หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

คำภาวนาที่ได้ผล
ลก 11:11-33 เทียบ มธ 7:7-11, ยน 14:13-14

คำอธิบาย

นิทานเปรียบเทียบสั้น ๆ เรื่องนี้ นักบุญมัทธิวได้ใส่ไว้ในภาคบทเทศน์บนภูเขา แต่นักบุญลูก าใส่ไว้หลังจากนิทานเปรียบเทียบเรื่องเพื่อนบ้านในยามเที่ยงคืนทั้งในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว และนักบุญลูกา  พระเยซูคริสตเจ้าได้ตรัสเตือนไว้ก่อนแล้วว่า ?จงขอเถิด  แล้ วท่านจะได้รับ  จงแสวงหาเถิด  และท่านจะพบ จงเคาะเถิด และเขาจะเปิดประตูให้ท่าน เพราะว่าใครที่ขอก็ได้รับ ใครที่แสวงหาก็พบ และใครที่เคาะก็จะมีคนเปิดประตูให้(มธ 7:7, ลก 11:9-10) ที่พระองค์ตรัสดังนี้ก็เพื่อจะสอนเราว่า  ใครที่ภาวนาด้วยความจริงใจร้อนรน เขาก็จะได้รับคำตอบอย่างจริงใจ เช่นเดียวกัน ศัพท์ที่พระองค์เลือกมาใช้  3 คำ  คือ ขอ แสวงห า  และ เคาะ แม้จะต่างกัน แต่ก็ต้องการเน้นเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ เราจะต้องทำให้พระองค์ทรงทราบคำภาวนาของเรา  พระองค์ตรัสว่าเราจะต้องมีความไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยมในพระเป็นเจ้าเมื่อเราภาวนา

ถ้าเขาขอก้อนขนมปังจากพ่อของเขา พ่อจะให้ก้อนหินเขาหรือ   ไม่มีพ่อคนไหนในโลกที่โหดร้ายจนกระทั่งหยิบหินให้ลูกที่กำลังหิวขอขนมปัง

หรือว่าเมื่อลูกขอไข่ ก็ยื่นแมลงป่องให้  ในปาเลสไตน์มีแมลงป่องขาว  แต่ถ้าเราจะเปรียบเทียบแมลงป่องกับไข่  เราก็ไม่สู้จะเห็ นว่ามันคล้ายกันอย่างไร แต่ว่าเด็ก ๆ อาจจะถูกหลอกให้รับเอาแมลงป่องได้  พ่อชนิดนี้ไม่เพียงแต่หลอกลวง  แต่ใจร้ายด้วย
ถ้าพวกท่านแม้จะเป็นคนไม่ดี ถ้าหากมนุษย์เราทั้งที่มีขอบเขตจำกัด  และมีข้อขาดตกบกพร่องมากมายเนื่องจากบาปกำเนิดและบาปที่เราทำเอง  ยังมีความนึกคิดที่ดีและมีใจเมตตากรุณาถึงเพียงนั้น

พระบิดาของท่านผู้ประทับอยู่ในสวรรค์  ทรงมีพระทัยเมตตามากว่าสักเพียงไร  พระบิดาเจ้าผู้ซึ่งทรงรักเรามากกว่าความรักของ บิดาใด ๆ ในโลก จะทรงประทานพระหรรษทานและพระคุณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระคุณฝ่ายกายหรือฝ่ายวิญญาณจากสวรรค์  แด่ผู้ที่วิงวอนของพระกรุณาจากพระองค์

คำสอน

ความไว้วางใจอย่างแท้จริงแบบเด็กต่อพระเป็นเจ้านั้นเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น เพื่อให้คำภาวนาของเราบังเกิดผลตามความปรารถนา นี่แหละเป็นสิ่งที่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงสอนเราในนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้  เพราะเหตุนี้แหละเมื่อพระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ให้ภาวนา พระองค์ได้สอนพวกเขาให้เรียกพระเป็นเจ้าว่า  ??ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย  พระองค์สถิตอยู่ในสวรรค์ ???พระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน  เป็นบิดาของเรา  เป็นคุณพ่อที่สนใจและห่วงใยต่อพวกเราแต่ละคน  ความรักของพระองค์ต่อเรามีมากมาย  จนกระทั่งว่า  พระองค์ได้ทรงส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ให้เสด็จมาในโลกเพื่อไถ่บาปของเรา โดยยอมรับทนทรมานอย่างสาหัสและสิ้นพระชนม์อย่างน่าอับอายขายหน้าบนไม้กางเขน นี่แหละเป็นความสัมพันธ์ของพระเป็นเจ้าที่มีต่อเรา  พระองค์ไม่ใช่แต่เป็นเพียงพระเป็นเจ้าผู้สูงสุด ทรงฤทธิ์ทุกประการ  ห่างไกลจากมนุษย์ที่เป็นผู้อ่อนแอ  และคนบาป  พระผู้สร้างสากลจักรวาล ทรงรอบรู้สารพัด  และครบครันทุกประการเท่านั้น แต่ว่าพระองค์ยังทรงเป็น (1)

พ่อที่รักเราทุก ๆ คน เป็นรายบุคคล และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้เรามีส่วนร่วมในความบรมสุขตลอดทั้งชี่วนิรันดรกับพระองค์ ถูกแล้ว  พระเป็นเจ้าเป็นคุณพ่อของเรา (2)เมื่อเราคิดได้เช่นนี้  เราช่างมีความสุขและมีความบรรเทาใจจริง ๆ และทำให้เรามีความไว้วางใจต่อพระเป็นเจ้ายิ่งวันยิ่งมากขึ้น

เมื่อเราเข้ามาหาพระบิดาเจ้าเพื่อภาวนา  เราไม่ได้เข้ามาเหมือนกับทาสเข้าหานาย  ไม่ใช่เหมือนประชากรเข้าไปหาอาณาจักรสวรรค์  ไม่ใช่เหมือนกับเพื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนด้วยกัน แต่เหมือนกับลูกเข้าไปหาพ่อ พ่อที่ไม่ใช่แต่เพียงสามารถที่บันดาลทุกสิ่งที่เราขอให้แก่เราเท่านั้น แต่ว่าพร้อมจะช่วยเหลือเราอยู่เสมอ  ถ้าหากสิ่งที่เราขอนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างแท้จริง

บิดาที่พระเยซูคริสตเจ้าได้บรรยายไว้ในนิทานเปรียบเทียบคงจะไม่มีใจเป็นมนุษย์หรือคงไม่ใช่พ่อที่แท้จริง  ถ้าหากเขาไม่ยอมให้ทุกสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแก่ลูกของตน พระบิดาเจ้าสวรรค์เมื่อได้รับเราเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว  พระองค์จะทรงบำรุงเลี้ยงดูเรา  และประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่เรา (1)บิดาของเราแม้อยากช่วยเรา แต่บางครั้งก็ช่วยไม่ได้  เนื่องจาหม่มีความสามารถทุกอย่าง แต่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ  เมื่อพระองค์ทรงปรารถนาจะช่วยเราพระองค์ก็ย่อมสามารถช่วยได้จริง ๆ คำสอนที่ชัดแจ้งในนิทานเปรียบเทียบก็คือ  เราจะต้องมีความไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระบิดาเจ้าสวรรค์ในฐานะที่เราเป็นบุตาของพระองค์จริง ๆ (2)

บางคนอาจจะแย้งว่า  ทำไมหลาย ๆ ครั้งในการภาวนา  เราไม่ได้รับตามที่เราขอทั้ง ๆ ที่เราก็วางใจในพระองค์  และสิ่งที่เราขอก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราเองจริง

ขอให้เราพิจารณา 2 ข้อต่อไปนี้  คือ เราได้มีความไว้วางใจอย่างแท้จริง ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า  ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องมีความเชื่อมั่นจริง ๆ ว่าเราเป็นลูกพระ  และจุดประสงค์แต่ประการเดียวของชีวิตของเราก็คือ  เราจะต้องรับใช้พระองค์ในโลกนี้ เพื่อว่าเราจะมีส่วนร่วมในความสุขกับพระองค์ในสวรรค์ ข้อพิสูจน์ว่าเรามีความเชื่อมั่นเช่นนี้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวิธีดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เพราะถ้าหากเราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ความเชื่อนั้นจะต้องมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเรา

คนใจโลกที่สาละวนแต่ของ ๆ โลก และคิดถึงพระเป็นเจ้าเฉพาะตอนที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ เป็นต้น  ทางด้านวัตถุ คนชนิดนี้สมจะได้ชื่อว่าเป็นลูกที่น่ารักของพระเป็นเจ้าสมควรจะได้รับความเอาใจใส่จากพระบิดาเจ้าสวรรค์หรือ??ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องลูกช่างล้างช่างผลาญนั้น  ถ้าหากลูกคนเล็กเขียนจดหมายถึงบิดาของเขาเพื่อขอเงินไปจับจ่ายใช้สอยตามที่เขาต้องการ เราจะแปลกใจไหม ถ้าหากพ่อของเขาไม่ยอมส่งเงินไปให้ พระเป็นเจ้าทรงฟังคำภาวนาของคนบาปบ่อย ๆ แต่ต้องมีเงื่อนไขว่าเขาต้องสำนึกใจความผิด  และต้องการที่จะกลับกลายเป็นลูกอย่างแท้จริงของพระเป็นเจ้า  ลูกล้างผลาญได้รับการต้อนรับในฐานะที่เป็นลูกเฉพาะ เมื่อเขาสำนึกตัวกลับใจและกลับบ้านเท่านั้น  ความไว้วางใจต่อพระเป็นเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและมีอิทธิพลต่อความประพฤติของเรา  และเมื่อเราบำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดีของพระอยู่เสมอเช่นนี้  พระองค์จะทรงฟังคำภาวนาของเรา

เงื่อนไขประการที่สอง ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราขอ  กล่าวคือ  สิ่งที่เราขอนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง และในที่สุดเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างแท้จริงหรือไม่  พ่อบางคนนั้นเป็นคนที่น่ารักใจดี แต่บางครั้งได้ให้บางสิ่งบางอย่างให้แก่ลูกซึ่งนำความเศร้าใจมาให้แก่ทั้งพ่อและลูกจนตลอดชีวิต  ทั้งนี้ก็เพราะว่า พ่อในฐานะที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้สารพัด  สิ่งที่มอบให้แก่ลูกคิดว่าดีมีประโยชน์ แต่ที่แท้กลับกลายเป็นภัยโทษให้แก่ลูก เพราะเขาไม่สามารถทราบถึงอนาคตได้ สำหรับพระบิดาเจ้าไม่ใช่เช่นนั้น  พระองค์รักลูก ๆ ของพระองค์ทุกคน  พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรจะเป็นคุณประโยชน์ในขั้นสุดท้าย เพราะฉะนั้น  อะไรที่อาจจะเป็นอันตรายสำหรับผู้ขอซึ่งบางทีอาจจะคิดไม่รอบคอบ พระองค์ก็ย่อมจะปฏิเสธ  แต่ฐานะที่เราเป็นมนุษย์เราอาจจะรู้สึกเศร้าหรือไม่พอใจทั้งไม่ยอมเข้าใจว่า  ทำไมพระเป็นเจ้าจึงไม่ประทานให้แก่เราตามที่เราขอทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าสิ่งที่เราขอนั้นมีประโยชน์ต่อเราอย่างแน่นอน เรามักจะมีสายตาสั้น  เราไม่สามารถทราบทุกสิ่ง เราต้องการในขณะนั้นเท่านั้น  แต่พระเป็นเจ้าทรงแลเห็นแผนชีวิตของเราทั้งหมด

ขอให้เรากล้าสู้ความจริง  คนส่วนใหญ่และบางทีเราก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แม้จะเป็นคริสตชนที่เลื่อมใสศรัทธา  ร้อนรน  ต้องการจะไปสวรรค์  โดยหนทางที่ราบรื่นปราศจากหนาม เพราะฉะนั้น  คำภาวนาของเราในจำนวน  100ครั้ง เราจะขอให้พระเป็นเจ้ายกเอากางเขนออกไปเสียสัก 99 ครั้ง หรือบางที 100 ครั้งเลยทีเดียว  ข้อยกเว้นอาจจะมีขึ้นได้สำหรับวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักบุญที่พร้อมที่จะรับแบกกางเขนที่พระเป็นเจ้าจะยื่นให้เสมอ  สมมุติว่าเราเป็นพระเป็นเจ้า และเราทราบว่าหนทางกางเขนเป็นวิธีที่จะทำให้มนุษย์ผู้อ่อนแอสามารถที่จะกลายเป็นผู้เข้มแข็ง  ชนะตัวเอง และบันดาลให้เขาได้รับความสุขในสวรรค์ เราจะยกกางเขนหรือความยากลำบากออกไปจากผู้ภาวนาหรือไม่

พระเป็นเจ้าทรงตอบคำภาวนาที่ออกมาจากจิตใจจริง ๆ คำภาวนาใด ๆ ก็ตาม  ถ้าหากว่าจะเกิดผลประโยชน์แก่เราในที่สุดพระองค์จะทรงประทานให้  และหลาย ๆ ครั้ง พระองค์ประทานพระคุณที่มีประโยชน์มากกว่าที่เราขอเสียอีก เพราะวิถีชีวิตของเรานั้นหาได้พ้นจากสายพระเนตรของพระองค์ไม่  ถ้าหากเราพิจารณาในประวัติศาสตร์แห่งความรอดว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำต่อมนุษย์อย่างไร  เราคงจะพบความจริงข้อนี้ ถ้าหากว่าพระเป็นเจ้าทรงฟังคำภาวนาของยากอบ  ยอแซฟบุตรชายของท่านก็คงไม่ถูกจับ ถูกเฆี่ยนตี  ถูกฆ่า  และในระหว่างนั้น  เราก็ทราบว่าบรรดาคริสตชนที่กลับใจต่างก็วอนขอพระเป็นเจ้าเพื่อว่าอัครสาวกจะได้พ้นจากคุก  เพื่อจะได้ประกาศอาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า  ถึงกระนั้นก็ดี  การพลีชีพเพื่อพระคริสตเจ้าได้บันดาลให้คนเป็นอันมากได้กลับใจมากมายทีเดียว  และแม้พวกเขาจะได้รอดจากคุกและเทศน์เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ก็คงไม่สามารถทำให้คนได้กลับใจมากมายถึงเพียงนั้น

จงขอเถิด และท่านจะได้รับ  พระอาจารย์เจ้าได้ตรัสไว้ดังดนี้ ขอให้เราพิจารณาถึงชีวิตส่วนตัวของเราในอดีต และดูซิว่าเราเคยได้รับตามที่เราภาวนาหรือไม่ หรือว่าบางครั้งเราได้รับพระคุณที่ประเสริฐกว่าที่เราขอเสียอีก หรือว่าถ้าหากพระเป็นเจ้าทรงโปรดตามที่เราขอ เราก็คงจะต้องประสบหายนะอย่างใหญ่หลวงแล้วก็เป็นได้

ขอให้เราเข้าไปหาพระบิดาเจ้าด้วยความไว้วางใจในฐานะที่เป็นบุตรของพระองค์จริง ๆ ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นความต้องการฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายวัตถุและเราจะได้รับอย่างแน่นอน

จงจำไว้ว่า พระเป็นเจ้าจะไม่ประทานก้อนหินให้เรารับประทานแทนขนมปัง  แต่บางครั้งเราอาจจะขอก้อนหินก็เป็นได้ เนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ถึงกระนั้นพระบิดาผู้ทรงพระทัยดีก็จะไม่ยื่นก้อนหินให้แก่เรา  แต่จะให้ขนมปังแทนทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ขอด้วยซ้ำไป

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ