เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบนี้คงจะเกิดขึ้นบ่อยใช้ได้ การที่ค
นเดินทางตกในเงื้อมมือของพวกโจรผู้ร้ายระหว่างเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยริโคนั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ เพราะเป็นหนทางที่เปลี่ยวมาก และแม้ในสมัยนี้ด้วย ใน
ปัจจุบันเราจะเห็นตึกหลังหนึ่งใกล้ๆ เมืองเบ็ธฟาเก้ ซึ่งห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม 2-3 ไมล์ เป็นสถานีตำรวจ ซึ่งเขาเล่ากันว่าสร้างใกล้ๆ โรงแรมซึ่งพระองค์ทรงเล่าว่าชาวสะมาเรียได้พาคนเจ็บไปที่นั่น
สมณะและเลวี ทั้งสมณะและคนตระกูลเลวีเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลและเอาใจใส่ต่พระวิหารที่เยรูซาเล็ม ใครๆ ก็หวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่ถือตามบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด เ
ป็นต้นการแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ถูกปล้นและได้รับบาดเจ็บนั้นคงจะเป็นชาวยิวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ทั้งพระสงฆ์และเลวี
จำเป็นจะต้องช่วยเหลือเพราะเป็นพี่น้องร่วมชาติและถือศาสนาเดียวกันด้วย ฉะนั้น เขาจะหาทางแก้ตัวไม่ได้
ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เพื่อจะให้เห็นตัวอย่างชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงเล่าว่าชาวสะมาเรียได้ถือตามบทบัญญัติของโมเสสในด้านความ
รัก ส่วนสมณะและเลวีไม่ถือชาวสะมาเรีย เป็นชาวยิวที่มีเลือดผสมกับคนต่างชาติที่เป็นเมืองขึ้นของพวกอัสซีเรีย ตามประวัติศาสต
ร์เราทราบว่าในปี 722 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์ซัลมานสาเซอร์ที่ 5 แห่งอัสซีเรียยกทัพมาตีกรุงสะมาเรีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจัก
รอิสราเอลหรืออาณาจักรทางภาคเหนือ เมื่อตีได้แล้วก็กวาดต้อนชาวยิวส่วนหนึ่งไปเป็นเชลย อีกส่วนหนึ่งปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม และนำ
ชาวเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียอพยพมาที่สะมาเรีย ที่สุดก็มีการแต่งงานกันระหว่างชาวสะมาเรียกับคนต่างชาติต่างศา
สนา และหลายๆ คนได้นับถือพระเท็จเทียม แม้เขาจะไม่ละทิ้งพระวาห์เวห์ก็ตาม พวกเขาก็ยังคงนับถือหนังสือ 5 เล่มของโมเสส
ยังรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่มีพระวิหารของตัวเองที่ภูเขาเกริซิม ใกล้ๆ เมืองสะมาเรีย ชาวยิวเกลียดพวกนี้ และเขาเป็นศัตรูกันด้ว
ย (เทียบ ยน 4) เป็นชาวสะมาเรียที่ชาวยิวสบประมาทว่าเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา นี่แหละที่ไดแสดงเมตตาจิตต่อชาวยิวที่ถูกทำร้
ายได้ให้การปฐมพยาบาลที่ข้างถนน ได้นำไปส่งที่โรงแรม ได้อยู่พยาบาลตลอดคืน และในวันรุ่งขึ้นได้จ่ายค่าหยูกยา ค่ารักษาและค่าที่พักให้แก่เจ้าของโรงแรม
ในสามคนนี้ พระอาจารย์เจ้าถึงประยุกต์นิทานเปรียบเทียบโดยถามผู้ฟัง แน่นอน ชาวสะมาเรียเป็นผู้ที่มีความรักต่อเพื่อนบ้านอย่า
งแท้จริง และไม่ได้คำนึงด้วยว่าเพื่อนบ้านนั้นจะเป็นผู้ใด คนฟังก็อยมรับเช่นเดียวกันว่าชาวสะมาเรียได้เป็นเพื่อนบ้านที่แท้จริง แ
ต่ไม่ยอมตอบว่าเป็นชาวสะมาเรีย แต่ตอบว่าผู้ที่ได้ทำความดีนั่นแหละ แสดงให้เห็นความเป็นศัตรูระหว่างยิวกับชาวสะมาเรีย และบางทีเขาคงจะรู้สึกอับอายที่จะเอาชื่อสะมาเรีย พระองค์จึงสรุปให้พวกเขาทำเช่นเดียวกัน
|