตามท้องทุ่ง เพราะถือว่าเป็นที่ปลอดภัยมากที่สุด (มธ 25:24) เมื่อเขาได้ข่าว่ามีศัตรูที่มาคุกคามประเทศ โดยหวังจะกลับมาเอาใหม่ บางครั้งเจ้าของเองก็ถูกฆ่า และไม่มีใครทราบว่าเขา
ซ่อนทรัพย์สมบัติของเขาไว้ที่ไหน
(ในปี ค.ศ. 1947 คนเลี้ยงแกะได้พบม้วนพระคัมภีร์ในถ้ำของพวกเจสเชเนสที่กุมราน ใกล้ๆ กับทะเลตาย เข้าใจว่าพวกเขา
ซ่อนพระคัมภีร์และกฎวินัยของพวกเขาไว้ เมื่อได้ข่าวว่า แม่ทัพโรมันจะยกทัพมาตีเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 70) ในสมัยเรานี้ยังมี
นักโบราณวัตถุที่กำลังขุดตามสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งในประเทศปาเลสไตน์ และในหลายประเทศในตะวันออกใกล้ เช่น ที่อียิปต์และซีเรีย เป็นต้น
พระเยซูเจ้าเล่าว่า ขุมทรัพย์นั้นได้มีคนขุดพบโดยบังเอิญในนาของผู้อื่น ผู้ขุดพบรีบฝังขุมทรัพย์ไว้ตามเดิมเพราะกลัวว่าคนอื่
นอาจจะมาพบเข้า แล้วเขาก็จัดแจงขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อเอาเงินมาซื้อที่นานั้นจากชาวนา และดังนี้เขาก็จะได้มีกรรม
สิทธิ์ในที่นานั้น เราทราบว่าเจ้าของเองคงไม่ได้ฝังขุมทรัพย์ไว้แน่ มิฉะนั้นเขาคงไม่ขายแน่ เมื่อเขาเป็นเจ้าของที่นาเขาก็เป็นเจ้าของขุมทรัพย์ด้วยตามกฎหมายยิว และกฎหมายโรมัน
บางคนจะว่าคนที่ขุดพบนั้นโกงเจ้าของนา เพราะเมื่อพบแล้วก็อุบเงียบไว้แถมยังหาเงินมาซื้อที่นาด้วย ขอตอบว่าเขาคงคิดถึ
งเรื่องความยุติธรรมอยู่เหมือนกัน เขาจึงได้หาเงินมาซื้อ ถ้าหากเขาไม่คิดถึงเรื่องความยุติธรรมเขาคงจะขโมยไปแล้ว เพราะเจ้าของนาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
อย่างไรก็ดี เราควรจะจำไว้ด้วยว่า ไม่ใช่ทุกตอนในนิทานเปรียบเทียบเป็นบทเรียนที่เราจะต้องเอาอย่างเสมอ หรือเป็นสิ่งที่ผู้
พูดต้องการเน้น แต่เราจะต้องดูจุดสำคัญในการเปรียบเทียบนั้นว่า พระองค์ต้องการเน้นอะไร เป็นต้นทางด้านวิญญาณ
ถ้าหากเราจะเปรียบเทียบนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องนี้ เราจะเห็นว่ามีคำสอนที่เหมือนกันคือ อาณาจักรสวรรค์มีค่าหาขอ
บเขตมิได้ พวกเขายินดีเวลาพบ และคนฉลาดก็ย่อมขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะได้เอาเงินมาซื้อมันให้ได้ แต่เราก็พบความแตกต่างในนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องนี้ คือ
กรรมกรที่ไถนานั้นพบขุมทรัพย์โดยบังเอิญ เขาไม่ได้ขุดดินเพื่อหาขุมทรัพย์ แต่พ่อค้านั้นพยายามแสวงหาไข่มุกนั้นด้วยความตั้งใจ
พระเยซูเจ้าขณะที่เล่านิทานเปรียบเทียบนั้นอาจจะคิดถึงคนต่างศาสนาที่พบอาณาจักรสวรรค์โดยบังเอิญ และพระองค์อาจจะคิ
ดถึงชาวยิว ซึ่งกำลังแสวงหาพระราชัยด้วยความกระตือรือร้น หรือคนอื่นๆ ที่กำลังแสวงหาความจริงอย่างขะมักเขม้น ในประ
วัติศาสตร์พระศาสนจักร เราเห็นว่ามีนักบุญหลายองค์ได้พบอาณาจักรสวรรค์โดยบังเอิญ เช่น นักบุญปอล นักบุญเอากุสติน
และนักบุญอิกญาซีโอ และก็มีอีกหลายองค์ได้พบอาณาจักรโดยพยายามแสวงหาด้วยใจเร่าร้อน เช่น อัครสาวก นักบุญฟรังซิส นักบุญดอมินิก เป็นต้น และในปัจจุบันเราก็ยังคงพบคนทั้งสองจำพวกนี้เสมอ
|