พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อจะสอนผู้ที่ฟังพระวาจาของ
พระองค์ว่า ฤทธิ์กุศลความสุภาพนั้นเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการติดต่อกับพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยอารีอันปราศจากขอบเขต แต่พระองค์ก็ทรงๆไว้ซึ่
งความยุติธรรมที่สุดด้วย พระองค์ได้ทรงประทานทั้งวิญญาณและร่างกายให้แก่มนุษย์เป็นของกำนัล ถ้าหากว่ามนุษย์ลืมความจริงข้อนี้ โดยคิดว่า อะไรที่มีเกียรติและที่
ดีงามทั้งหลายที่เขาทำก็มาจากเขาเองทั้งนั้น เขาก็เป็นคนที่ไม่ซื่อตรง ความจองหองพองขนของมนุษย์เราก็เป็นความไม่ซื่อตรงนี่เอง
การที่พระเยซูคริสตเจ้ายกตัวอย่างโดยพูดถึงฟาริสีและคนเก็บภาษีนับว่าเหมาะอย่าง
ยิ่ง และผู้ฟังพระวาจาทั้งหลายย่อมเข้าใจได้ดี
พวกฟาริสีเป็นพวกนักบุญในสมัยนั้น อย่างน้อยตามความนึกคิดของเขา พวกเขาประมาทคนอื่น ๆ ทั้งหลาย พวกเขาเท่านั้น
ที่ถือพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พวกเขาเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะมีส่วนร่วมในอาณาจักรสวรรค์ คนอื่น ๆ เป็นคนบาป และเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าไม่ทรงโปรดปราน
ตรงกันข้าม คนเก็บภาษีในสมัยนั้น ใคร ๆ ก็ถือว่าเป็นคนบาปโดยเปิดเผย ทั้งนี้ก็เพราะว่าในการเก็บภาษีตามจังหวัดต่าง ๆ
ในประเทศปาเลสไตน์นั้น ทางรัฐบาลกรุงโรมเปิดโอกาสให้มีการประมูล ถ้าหากใครประมูลได้ก็ทำหน้าที่เก็บภาษีในแคว้นนั้น
ๆ โดยพยายามหากำไรให้มากที่สุดเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และในหลาย ๆ กรณี เนื่องจากชาวบ้านเป็นคนธรรมดาไม่มี
ความรู้เกี่ยวกับการเสียภาษี พวกคนเก็บภาษีจึงหาทางรีดนาทาเร้น และเก็บภาษีสูง ๆ เป็นการเองเปรียบและขูดเลือดขูดเนื้อ
ประชาชน อนึ่ง ในจำพวกคนเก็บภาษีนี้ มีหลายคนที่เป็นชาวยิว และใคร ๆ ก็เกลียดเขาทั้งนั้น เพราะสาเหตุดังกล่าว และในฐานะที่เขาเป็นเครื่องมือของพวกโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนาด้วย
ใคร ๆ ก็ถือว่าคนเก็บภาษีเป็นผู้ที่ทรยศต่อชาติ ต่อศาสนา โดยร่วมมือกับชาวโรมันซึ่งปกครองชาวยิวอยู่ในสมัยนั้น
พระอาจารย์เจ้าทรงเล่าว่าทั้งฟาริสีและคนเก็บภาษีต่างก็ขึ้นไปภาวนาในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์บรรยายถึงคำภาวนาของพวกเขา และพระองค์ได้ตรัสกับเราว่า พระเป็นเจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา
ฟาริสียืนภาวนา ดังนี้ คำภาวนาของฟาริสีเป็นคำภาวนาของคนสู่รู้ จองหอง คิดว่าตัวเองได้ประกอบคุณงามคว
ามดีต่าง ๆ ตามภายนอกแล้ว และประมาทคนอื่น ๆ ซึ่งเขาคิดว่าคงไมีมีคุณงามความดีอะไร และไม่เหมือนกับเขา
ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกขอขอบพระคุณพระองค์ที่ลูกไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ การขอบพระคุณพระเป็นเจ้าเพราะได้ประพฤติตนเป็
นคนดี เป็นการภาวนาที่คู่ควรแก่คำสรรเสริญ ถ้าหากว่าผู้ภาวนานั้นเป็นคนจริงใจ แต่เราทราบว่าคำภาวนาของฟาริสีผู้นี้ไม่มี
ความจริงใจเลย เพราะเหตุว่าเขาคิดว่าเขาเป็นคนดี และเขาได้ประมาทผู้อื่น เพราะฉะนั้น ความหมายที่แท้จริงของคำภาว
นาของเขาก็คือ ?ข้าแต่พระเป็นเจ้า พระองค์ควารจะขอบคุณที่มีนักบุญองค์หนึ่งเหมือนกับลูก ส่วนคนอื่น ๆ นั้นเป็นแต่เพียงคนบาปทั้งหลาย ทำไมพระองค์ยังคงทนอยู่ได้ โดยไม่ลงโทษเขา
คนที่ผิดความยุติธรรม คนที่คบชู้ ฯลฯ ความอยุติธรรมและความผิดต่อความบริสุทธิ์เป็นบาปที่ผิดต่อพระบัญญัติของพระเป็
นเจ้า และในสมัยนั้นก็เหมือนในสมัยนี้ ที่มีผู้ทำบาปชนิดนี้มากมาย แต่ว่าบาปที่น่ากลัวมากกว่าบาปทั้งสองประการก์คือ บาป
จองหอง ซึ่งเป็นบาปที่ปีศาจและอาดัมได้ทำ คนที่ฉ้อโกงและคนที่คบชู้อาจจะยอมรับผิดและอาจจะของสมาโทษจากพระเป็นเ
จ้าและพระองค์จะทรงเมตตา มหาโจรที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระองค์และมารีชาวมักดาเลนา ต่างก็ได้รับอภัยโทษจากพร
ะเป็นเจ้า แต่ว่าคนที่จองหองไม่สามารถที่จะถ่อมตนขออภัยโทษจากพระได้ง่าย ๆ พระเป็นเจ้าทรงพร้อมที่จะอภัยบาปทุกชนิด แต่ว่าไม่ใช่ว่าคนบาปทุกคนจะขออภัยบาปจากพระองค์
เหมือนกับคนเก็บภาษีผู้นี้ ตามความนึกคิดของฟาริสี คนเก็บภาษีเป็นผู้ฉ้อโกง เป็นคนคบชู้ เลวกว่าเสียอีก เป็นคนถือนอกลู่
นอกทาง เพราะว่าเขาได้ช่วยทำงานเพื่อชาวโรมันที่เป็นคนต่างศาสนา คำตัดสินของเขาออกจะรุนแรงมากทีเดียว
ลูกจำศีลอาทิตย์ละ 2 ครั้ง หลังจากที่เขาคิดว่า เขาไม่มีบาป ไม่มีข้อบกพร่องที่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกแทบทุกคนมี เขาก็เริ่มบ
รรยายถึงคุณธรรมที่ดี ๆ ของเขาซึ่งพระเป็นเจ้าควรจะรู้คุณ โมเสสได้เคยบัญญัติไว้ให้จำศีลเพียงปีละครั้งเท่านั้น คือวันขอส
มาโทษพร้อม ๆ กัน แต่พวกฟาริสีได้กำหนดกันเองให้จำศีลหลายครั้งต่อปี อย่างไรก็ตาม การถือศีลอดอาหารก็หาได้เป็นคุณ
ธรรมหรือสมจะถือว่าเป็นบุญกุศลก็หาไม่ ถ้าหากผู้จำศีลโอ้อวดเพราะว่าได้จำศีล พระเยซูเจ้าเองได้ทรงประนามด้วยถ้อยคำที่
รุนแรงมากในพระวรสาร บันทึกโดยนักบุญมัทธิว บทที่ 23 และในบทที่ 6 พระองค์ได้ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า ?เมื่อท่
านจำศีล จงอย่าทำเป็นเศร้าเหมือนกับพวกหน้าไหว้หลังหลอก เพราะว่าเขาตีหน้าให้เศร้าเพื่อจะได้ปรากฏต่อคนทั้งหลายว่า เ
ขากำลังจำศีลอยู่อท้จริง เรากล่าวแก่ท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จรางวัลของพวกเขาแล้ว แต่ว่าเมื่อท่านจำศีล จงชโลมศีรษ
ะด้วยน้ำหอม ล้างหน้า เพื่อว่าคนอื่น ๆ จะไม่รู้ว่าท่านกำลังจำศีลอยู่ แต่พระบิดาเจ้าซึ่งประทับอยู่ในที่ลี้ลับจะทรงทราบและจะปูนบำเหน็จให้แก่ท่าน
ลูกถวายหนึ่งส่วนสิบ ตามกฎหมายชาวยิวทุกคนจะต้องถวายหนึ่งส่วนสิบของผลิตผลของตนที่ได้รับจากที่ดินและฝูงสัตว์ เพื่อท
ำนุบำรุงพระวิหารและเพื่อศาสนกิจ แต่พวกฟาริสีก็ได้ขยายความรวมเป็นว่า จะต้องถวายหนึ่งในสิบของทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วก็ภาคภูมิใจและโอ้อวดที่ได้ทำดังนั้น
ส่วนคนเก็บภาษี ตรงกันข้ามเขายอมรับว่าเขาได้ทำผิด เขารู้ว่าเขาไม่มีอะไรที่จะต้องโอ้อวด แต่ว่าเขาควรจะต้องอับอาย และเขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นเวลาภาวนา
แต่ว่าเขาได้ทุบอกตัวเอง การทุบอกเป็นเครื่องหมายภายนอกแสดงถึงการเป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปที่ได้กระทำ พวกยิวในส
มัยนั้นมักจะแสดงเช่นนี้เสมอ นักบุญลูกา เล่าว่า ฝูงชนที่ได้เห็นพระเยซูคริสตเจ้าถูกตรึงกางเขนพร้อมกับเหตุการณ์มหัศจร
รย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ได้กลับเข้าไปในนครเยรูซาเลมต่างก็ทุบอกตัวเอง ทั้งนี้ เพราะพวกเขามีความรู้สึกว่า บรรดาหัวหน้าและพวกเขาเองได้กระทำผิดอย่างมหันต์
ข้าแต่พระเป็นเจ้าโปรดเมตตาข้าพเจ้าผู้เป็นคนบาป เป็นคำภาวนาที่แท้จริงและที่ออกมาจากจิตใจจริง ๆ เขายอมสารภาพว่
าเขาได้ทำบาป เขาไม่ได้รับอภัยโทษจากพระเป็นเจ้าเพราะพระองค์เป็นผู้เมตตาอันปราศจากขอบเขต เพราะฉะนั้น เขาจึงภาวนาวิงวอนขอพระเมตตาด้วยความสุภาพและจากใจจริง
เรากล่าวแก่ท่านว่า พระอาจารย์เจ้าได้ตรัสถึงผลแห่งคำภาวนาของทั้งสองคน คนเก็บภาษีได้รับพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า ทั้งนี้ เพราะเขาเสียใจในความผิดของเขาอย่างแท้จริง
ส่วนอีกคนหนึ่ง?ตรงข้าม ฟาริสีกลับบ้านพร้อมกับบาปของตนตามเดิม เพราะความจองหองและเขาไม่ได้รับพระเมตตาจากพ
ระเป็นเจ้า เพราะเขาไม่ต้องการ ยิ่งกว่านั้น เขาได้ทำบาปเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่งด้วย คือ การตัดสินเพื่อนบ้านโดยเบาความและโดยปราศจากความรัก
ใครที่ยกตัวให้สูงขึ้น พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงให้เหตุผลว่า ทำไมคำภาวนาของฟาริสีจึงไม่ได้รับการสนองตอบอะไรเลย และ
คำภาวนาใด ๆ ก็ตามที่มีลักษณะดังกล่าวก็จะไม่เกิดผลอันใดเลย เหตุผลนั้นก็คือ ความจองหอง ฟาริสียกตัวเองราวกับว่าเข
าเป็นคนที่พระเป็นเจ้าควรจะรู้จักคุณค่าของเขา แทนที่เขาจะคิดว่าการที่เขาสามารถทำอะไร ตัวอย่างดีนั้นก็เพราะพระเป็นเ
จ้าได้ทรงโปรดประทานพละกำลังและน้ำใจแก่เข่า เพราะเหตุนี้แหละเขาจึงต้องตกต่ำ และคลุกคลีกับบาปของเขา ถ้าหากเข
าจะได้ประกอบกรรมต่าง ๆ ด้วยความสุภาพ แน่นอนเขาก็จะได้เป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงโปรดปราน ตรงกันข้าม ถ้าหากเราหั
นมาดูคนเก็บภาษีเราจะเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีใจสุภาพอย่างแท้จริง เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาป และได้ขอสมาโทษจากพระอง
ค์ด้วยความสุภาพ เขามีกำลังใจที่จะเข้าไปพึ่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระทัยเมตตาอารี และเขาก็ได้รับอภัยโทษ ?ชายคนนี้กลับไปบ้านกลายเป็นคนชอบธรรม
|